ซย่าโหวเสวี่ยจินตนาการเรื่องราวเพิ่มเติมเข้าไปมากมายเพื่อให้ตนเองมีความสุข
อวี้หลัวช่าเป็นถึงจอมเทวา ทั้งยังเป็นจักรพรรดิโอสถ หลิวเปยจะจัดการนางไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ว่า นี่เป็นปัญหาที่หลิวเปยควรที่จะใคร่ครวญถึง เขาเดินทางมาคราวนี้ คงจะพายอดฝีมือมาบ้างละ! ถูกล้อมกรอบเอาไว้ ต่อให้อวี้หลัวช่ามีสามเศียรหกกร ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเสวี่ยที่เดิมกำลังเบื่อหน่ายอย่างที่สุด พลันเบิกบานแจ่มใสขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซย่าโหวเสวี่ยใช้เวลาเป็นวันเพื่อวาดภาพเหมือนนับสิบภาพ สุดท้ายจึงเลือกภาพที่วาดออกมาได้เป็นที่น่าพอใจที่สุดพับใส่กล่องใส่ถุงกำมะหยี่แล้วให้คนนำไปส่งให้กับหลิวเปย
เนื่องจากนางกำนัลขันทีข้างกายของนางถูกเปลี่ยนยกชุด ครั้งนี้ซย่าโหวเสวี่ยจึงระมัดระวังอย่างมาก
นางตั้งใจเลือกขันทีน้อยที่ท่าทางใสซื่อขี้กลัว แลดูไม่มีพิษมีภัยแต่ละโมบมาคนหนึ่ง มอบไข่มุกบูรพาให้กับเขา
“เมื่องานเรียบร้อย ข้าจะมอบไข่มุกบูรพาให้เจ้าอีกหนึ่งเม็ด!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”
ถึงแม้ว่าขันทีน้อยจะเข้าวังมาไม่นาน แต่ก็ได้เปิดหูเปิดตามาไม่น้อย
ขันทีน้อยรู้ดีว่าเจ้าไข่มุกขนาดเท่าไข่นกพิราบนี่เป็นของมีค่า ดังนั้นเขาจึงรีบรับมันมาด้วยความละโมบอยากได้มัน แล้วคำนับซย่าโหวเสวี่ยเป็นการขอบคุณ กอดถุงผ้ากำมะหยี่ไว้แล้วอาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนไม่ทันสังเกตแอบออกไปทางประตูหลัง
ก่อนนำนางกำนัลและขันทีมาที่นี่ เซี่ยงจิ้นได้สั่งการให้ขันทีและนางกำนัลทุกคน
เตือนให้พวกเขาซื่อสัตย์ แต่ละวันให้ปฏิบัติตัวด้วยความระแวดระวังและคอยเป็นหูเป็นตาให้กับเขาด้วย!
ถึงแม้ว่าขันทีน้อยผู้นี้จะละโมบโลภมากไปบ้าง แต่เขาก็ยิ่งกลัวตายมากกว่า ดังนั้นเมื่อวิ่งลอดออกมาได้ เขาก็วิ่งไปทูลฟ้องที่เบื้องหน้าซย่าโหวจวินอวี่ทันที
“เรื่องนี้เจ้าทำได้ไม่เลว!”
ได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้ ทำให้ขันทีน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขารีบโขกศีรษะทำความเคารพ
“ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่บ่าวควรทำพ่ะย่ะค่ะ!”
“อืม รู้หน้าที่! ครั้งนี้เจ้ามีผลงาน ข้าจะจำเอาไว้ ไข่มุกบูรพานี่เจ้าเก็บเอาไปเสีย แล้วกลับไปทูลองค์หญิง บอกว่าของส่งถึงมือเรียบร้อยแล้ว…”
ซย่าโหวจวินอวี่หน้าเข้ม ดูแล้วท่าทางอารมณ์ไม่สู้ดี ทำให้ขันทีน้อยตกใจจนรีบหยิบเอามุกบูรพาแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
ฮ่องเต้หยิบกล่องนั้นขึ้นมา เปิดออกก็พบกับภาพเหมือน
ถึงแม้ว่าภาพที่ซย่าโหวเสวี่ยวาดออกมานั้นจะยังห่างไกลจากความงามของอวี้หลัวช่าตัวจริงอยู่มาก แต่ก็มีส่วนคล้ายอยู่หกเจ็ดส่วน
สมกับเป็นลูกสาวที่แสนดีของข้าจริงๆ!
ซย่าโหวจวินอวี่โยนภาพเหมือนนั้นไปอีกทาง เอนกายพิงเก้าอี้ คิ้วเขาขมวดเข้าหากันจนเป็นปม มุมปากของเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
ก่อนที่หอคืนชีพจะเปิดกิจการ หมอเทวดาฮั่วได้เข้าวังเพื่อกราบทูลที่มาที่ไปที่ซย่าโหวเสวี่ยสูญเสียพรหมจรรย์แก่เขา
เนื่องจากหมอเทวดาฮั่วได้รับการไหว้วานขอร้องจากเหลียนจิ่น เขาจึงมาเพื่อล้างมลทินให้กับเหลียนจิ่นโดยเฉพาะ
ซึ่งเดิมทีฮ่องเต้ก็มิทรงเชื่อในคำพูดของซย่าโหวเสวี่ยอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังคำของหมอเทวดาฮั่วอีก ก็ทำให้ทรงพิโรธเป็นอย่างมาก
เหตุใดเขาถึงได้มีลูกโง่เง่าเต่าตุ่นถึงเพียงนี้ได้นะ!
นางเข้าใจผิดว่าคนที่ช่วยเหลือเป็นคนร้าย เกิดเรื่องขึ้นไม่ทบทวนความผิดตัวเอง กลับปัดความรับผิดชอบทั้งหมดออกไปให้พ้นตัว เอาแต่กล่าวโทษผู้อื่นโดยไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีความรับผิดชอบสักนิดเดียว!
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซย่าโหวเสวี่ยยังไม่สำนึกผิดไม่รู้จักกลับตัว ทั้งยังสมคบกับคนนอกให้ร้ายอวี้หลัวช่า!
นางหมดหนทางกลับตัวแล้วจริงๆ!
ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ พ่อบังเกิดเกล้าของเลือดก้อนนั้นคือคนชั่วช้าที่ทำร้ายทำลายผู้อื่นคนนั้น!
โชคดีที่ส่งยาขับเลือดถ้วยนั้นไป!
มิเช่นนั้นคงให้กำเนิดมารหัวขนออกมา ผลที่ตามมาเขาแทบมิกล้าคาดเดา!
ซย่าโหวจวินอวี่นิ่งเงียบไปนาน เซี่ยงจิ้นเองก็ยืนอยู่ข้างกายเงียบๆ โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เห็นฝ่าบาททรงเม้มพระโอษฐ์แน่น เซี่ยงจิ้นก็รู้ได้ในทันทีว่าจะต้องมีใครบางคนโชคร้าย องค์หญิงเสวี่ย ท่านนี่ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก…
เรือนรับรองทูต
หลิวเปยอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงจวนเจียนจะเป็นลม
เหตุการณ์ที่หลิวเปยเผชิญที่หอคืนชีพวันนี้ สำหรับเขาแล้วมันช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มันทำให้เขาขวัญเสีย! สุนัขใหญ่ตัวนั้นจะกลายเป็นฝันร้ายของเขาชั่วชีวิต
ยิ่งคิดถึงเศษนิ้วนั่น หลิวเปยถึงกับโอดครวญ
โชคดีที่เขาวิ่งเร็ว!
มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาเป็นแน่!
หลิวเปยรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารนัก แค่ต้องการพบหน้าอวี้หลัวช่าสักครั้งเท่านั้นเอง เหตุใดถึงได้ยากเย็นถึงเพียงนี้!
ในตอนนั้นเอง หมอหลวงหวังรับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้มารักษาอาการเจ็บป่วยให้กับหลิวเปย
หมอหลวงหวังคือเทพโอสถ ซึ่งถึงแม้ว่าเขามิได้มีชื่อเสียงมากเท่าหมอเทวดาฮั่ว แต่การมาของเขาก็ทำให้หลิวเปยดีใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าหมอหลวงหวังเป็นหมอหลวงประจำพระองค์ของฝ่าบาท หลิวเปยก็ยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงเพราะได้รับพระเมตตาโดยไม่คาดคิด
หอคืนชีพสถานที่พรรค์นั้น เขาจะไม่ไปเหยียบมันอีกแล้ว!
เพื่ออวี้หลัวช่าแล้ว เขาถึงกับทำร้ายโฉมตนเองจนแทบจะกลายเป็นคางคก ขาเขาก็เกือบจะพิกลพิการเลยทีเดียว น่าอดสูนัก!
ในเมื่อใช้วิธีนี้มันไม่ได้ผล เช่นนั้นก็คิดหาวิธีอื่นเอาละกัน!
หมอหลวงหวังปฏิบัติต่อหลิวเปยด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม รอยยิ้มที่ถ่อมตน สงบเสงี่ยมงดงาม หลิวเปยรู้สึกราวกับว่าตนเองได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นราชาก็ไม่ปาน เขาไม่เพียงแต่ดื่มด่ำ แต่มีความสุขเสียจนตัวแทบลอย
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ อาการบาดเจ็บของท่านไม่สาหัส!”
หมอหลวงหวังจ่ายยา ซึ่งหมอที่หลิวเปยพามาด้วยก็ตรวจตราโดยละเอียดแล้ว ยาเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร หมอหลวงหวังทำความเคารพหลิวเปยตามธรรมเนียมอีกสามครั้งแล้วจึงขอตัวออกไป
“เห็นหรือยัง!”
หลิวเปยนอนอยู่บนเตียง มือก็ชี้นิ้วไปที่แผ่นหลังของหมอหลวงหวังที่อยู่ไกลออกไป
“ซย่าโหวจวินอวี่ให้ความสำคัญกับข้ามากแค่ไหน สิ่งนี้พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน! ขอเพียงแค่ท่านพ่อตายินยอมออกหน้าช่วยเหลือ หลังจากข้ากลับไปก็จะเป็นรัชทายาทที่เหมาะสมทุกอย่าง”
หลิวเปยกล่าววาจาโอหัง ซึ่งแน่นอนว่าคนติดตามรอบกายของเขาก็ต้องประจบสอพลอตามน้ำไป พวกเขารีบขานรับเออออไปอีกชุดใหญ่!
ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ หมอหลวงหวังก็ยิ้มเยือกเย็นออกมา
พ่อตาหรือ
องค์ชาย ท่านช่างอ่อนต่อโลกเสียจริง!
มีดหลอมเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ทั้งยังพาดอยู่ที่คอของท่านแล้วด้วย!
ตักตวงความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้พอเถิด…
หมอหลวงหวังขยันมาดูอาการให้กับหลิวเปยสม่ำเสมอ ทำการรักษาเขาอย่างเต็มกำลัง ในที่สุดหลิวเปยก็กลับมาหล่อเหลางามสง่าดังเดิม
ถุงใต้ตาสีดำคล้ำทั้งสองข้าง บ่งบอกชัดเจนถึงการหักโหมทำเรื่องอย่างว่าเกินขนาด หลิวเปยร่างเป็นคนแต่ทำตัวเยี่ยงสุนัข!
หลายวันต่อมา ซย่าโหวเสวี่ยรอคำตอบรับจากหลิวเปยไม่ไหว นางคิดไปเองว่าภาพที่นางวาดออกมานั้นขี้เหร่เกินไป ทำให้หลิวเปยไม่หวั่นไหว นางจึงวาดภาพเหมือนขึ้นมาอีกภาพ สั่งให้ขันทีน้อยนำไปส่งให้กับหลิวเปย
แน่นอนว่าภาพวาดทั้งหมดนั้นตกไปอยู่ในมือซย่าโหวจวินอวี่
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวเสวี่ยมีใจคิดที่จะให้อวี้หลัวช่าถึงตายสถานเดียว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ผิดหวังอย่างที่สุด
ยากนักที่ลูกชายของเขาจะถูกตาต้องใจแม่นางสักคน แต่เจ้ากลับหาวิธีการร้อยแปดเพื่อทำลายนาง!
ถึงแม้ว่าซย่าโหวเสวี่ยไร้สามารถ มิอาจทำอะไรอวี้หลัวช่าได้
แต่นางก็มีจิตใจและพฤติกรรมที่คิดทำลายความสุขของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว เป็นการทำลายฟางเส้นสุดท้ายของฮ่องเต้ สมควรตายหมื่นครั้ง!
ในที่สุดซย่าโหวเสวี่ยก็ทำลายความสงสารอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ในใจของซย่าโหวจวินอวี่ที่มีต่อนางจนหมดสิ้น
ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้กรมโหรหลวง ดูฤกษ์ โดยกำหนดให้ในวันที่หนึ่ง เดือนหก เป็นวันแต่งงานของซย่าโหวเสวี่ยกับหลิวเปย
“อะไรนะ”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ซย่าโหวเสวี่ยถึงกับใบ้กิน
ดำเนินการรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง!
เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้อยากที่จะให้นางแต่งงานกับองค์ชายคางคกนั่นนักนะ
แต่ทว่า ซย่าโหวเสวี่ยก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปทูลถามฮ่องเต้ด้วยตนเองได้
เนื่องจากซย่าโหวจวินอวี่ใช้ข้ออ้างที่ว่าก่อนแต่งงานชายหญิงมิควรพบหน้ากันเป็นเหตุผล กักขังซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้ มิเพียงแต่ไม่ให้ใครมาเยี่ยมนาง ทั้งยังให้นางอยู่อย่างเงียบๆ รอแต่งงานอีกด้วย
ครั้งนี้ซย่าโหวเสวี่ยร้องเรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินก็ไม่ขานรับ
“ข้าขอถามเจ้า เจ้าได้มอบภาพวาดนั้นให้กับองค์ชายห้าแล้วหรือยัง”
ด้วยเหตุนี้ ซย่าโหวเสวี่ยจึงเรียกขันทีน้อยมาซักถาม
“บ่าวได้ส่งมอบภาพวาดให้กับหัวหน้าขันทีที่ดูแลองค์ชายห้าด้วยมือบ่าวเองพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยท่าทางสงบนิ่งไม่มีหวั่นวิตกร้อนรนแต่อย่างใด
เช่นนั้นหัวหน้าขันทีก็น่าจะมอบภาพวาดให้กับหลิวเปยแล้ว ซย่าโหวเสวี่ยครุ่นคิด
ไม่รู้ว่าก้าวต่อไป หลิวเปยจะทำอะไร!
ขณะที่ซย่าโหวเสวี่ยร้อนใจจนแทบนั่งไม่อยู่ หลิวเปยกลับกำลังหลงใหลได้ปลื้มในสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่ประทานให้จนหน้ามืดตามัวโงหัวไม่ขึ้น