ฉินตงเฉี่วยกระโดดไปยืนอยู่ด้านหน้าของชายชราอายุกว่าครึ่งร้อยคนหนึ่งนางสงบจิตใจ และค่อยๆ ย่อตัวลงพร้อมกับเอามือประสานกันทำการคาราวะชายชราผู้นั้น..
  “ฉินตงเฉี่วยคาราวะศิษย์พี่ใหญ่พี่สาม พี่สี่ พี่ห้า และพี่หก!”
  ยอดฝีมือทั้งห้าคนบนยอดเขาหลงเหมินเวลานี้ล้วนเป็นศิษย์พี่ชายหญิงในสำนักดาบสวรรค์ของฉินตงเฉี่วยทั้งสิ้น
  ศิษย์พี่ใหญ่มีนามว่ากัวเสี่ยวเทียนศิษย์พี่สามมีนามว่าฮู๋วฉีเฟิง ศิษย์พี่สี่มีนามว่าหลิวซุ่ยเฟิง และศิษย์พี่ห้าและศิษย์พี่หกซึ่งเป็นหญิงนั้นมีนามว่าจี้เสี่ยวฉิง และจงชวนเยี่ยน
  ความจริงแล้วศิษย์พี่ของฉินตงเฉี่วยนั้นมีทั้งหมดหกคนแต่ศิษย์พี่สองนั้นไม่ได้มาด้วย แต่เพียงแค่ศิษย์พี่ทั้งห้าคนนี้ ก็สามารถกดดันฉินตงเฉี่วยให้หวาดหวั่นได้อย่างมากแล้ว..
  ชายชราที่อายุมากที่สุดและดูเหมือนจะเป็นเป็นผู้นำนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือศิษย์พี่ใหญ่กัวเสี่ยวเทียนนั่นเอง รูปร่างของกัวเสี่ยวเทียนนั้นสูงสง่า ใบหน้าบ่งบอกว่ามีอายุ ผมยาวสีขาวนั้นถูกหวีไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และใบหน้ามีสีแดงระเรื่อ
  กัวเสี่ยวเทียนยังคงยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแต่ก็ไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด..
  บนแผ่นหลังของกัวเสี่ยวเทียนนั้นมีดาบเล่มใหญ่เหน็บอยู่และด้ามจับของดาบนั้นก็โผล่ขึ้นมาจากไหล่ของเขากว่าครึ่งฟุต ดวงตาของกัวเสี่ยวเทียนหรี่ลง และกำลังจ้องมองฉินตงเฉี่วยด้วยแววตาที่นางเองก็ไม่อาจคาดเดาได้..
  หลังจากผ่านไปช่วงสั้นๆคิ้วของกัวเสี่ยวเทียนกลับยกสูงขึ้น และดวงตาที่หรี่เล็กนั้นก็ค่อยๆขยายออกอย่างช้าๆ เวลานี้ดวงตาคมกริบคู่นั้นกำลังสำรวจฉินตงเฉี่วยอย่างละเอียด และดูเหมือนจะปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  เพียงแค่ฉินตงเฉี่วยปรากฏตัวกัวเสี่ยวเทียนก็สามารถมองเห็นขั้นของนางได้ในทันที และได้แต่คิดในใจว่าฉินตงเฉี่วยลงเขามาเพียงแค่สามเดือน แต่กลับสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-5 ได้แล้วเช่นนั้นรึ!
  ความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์นี้ทำให้กัวเสี่ยวเทียนถึงกับตกใจยิ่งนักและได้แต่สงสัยว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
  แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของกัวเสี่ยวเทียนก็สามารถกลับสู่ความเป็นปกติได้ภายในเวลาอันรวดเร็วกัวเสี่ยวเทียนเอ่ยกับฉินตงเฉี่วยด้วยน้ำเสียง และแววตาที่สงบนิ่ง ไม่มีท่าทีของความโกรธเกรี้ยว หรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย..
  “ฉินตงเฉี่วย..ลุกขึ้นแล้วค่อยพูด!”
  ฉินตงเฉี่วยถึงกับอึ้งไป..เพราะครั้งนี้กัวเสี่ยวเทียนไม่เรียกนางว่าน้องเล็กเหมือนเช่นทุกครั้ง
  “น้อมรับคำสั่งศิษย์พี่ใหญ่..”
  ฉินตงเฉี่วยรู้สึกหนักใจยิ่งนักแต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆออกมาทางสีหน้า นางเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย และค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรง..
  เมื่อลุกขึ้นยืนแล้ว..ฉินตงเฉี่วยจึงได้สังเกตเห็นสีหน้าของศิษย์พี่ชายหญิงทั้งสี่คน และพบว่าศิษย์พี่สามฮู๋วฉีเฟิง ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ..novel-lucky
  ส่วนศิษย์พี่สี่หลิวซุ่ยเฟิงที่เคยตามติดฉินตงเฉี่วยนั้นครั้งนี้กลับจ้องมองนางด้วยแววตาเคร่งขรึม ไม่เพียงไม่มีทีท่ากระตือรือร้นที่ได้พบเจอนางเหมือนทุกครั้ง หนำซ้ำในแววตายังซ่อนความยินดีกับชะตาร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับนางไว้อีกด้วย และแม้ว่าหลิวซุ่ยเฟิงจะพยายามปกปิดแล้ว แต่ก็ปกปิดได้ไม่มิดชิดนัก..
  แต่นั่นยังไม่สร้างความประหลาดใจให้กับฉินตงเฉี่วยเท่ากับการลงเขามาของศิษย์พี่ห้าและศิษย์พี่หกของนาง..
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่ห้าจี้เสี่ยวฉิงแม้ว่ารูปร่างของนางจะบอบบาง แต่เพลงดาบของนางนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก และขั้นความแข็งแกร่งนั้นก็เหนือกว่าหลิวซุ่ยเฟิงมากนัก นอกเหนือจากการฝึกฝนวิชาในสำนักดาบสวรรค์แล้ว นางก็ไม่เคยสนใจอยากรู้เรื่องราวอื่นๆบนโลกใบนี้เลย แต่จู่ๆ นางมาที่จิงฉูเช่นนี้ นางกำลังคิดการเช่นใดกันแน่
  ส่วนศิษย์พี่หกจงชวนเยี่ยนที่มีรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์นั้นฉินตงเฉี่วยพอจะเข้าใจได้ว่าการมาของนางในครั้งนี้คงจะมาเพื่อร่วมสนุก อีกทั้งนางก็หลงรักหลิวซุ่ยเฟิง ครั้งนี้จึงไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะตามหลิวซุ่ยเฟิงลงเขามาด้วยแน่
  เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉินตงเฉี่วยจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ยทักทายหญิงสาวทั้งสองคน “ศิษย์พี่จี้ ศิษย์พี่จง ท่านทั้งสองก็ลงเขาด้วยงั้นรึ”
  แววตาเย็นชาของจงชวนเยี่ยนกวาดมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับยิ้มเย้ยและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
  “ศษย์น้องฉิน..หากพวกเราไม่ลงเขามาด้วยตัวเอง จะได้สามารถรู้ข่าวเรื่องสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิได้อย่างไรกันเล่า”
  แต่แล้วฉินตงเฉี่วยก็ถึงกับเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของศิษย์พี่ห้าที่ถามขึ้นว่า
  “ฉินตงเฉี่วย..เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่”
  แม้ว่าฉินตงเฉี่วยจะให้ความเคารพศิษย์พี่ทั้งห้าของนางเสมอมาแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับหลิงหยุน นางจำเป็นต้องปกป้อง และตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเช่นกัน..
  “พี่ห้า..ข้านับถือท่านดั่งพี่สาวแท้ๆของข้า ข้าจึงได้เอ่ยทักทายท่าน ท่านไม่ควรเกรี้ยวกราดใส่ข้าเยี่ยงนี้ เหตุใดจึงกล่าวหาข้าข้างๆคูๆเช่นนี้เล่า”
  “หุบปาก..”
  กัวเสี่ยวเทียนเห็นว่าภารกิจยังไม่ทันจะได้เริ่มสถานการณ์ก็กลับบานปลายแล้ว เขาจึงรีบห้ามปรามไว้ทันที
  ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่อย่างกัวเสี่ยวเทียนเอ่ยปากทั้งจี้เสี่ยวฉิงและจงชวนเยี่ยนต่างก็เงียบไปทันที และได้แต่จ้องมองฉินตงเฉี่วยด้วยแววตาเคียดแค้นชิงชัง
  แม้กัวเสี่ยวเทียนจะเดือดดาลฉินตงฉี่วยมากแต่เขาเองก็เปรียบเสมือนอาจารย์ของนาง และคุ้นเคยกับอุปนิสัยใจคอของนางดี
  เขาจึงต้องการฟังคำอธิบายและดูท่าทีของฉินตงเฉี่วยก่อน..
  “ตงเฉี่วย..ข้าขอถามเจ้า! อาจารย์ส่งเจ้าลงเขามาครั้งนี้ด้วยจุดประสงค์ใด”
  ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ถามเช่นนี้ฉินตงเฉี่วยจึงได้แต่ตอบไปตามความจริง นางผสานมือทำการคาราวะ และตอบไปว่า
  “ตอบศิษย์พี่ใหญ่..อาจารย์ให้ข้าลงเขามาเพื่อสืบเรื่องพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิ”
  กัวเสี่ยวเทียนหรี่ตาลงและดวงตาคมกริบคู่นั้นก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “แล้วเจ้าสืบได้ความเช่นใดบ้าง”
  สายตาคมกริบของกัวเสี่ยวเทียนนั้นราวกับมีดคมที่กรีดลงบนใบหน้าของฉินตงเฉี่วยร่างกายของนางสั่นสะท้าน แต่ก็กัดฟันตอบกลับไปว่า
  “ตอบศิษย์พี่ใหญ่..ข้ายังไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิเลย!”
  “เป็นความจริงงั้นรึ!”
  ดวงตาของกัวเสี่ยวเทียนเบิกกว้างและเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง!
  จงชวนเยี่ยนได้โอกาสจึงส่งเสียงเย้ยหยันอยู่ด้านหลังแต่กัวเสี่ยวเทียนยกมือขึ้นห้าม..
  “ข่าวคราวเรื่องพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิถือกำเนิดขึ้นแล้วในจิงฉู ต่างก็ร่ำลือกันทั่วทั้งยุทธภพ เจ้าไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยอย่างนั้นเชียวรึ”
  น้ำเสียงของกัวเสี่ยวเทียนดุดันและไม่เปิดโอกาสให้ฉินตงเฉี่วยได้โต้แย้งเลยแม้แต่น้อย!
  ฉินตงเฉี่วยได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่นเพื่อเก็บข่มความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าครึ่งก้าวพร้อมกับยืนยันเสียงแข็ง..
  “ศิษย์..ไม่สามารถยืนยันได้ว่าพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วจริงๆ จึงยังไม่กล้าส่งข่าวนี้ไปยังสำนัก..”
  ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปากของฉินตงเฉี่วยศิษย์พี่ทั้งห้าคนของนางก็ถึงกับทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจออกมาพร้อมกันทันที..
  กัวเสี่ยวเทียนถึงกับถอนหายใจและพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ถามเรื่องนี้อีก!”
  “ถ้าเช่นนั้นเจ้าตอบข้ามา..ในเมืองจิงฉูมีมารน้อยชื่อหลิงหยุนเที่ยวใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ไล่ฆ่ายอดฝีมืออย่างเหี้ยมโหด และเลือดเย็น เขาสังหารผู้คนราวกับผักปลา ไร้ซึ่งความผิดชอบชั่วดี เรื่องนี้เจ้ารู้เห็นบ้างหรือไม่”
  ฉินตงเฉี่วยถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง!
  นับตั้งแต่ได้พบกับกัวเสี่ยวเทียน..ยังไม่มีคำถามข้อใหนที่ฉินตงเฉี่วยจะตอบได้ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งเลย นางไม่สามารถสรรหาคำพูดดีๆ มาตอบได้แม้แต่ประโยคเดียว!
  ภายใต้ดวงตาคมกริบของกัวเสี่ยวเทียนฉินตงเฉี่วยทำได้เพียงแค่ตอบไปว่า “ศิษย์.. ได้ทราบข่าวเรื่องนี้เช่นกัน!” และอธิบายต่อทันที
  “แต่..ที่หลิงหยุนต้องสังหารผู้คนเหล่านั้น ก็เพราะพวกเขาต้องการสังหารหลิงหยุนก่อน หลิงหยุนเพียงแค่ทำไปเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น..”
  กัวเสี่ยวเทียนเห็นฉินตงเฉี่วยรีบร้อนออกตัวปกป้องหลิงหยุนเช่นนี้ก็ได้แต่ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที
  “หุบปาก!”
  “ฉินตงเฉี่วย..เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากหลิงหยุนครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ เขาก็จะถูกยกย่องเป็นเทพแห่งมารทันที! เจ้าไม่เพียงไม่จัดการกับหลิงหยุน แต่ยังปกป้องเขา แม้กระทั่งต่อหน้าข้าเจ้ายังแก้ต่างให้กับเขา!”
  ฉินตงเฉี่วยตอบโต้กลับอย่างไม่รีรอ“ศิษย์พี่ใหญ่.. กระบี่โลหิตแดนใต้ก็เป็นเพียงแค่อาวุธชิ้นหนึ่งเท่านั้น ข้าเป็นพยานให้กับหลิงหยุนได้ แม้เขาจะสังหารผู้คนไปมากมาย แต่ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์เลยแม้แต่คนเดียว!”
  “ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า.. ช่างน่าขันนัก!”
  กัวเสี่ยวเทียนหงุดหงิดกับคำตอบของฉินตงเฉี่วยอย่างที่สุดจนต้องหัวเราะออกมาจากนั้นจึงมองฉินตงเฉี่ยวด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ตงเฉี่วย..ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่า หลายปีที่ข้าถ่ายทอดวรยุทธให้กับเจ้า แต่วันนี้กลับต้องได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของเจ้า!”
  ผมยาวสีขาวของกัวเสี่ยวเทียนถึงกับปลิวไสวด้วยพลังปราณที่พลุ่งพล่านออกมาเขาร้องตะโกนอย่างเดือดดาลใจ
  “ตงเฉี่วย..เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเจ้า.. สำนักดาบสวรรค์จึงต้องถูกคนทั้งยุทธภพหัวเราะเยาะ”
  “ข้าได้รับรายงานว่า..หลิงหยุนเป็นผู้สังหารท่านอาจารย์มี่จิงแห่งวัดเส้าหลิน ซือไท่มี่ซินแห่งอารามจิ้งซิน แล้วก็นักพรตหลิวเต่อหมิงแห่งสำนักเหมาซาน..”
  “ต่อจากนั้นนั้นท่านอาจารย์สิงฉีแห่งเส้าหลินและยอดฝีมือของสำนักเหมาซานที่มาตามหาพวกเขาในจิงฉู ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน เจ้าคงไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมารน้อยผู้นี้หรอกนะ!”
  คำบอกเล่าของกัวเสี่ยวเทียนทำให้ฉินตงเฉี่วยถึงกับอึ้งไปเพราะในวันที่หลวงจีนสิงฉีถูกหลิงหยุนสังหารนั้นนางเองก็อยู่ด้วย..
  แต่ฉินตงเฉี่วยยังคงมีความหวังจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ใหญ่.. ที่ท่านพูดมาแม้จะเป็นความจริง แต่.. อีกฝ่ายต้องการที่จะสังหารหลิงหยุน จะให้เขานั่งนิ่งไม่ตอบโต้ได้อย่างไรกัน”
  ครั้งนี้กัวเสี่ยวเทียนถึงกับเดือดดาลสุดขีดลมปราณพวยพุ่งไปทั่วร่างพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
  “หากคนผู้นั้นเป็นคนของพรรคมารใครก็สามารถสังหารได้ ทุกคนมีสิทธิ์กำจัดคนของพรรคมารทั้งนั้น!”
  “ฉินตงเฉี่วย..กฎยุทธภพข้อนี้เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่รึ เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร?”
  “เจ้าไม่ส่งข่าวเรื่องสมุดจักรพรรดิและพู่กันจักรพรรดินั้น ข้าไม่ตำหนิเจ้า! แต่เกิดเรื่องราวมากมายในจิงฉูเช่นนี้ เจ้ากลับไม่ยอมส่งข่าวให้กับทางสำนักดาบสวรรค์รู้ แล้วข้าจะนิ่งเฉยได้อย่างไร”
  “เจ้ารู้ดีแก่ใจว่าหลิงหยุนครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ไม่เพียงเจ้าไม่จัดการกับเขาในทันที! แต่ยังติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่งเช่นนี้ อีกทั้งตอนนี้ยังถึงกับพูดแก้ต่างแทนหลิงหยุน ข้าคงปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว..”
  ฉินตงเฉี่วยได้แต่นิ่งเงียบ..และรอให้กัวเสี่ยวเทียนพูดจนจบ จึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
  “ศิษย์พี่ใหญ่..หลิงหยุนเป็นบุตรชายของพี่สาวข้า เวลานี้พี่สาวของข้าไม่อยู่ในจิงฉู ข้าจึงต้องมีหน้าที่ดูแลเขา..”
  “หากจะให้ข้าจัดการกับหลิงหยุน..ได้โปรด.. ข้าลงมือไม่ได้!”
  ใบหน้าที่แดงก่ำของกัวเสี่ยวเทียนเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำมือของเขายกขึ้นชี้หน้าฉินตงเฉี่วยพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
  “นี่เจ้า..เจ้า..”
  “ได้..ได้.. เจ้าคงจะตัดสินใจมาดีแล้วสินะ!”
  กัวเสี่ยวเทียนโกรธแค้นอย่างที่สุดรอบตัวของเขาปรากฏไอสังหารแผ่ซ่านออกมาเต็มไปหมด..
  ฉินตงเฉี่วยมองดูด้วยสายตาว่างเปล่า..
  ก่อนที่นางจะเดินทางมาที่เขาหลงเหมินแห่งนี้ฉินตงเฉี่วยคิดอยู่แล้วว่าศิษย์พี่ใหญ่ของนางคงไม่ให้โอกาสนางได้อธิบายเรื่องของหลิงหยุน และนางเองก็ได้ตัดสินใจแล้ว..
  “ในเมื่อเจ้าต้องการเดินสู่เส้นทางมารข้าจำต้องทำลายวรยุทธของเจ้า และขับเจ้าออกจากสำนัก!”
  ระหว่างที่พูดนั้นกัวเสี่ยวเทียนก็ยกฝ่ามือขึ้นหมายฟาดลงไปที่ร่างของฉินตงเฉี่วย!
  แต่กลบคิดไม่ถึงว่าจะมีเสียงฟิ้วดังขึ้น..และลูกธนูแหลมคมก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตรงเข้าปักที่ก้อนหินซึ่งอยู่ระหว่างฉินตงเฉี่วยกับกัวเสี่ยวเทียนทันที..
  “เจ้าคงจะเป็นคนแซ่กัวสินะ!”
  “คิดจะทำลายวรยุทธน้าหญิงของข้า..เจ้ามีฝีมือพองั้นรึ”