สูงจากพื้นดินไปราวหนึ่งร้อยเมตรหลิงหยุนซึ่งยืนตระหง่านอยู่บนแผ่นหลังของเจสเตอร์กระโดดลงมาบนพื้นดินด้านล่างอย่างสง่างาม..
เมื่อลงมาถึงพื้นด้านล่างนั้น..หลิงหยุนอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างค้ำยันพื้นไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรงหน้าฉินตงเฉี่วยทันที!
จากนั้นก้อนหินมากมายนับไม่ถ้วนก็กระเด็นออกจากพื้นดินที่หลิงหยุนยืนอยู่ และพุ่งเข้าใส่ร่างของศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งห้าคนทันที เวลานี้ต่างฝ่ายต่างก็ยกฝ่ามือขึ้นปัดป้องก้อนหินเหล่านั้นเป็นพัลวัน..
คันธนูทองถูกเรียกเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่นานแล้วและเวลานี้ในมือซ้ายของหลิงหยุนก็กำกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้แน่น ไอสังหารที่น่าสะพรึงกลัวกระจายไปทั่วทั้งตัวกระบี่สีดำ..
เมื่อเห็นหลิงหยุนปรากฏตัวอย่างโอหังเช่นนี้ฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ในใจว่า
‘เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้าตามข้ามาจนได้สินะ!’
ความจริงแล้วหลิงหยุนมาถึงยอดเขาหลงเหมินแห่งนี้ก่อนหน้าฉินตงเฉี่วยเสียอีกและได้บินสังเกตการณ์อยู่เหนือยอดเขาขึ้นไปราวแปดร้อยเมตร ดังนั้น.. บทสนทนาระหว่างฉินตงเฉี่วยกับศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งห้านั้น จึงถูกหลิงหยุนได้ยินจนหมดสิ้น..
หลิงหยุนพอจะรู้ว่า..ตลอดระยะเวลายี่สิบปีที่ฉินตงเฉี่วยร่ำเรียนวรยุทธในสำนักดาบสวรรค์นั้น แม้ว่าไม่อาจจะพูดคุยกับศิษย์ทุกคนดั่งเช่นพี่น้องได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้รู้สึกผิดหวังดังเช่นที่กัวเสี่ยวเทียนกระทำในคืนนี้ กัวเสี่ยวเทียนไร้เมตตากับฉินตงเฉี่วยถึงขั้นที่ต้องการทำลายวรยุทธของนาง ในขณะที่ฉินตงเฉี่วยก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่ต่างจากคนโง่ ไม่เพียงไม่ตอบโต้ แต่ยังไม่ยอมหลบหลีกอีกด้วย!
เช่นนี้แล้วหลิงหยุนจะสามารถทนนิ่งเฉยอยู่ต่อไปอย่างไรได้เล่า
กัวเสี่ยวเทียนเดือดดาลอย่างมากแต่หลิงหยุนนั้นเดือดดาลยิ่งกว่า! และการที่ลูกธนูไม่พุ่งตรงเข้าใส่ศรีษะของกัวเสี่ยวเทียนตรงๆนั้น ย่อมนับว่าเป็นความปราณีอย่างมากมายของหลิงหยุนแล้ว..
ริมฝีปากของหลิงหยุนแสยะยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยันในขณะที่จ้องมองศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งห้ากำลังปัดป้องก้อนหินกันเป็นพัลวันหลิงหยุนยังไม่คิดที่จะลงมือสังหารทุกคนในทันที แต่หันไปพูดกับฉินตงเฉี่วยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย..
“น้าหญิง..เรื่องราวจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
น้ำเสียงของหลิงหยุนสงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงหนักแน่น ไม่มีแม้แต่ความเกรงกลัว และไม่เปิดโอกาสให้ฉินตงฉี่วยได้โต้แย้งแต่อย่างใด..
ริมฝีปากของฉินตงเฉี่วยขยับคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดก็เลือกที่จะนิ่งเงียบแทน..
ศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์กระโดดถอยหลังไปไม่ไกลนักแต่ทั้งหมดก็สามารถหลบหลีก และปัดป้องก้อนหินที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่ใหญ่อย่างกัวเสี่ยวเทียน ที่สามารถทำให้ก้อนหินแตกละเอียดได้โดยที่ไม่ต้องชักดาบออกมา..
ดูเหมือนคำเรียก‘คนแซ่กัว’ ของหลิงหยุนจะทำให้กัวเสี่ยวเทียนโกรธเกรี้ยวมาก แต่ในสายตาที่จ้องมองหลิงหยุนนั้น นอกจากความโกรธแล้ว ในแววตาคู่นั้นยังปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ และตกใจมากเช่นกัน..
นั่นเพราะกัวเสี่ยวเทียนไม่สามารถมองเห็นขั้นของหลิงหยุนได้นั่นเอง!
เวลานี้แววตาของหลิวซุ่ยเฟิงก็ได้เปลี่ยนจากความปิติยินดีกับความโชคร้ายของผู้อื่นมาเป็นความเคียดแค้นแทน และหากสายตาของคนเราสามารถสังหารผู้คนได้ เชื่อว่าหลิงหยุนคงถูกสายตาของหลิวซุ่ยเฟิงประหัตประหารตายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว..
จงชวนเยี่ยนที่ร้องตะโกนบอกทุกคนให้ระวังตัวนั้นหลังจากที่ปัดป้องก้อนหินที่พุ่งเข้าใส่ได้แล้ว จงชวนเยี่ยนจึงได้มีโอกาสเห็นรูปลักษณ์ของหลิงหยุนอย่างเต็มตา และนางก็ต้องถึงกับสะเทิ้นไปทั้งร่าง
‘ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามเสียจริงๆ!’
แววตาของจงชวนเยี่ยนเป็นประกายขึ้นมาทันทีนางหันไปมองหลิวซุ่ยเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง และได้แต่แอบคิดว่าศิษย์พี่หลิวซุ่ยเฟิงที่นางเฝ้าชื่นชมนั้น กลับกลายเป็นเพียงชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาไปในทันทีเมื่อเทียบกับหลิงหยุนผู้นี้
‘แต่น่าเสียดายที่เจ้าเป็นคนของพรรคมารและต้องมาถูกสังหารตายในคืนนี้!’
ทันทีที่ได้เห็นหน้าหลิงหยุนอย่างชัดเจนจงชวนเยี่ยนถึงกับจิตใจหวั่นไหว และได้แต่แอบผิดหวังเมื่อคิดว่าหลิงหยุนต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่..
ส่วนศิษย์พี่สามฮู๋วฉีเฟิงและศิษย์พี่ห้าจี้เสี่ยวฉิง ทั้งคู่ต่างยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตานั้นกลับเป็นประกาย และไม่อาจเก็บซ่อนความหนักอึ้งที่อยู่ภายในใจของตนเองไว้ได้
“เจ้ามารน้อย..คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าปรากฏตัว!”
กัวเสี่ยวเทียนยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนใส่หน้าเขาแววตาที่จ้องมองหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยเหยียดหยัน
หลิงหยุนยังคงนิ่งไม่ตอบโต้ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่งดงาม แต่แววตานั้นกลับเย็นชา และเย็นยะเยือก ลมปราณภายในร่างกายหมุนเวียนด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปข้างหน้าครึ่งก้าว!
และเวลานี้กลิ่นอายสังหารที่หลิงหยุนเก็บกดเอาไว้ก็ได้พลุ่งพล่านออกมาทั่วทั้งร่างกาย..
เช้ง..เช้ง.. เช้ง.. เช้ง..
ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งสี่คนต่างก็ชักดาบออกจากฝักและอยู่ในท่าเตรียมพร้อมรับมือเต็มที่!
เวลานี้สายตาของกัวเสี่ยวเทียนก็เย็นยะเยือกไม่แพ้กันเขาก้าวเท้ามาด้านหน้ายืนประจันกับใบหน้าหล่อเหลาของหลิงหยุนอย่างไม่หวาดหวั่นเช่นกัน..
แม้ท่าทางของกัวเสี่ยวเทียนจะดูเหมือนไม่เกรงกลัวรังสีสังหารที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของหลิงหยุนแต่ภายในใจนั้นกลับรู้สึกตกใจอย่างมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าพลังปราณที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของหลิงหยุนนั้น จะมีความรุนแรงไม่แพ้พลังปราณของตนเอง!
ยอดฝีมือทั้งสองคนต่างยืนประจันหน้ากันนิ่งอยู่เช่นนั้น..
ระหว่างที่ยืนนิ่งไม่ลงมือใดๆนั้นหลิงหยุนจ้องหน้ากัวเสี่ยวเทียนพร้อมกับพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เฒ่ากัว..อย่าบีบบังคับให้ข้าต้องใช้กำลัง! ข้าอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว.. บอกมาว่าเจ้าต้องการจะประมือกับข้า หรือต้องการจะเจรจากับข้า”
หลิงหยุนเปลี่ยนจากเรียก‘คนแซ่กัว’ มาเป็น ‘เฒ่ากัว’ เช่นนี้ มีหรือที่กัวเสี่ยวเทียนจะไม่โกรธเกรี้ยว และเดือดดาลอย่างที่สุด!
“หลิงหยุน..!”
ฉินตงเฉี่วยที่ยืนมองด้วยความกระวนกระวายใจรู้ดีว่าหลิงหยุนไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาแต่อย่างใด จึงรีบร้องเรียกชื่อหลิงหยุนเพื่อเตือนสติ..
หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งและร้องบอกฉินตงเฉี่วยโดยที่ไม่หันกลับไปมอง “น้าหญิง.. ในเมื่อคนผู้นี้คิดทำลายวรยุทธของท่าน ก็ย่อมต้องเป็นศัตรูกับข้าด้วย! ข้าเรียกเขาว่าเฒ่ากัวเช่นนี้.. นับว่าข้ามีมารยาทกับเขามากพอแล้ว!”
ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ที่เหลืออีกสี่คนถึงกับตกตะลึงในคำพูด และท่าทีหยิ่งผยองของหลิงหยุน..
กัวเสี่ยวเทียนแม้จะถูกหลิงหยุนยั่วยุให้โมโหแต่อายุของเขาก็ผ่านมาครึ่งร้อยแล้ว.. อีกทั้งผ่านการฝึกวรยุทธมานาน จิตใจจึงสามารถสงบลงได้อย่างรวดเร็ว
กัวเสี่ยวเทียนจ้องมองฉินตงเฉี่วยที่อยู่ด้านหลังหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“ตงเฉี่วย..เห็นแก่ที่เจ้าเป็นศิษย์น้องมานานหลายปี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าสั่งให้หลิงหยุนมอบกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้มา แล้วจัดการทำลายวรยุทธของเขาทิ้งซะ! และพวกเราพี่น้องรับปากว่าจะไว้ชีวิตเขา!”
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
แทบไม่ต้องรอให้ฉินตงเฉี่วยตอบ..หลิงหยุนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาจ้องมองกัวเสี่ยวเทียนด้วยแววตาดุดันพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ข้าว่าหมอนี่คงจะอยู่แต่ในสำนักดาบสวรรค์มานานเกินไป!จึงได้มั่นอกมั่นใจแบบผิดๆเช่นนี้ หรือไม่สมองของเจ้าก็คงจะมีปัญหาเป็นแน่”..ไอลีนโนเวล
หลิงหยุนพูดออกไปโดยไม่นึกถึงหน้าของกัวเสี่ยวเทียนเลยแม้แต่น้อยไม่เพียงเท่านั้น.. หลิงหยุนยังประกาศกร้าวว่า..
“เฒ่ากัว..เจ้าฟังข้าพูดให้ดี! นับจากนี้ไป.. น้าหญิงของข้า – ฉินตงเฉี่วย จะไม่เป็นศิษย์สำนักดาบสวรรค์แล้ว และไม่มีศิษย์พี่เช่นพวกเจ้า!”
มือซ้ายของหลิงหยุนถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้แน่นและมองไปยังศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกเจ้าทั้งหมดคงได้ยินชัดเจนดีแล้ว..นับจากนี้ไปน้าหญิงของข้า และตระกูลฉินไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสำนักดาบสวรรค์ของพวกเจ้าอีก!”
เวลานี้หลิงหยุนเดือดดาลอย่างมากและประกาศกร้าวแทนฉินตงเฉี่วย!
ร่างงดงามของฉินตงเฉี่วยสั่นสะท้านและใบหน้าถึงกับซีดจนขาว..
“อะไรนะ!”
กัวเสี่ยวเทียนได้ฟังคำประกาศของหลิงหยุนแล้วก็ถึงกับโกรธจนขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง เขาขบฟันแน่พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน แล้วจึงหันไปถามฉินตงเฉี่วยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ฉินตงเฉี่วย..เจ้ามารน้อยผู้นี้ได้กลายเป็นมารเต็มตัวแล้ว! ข้าขอถามเจ้าอีกครั้งว่า.. เจ้าเห็นดีเห็นงามตามที่มารน้อยผู้นี้ประกาศหรือไม่”
ศิษย์สำนักดาบสวรรค์อีกสี่คนก็ถึงกับตกใจมากเช่นกันทั้งหมดหันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง และคิดไม่ถึงว่าทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัว เหตุการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!
เรื่องที่หลิงหยุนเป็นคนเลือดเย็นและโหดเหี้ยมนั้น ทุกคนต่างก็เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วทั้งสิ้น แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะยะโสโอหัง และไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้!
เวลานี้..สายตาทุกคู่ของศิษย์สำนักดาบสวรรค์ ต่างก็จับจ้องอยู่ที่ฉินตงเฉี่วย และกำลังรอคอยการตัดสินใจของนาง!
หลิงหยุนไม่หันกลับไปมองฉินตงเฉี่วย..เขาตัดสินใจแล้วว่า หากเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ทุกอย่างจะต้องอยู่ในการควบคุมของตนเองเท่านั้น!
“ไม่ควรเป็นเช่นนี้..กลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ฉินตงเฉี่วยได้แต่รำพึงรำพันออกมาด้วยความงุนงง..ความจริงแล้วนางตั้งใจมาที่เขาหลงเหมินนี้ในฐานะญาติผู้ใหญ่ของหลิงหยุน และหวังว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้ศิษย์พี่ของนางยอมรับหลิงหยุน หรือหากไม่ยอมรับ อย่างน้อยก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา..
แม้รู้ว่ายากเย็นแต่นางก็ตั้งใจว่าจะพยายามอย่างดีที่สุด! แต่ไม่เพียงศิษย์พี่ใหญ่ของนางไม่เปิดโอกาสให้นางได้อธิบายสิ่งใด หนำซ้ำยังจะทำลายวรยุทธของนางเพื่อบีบบังคับให้หลิงหยุนปรากฏตัวอีกด้วย..
แต่เมื่อหลิงหยุนปรากฏตัว..ไม่เพียงความแข็งแกร่งของเขากลับดูเหมือนจะเหนือกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของนาง แต่คำพูด และท่าทางที่ยะโสโอหังของหลิงหยุนยังได้สร้างความเดือดดาลให้กับกัวเสี่ยวเทียนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกาศกร้าวแทนฉินตงเฉี่วยว่านางจะถอนตัวออกจากสำนักดาบสวรรค์!
และเวลานี้..ฉินตงเฉี่วยก็กำลังเผชิญหน้ากับความลำบากใจอย่างที่สุด กับการที่จะต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง!
ฉินตงเฉี่วยจ้องมองศิษย์พี่ทั้งห้าของตนเองที่กำลังเป็นเดือดเป็นแค้นอยู่นิ่งนานจากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ศิษย์พี่ทุกท่าน..ข้าขอร้องแทนหลิงหยุน ได้โปรดให้โอกาสให้เขาได้อธิบายสักครั้ง..”
ทันทีที่ฉินตงเฉี่วยเอ่ยปาก..กัวเสี่ยวเทียนก็นึกไปถึงโอกาสที่จะได้สอบถามเรื่องพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิจากหลิงหยุน เขาจึงแสร้งทำเป็นถอนหายใจ และพูดเหมือนผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเด็ก
“เจ้าหนู..เห็นแก่น้าสาวของเจ้าที่ร้องขอโอกาสแทน ข้าจะยกเว้นสักครั้ง และให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย..”
จากคำร่ำลือของเหล่าชาวยุทธดูเหมือนว่าพู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิจะเกี่ยวข้องกับหลิงหยุน และในเมื่อฉินตงเฉี่วยอยู่ที่นี่ด้วย จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของสำนักดาบสวรรค์ กัวเสี่ยวเทียนเชื่อว่าตนเองเข้าใกล้ความเป็นจริงมากแล้ว..
อีกทั้งความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้นก็เกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากกัวเสี่ยวเทียนจึงต้องการถอยหลังหนึ่งก้าว..
แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนกลับไม่เห็นกัวเสี่ยวเทียนอยู่ในสายตาริมฝีปากแดงเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างไม่ยี่หระ..
“นี่เฒ่ากัว..เจ้าพล่ามเรื่องอะไรกัน นี่ไม่ใช่เจ้าให้โอกาสข้า.. แต่เป็นข้าให้โอกาสพวกเจ้าต่างหากเล่า!”
“อธิบายงั้นรึเหตุใดข้าต้องอธิบายด้วย? ขอบอกตามตรง.. ที่ข้ากับน้าหญิงมาวันนี้ ก็เพื่อจะบอกกับพวกเจ้าว่านางไม่ใช่คนของสำนักดาบสวรรค์แล้ว!”