บทที่ 965 เย่อหยิ่งจองหอง

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ที่เหลืออีกสี่คนถึงกับทำอะไรไม่ถูกและได้แต่มองหน้ากันด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าตกใจอย่างที่สุด!
  ในความคิดของศิษย์พี่ใหญ่อย่างกัวเสี่ยวเทียนเขามีเพียงแค่ขาวกับดำเท่านั้น ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้ กัวเสี่ยวเทียนจึงไม่คิดฟังหลิงหยุนอธิบายสิ่งใด แต่การที่ให้โอกาสหลิงหยุนเมื่อครู่ จึงนับว่าเป็นความปราณีมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนไม่เพียงไม่ซาบซึ้งในน้ำใจของตนเอง หนำซ้ำยังพูดจายะโสโอหังไม่เห็นหัวเขาเช่นนี้!
  หลิงหยุนไม่เพียงยะโสโอหังธรรมดาเท่านั้นแต่นับว่าเข้าขั้นหยิ่งผยองไม่เกรงกลัวผู้ใดเลยเสียมากกว่า..
  จงชวนเยี่ยนเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นสายตาที่หยิ่งผยองไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้ของหลิงหยุนอีกทั้งยังไม่เคยพบเจอใครที่ไร้เหตุผลดังเช่นหลิงหยุนมาก่อน!
  ในเมื่อหลิงหยุนตัดสินใจมาที่เขาหลงเหมินในคืนนี้จงชวนเยี่ยนเชื่อว่าเขาย่อมรู้ตัวดีว่าจะต้องพบกับวิกฤติเช่นใดบ้าง แต่เมื่อมาถึง.. กลับยังกล้าแสดงท่าทีหยิ่งผยองไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเช่นนี้.. นี่มันอะรกัน?!
  จงชวนเยี่ยนได้แต่คิดเย้ยหยันในใจ‘หึ.. ปล่อยให้เจ้าแสดงความโอหังไปก่อน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะตายในสภาพเช่นใด และเมื่อถึงเวลานั้นดูว่าเจ้าจะร้องขอความเมตตาจากพวกเราอย่างไรบ้าง?’
  หลังจากที่คิดได้เช่นนั้นจงชวนเยี่ยนก็ได้แต่ยืนมองหลิงหยุนนิ่งโดยไม่รู้สึกกระวนกระวายใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกเบิกบานใจด้วยซ้ำไป..
  หลิงหยุนเห็นสีหน้าศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์ก็ได้แต่นึกขันอยู่ในใจ!
  ‘หึ..เมื่อครู่พวกเจ้าทำท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อข้า และกล้าข่มเหงน้าหญิงของข้าเช่นนั้น! พวกเจ้าถึงกับจะทำลายวรยุทธของนาง และไล่นางออกจากสำนักงั้นรึ เวลานี้ข้าเป็นฝ่ายให้น้าหญิงตัดขาดจากสำนักดาบสวรรค์เสียเอง พวกเจ้าถึงกับตกตะลึง และยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งเชียวรึ? แม้กระทั่งชักดาบออกจากฝักแล้ว แต่อาวุธของพวกเจ้ากลับดูไม่ต่างจากท่อนไม้ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง..’
  หลิงหยุนยังคงยืนประจันหน้ากับกัวเสี่ยวเทียนที่กำลังโกรธเกรี้ยวด้วยท่าทีไม่แยแสพร้อมกับคิดในใจว่า
  ‘กล่าวหาข้าเป็นมารงั้นรึเวลานี้ข้ากำลังใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ชี้หน้าเจ้าด้วย! ในเมื่อต้องการให้ชาวยุทธยกย่องว่าเป็นผู้ผดุงคุณธรรม ยังจะพร่ามไร้สาราะอยู่ได้..’
  ในเมื่อจำเป็นต้องประมือ..หลิงหยุนก็ไม่ต้องการเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระก่อนลงมือ แต่หลังสิ้นสุดการต่อสู้.. ผู้ที่ยืนหยัดได้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่สามารถพูดอะไรก็ได้ แม้แต่เรื่องโกหก! เหตุใดจึงต้องพูดมากก่อนด้วยเล่า
  ความจริงแล้วหลิงหยุนรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของกัวเสี่ยวเทียนที่จงใจมาหาเรื่องเขาถึงจิงฉูด้วยตัวเองเช่นนี้ดี และเวลานี้สิ่งที่กัวเสี่ยวเทียนแสดงออกมานั้น ก็เปรียบเสมือนกระจกที่กำลังสะท้อนความปรารถนาที่อยู่ในใจตนเองออกมา..
  ศิษย์สำนักดาบสวรรค์นั้นมั่นใจว่าฉินตงเฉี่วยจะต้องมาตามที่นัดหมายอย่างแน่นอนและคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าหลิงหยุนจะต้องแอบตามนางมา.. หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยปรากฏตัว กัวเสี่ยวเทียนจึงไม่เปิดโอกานให้นางได้อธิบายสิ่งใด ก็เพื่อบีบให้หลิงหยุนปรากฏตัวนั่นเอง
  จากนั้น..กัวเสี่ยวเทียนในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ และอาจารย์ของฉินตงเฉี่วย ก็จะเป็นผู้กดดันให้ฉินตงเฉี่วยบีบบังคับหลิงหยุน และจบลงด้วยการเปิดโอกาสให้หลิงหยุนได้อธิบาย และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะได้ถือโอกาสสอบถามเรื่องพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดินั่นเอง..
  ในความคิดของกัวเสี่ยวเทียนนั้นเขาเชื่อว่าฉินตงเฉี่วยต้องเลือกที่จะเชื่อฟังเขา และอยู่ข้างสำนักดาบสวรรค์อย่างแน่นอน เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยช่วยตระกูลฉินไว้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สอนวรยุทธให้กับนางมาตลอดยี่สิบปีด้วย กัวเสี่ยวเทียนเชื่อว่าไม่น่าจะมีสิ่งใดผิดไปจากที่คาดหมาย..
  กัวเสี่ยวเทียนไม่เคยคิดเลยว่า..หลังจากที่หลิงหยุนปรากฏตัวเท่านั้น สถานการณ์บนเขาหลงเหมินแห่งนี้ กลับตกอยู่ในการควบคุมของหลิงหยุนเพียงผู้เดียว และแม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองยังไม่สามารถทำอะไรได้!
  จากที่ได้สนทนากับเหล่ายอดฝีมือในยุทธภพกัวเสี่ยวเทียนจึงไม่เพียงทราบว่าหลิงหยุนคือผู้ที่ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้ แต่ยังแข็งแกร่งอย่างที่หาผู้ใดเทียบได้ยากอีกด้วย!
  และเวลานี้กัวเสี่ยวเทียนกำลังมาถึงทางตัน!
  ระหว่างที่หลิงหยุนชี้ปลายกระบี่โลหิตแดนใต้มาที่หน้าตนเองเช่นนี้แน่นอนว่ากัวเสี่ยวเทียนย่อมต้องเดือดดาลอย่างมาก แต่เขาจำต้องอดกลั้นไว้.. และส่งสายตาเดือดดาลคู่นั้นไปทางฉินตงเฉี่วยแทน..
  เมื่อมาถึงจุดแตกหักที่ต้องเลือกเช่นนี้ฉินตงเฉี่วยจึงได้แต่ถอนหายใจ นางก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นกดแขนหลิงหยุนลง แล้วพูดขึ้นว่า
  “เจ้าเด็กดื้อ..สำนักดาบสวรรค์มีบุญคุณกับตระกูลฉิน อีกทั้งยังเมตตาช่วยชีวิตพี่สาวของข้าไว้ด้วย ศิษย์พี่ใหญ่ถ่ายทอดวรยุทธให้กับข้า จึงเปรียบเสมือนอาจารย์ เจ้าอย่าได้เสียมารยาทกับศิษย์พี่ใหญ่เช่นนี้..”
  กระทั่งเวลานี้..ฉินตงเฉี่วยยังมีความหวังว่าสำนักดาบสวรรค์จะยกโทษให้ และยอมฟังคำอธิบายของนางอย่างละเอียด แล้วหลังจากนั้นเรื่องขุ่นข้องหมองใจต่างๆ ก็จะได้สลายไป..
  ฉินตงเฉี่วยคิดว่า..หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกทำให้เสียหน้าในคืนนี้ และไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ หลังจากพายุในเมืองจิงฉูพัดผ่านไป ฉินตงเฉี่วยก็ตั้งใจว่าจะกลับไปที่สำนักดาบสวรรค์เพื่อรับโทษ..
  แต่ความจริงแล้ว..ฉินตงเฉี่วยรู้ดีว่านี่ไม่ใช่การให้โอกาสตนเอง หรือให้โอกาสหลิงหยุน แต่มันคือการให้โอกาสกับสำนักดาบสวรรค์ต่างหาก!
  เวลานี้พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิล้วนอยู่ในตัวของหลิงหยุน แน่นอนว่าชะตากรรมของเขานั้นจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์อย่างแน่นอน อีกทั้งหลิงหยุนเองยังเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตน ดังนั้นตราบใดที่หลิงหยุนยังไม่ตาย ความก้าวหน้าของเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และสำนักเล็กๆ อย่างสำนักดาบสวรรค์จึงยากที่จะต้านทานหลิงหยุนได้!
  แม้เวลานี้หลิงหยุนอาจจะดูเหมือนด้อยกว่าแต่ฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่หวังว่าสำนักดาบสวรรค์จะไม่บีบคั้นหลิงหยุนมากจนเกินไป และในวันที่หลิงหยุนผงาดขึ้นในยุทธภพได้เมื่อใด สำนักดาบสวรรค์ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลด้วยเช่นกัน..
  ด้วยเหตุผลนี้..ฉินตงเฉี่วยจึงไม่ต้องการเห็นหลิงหยุนกับสำนักดาบสวรรค์เป็นปฏิปักษ์กันเอง..
  แต่..ดูเหมือนฉินตงเฉี่วยจะคิดผิดถนัด..
  เพราะหลิงหยุนเก็บหันหลังกลับมาพูดกับฉินตงเฉี่วยว่า“น้าหญิง.. ข้ารู้ว่าสำนักดาบสวรรค์มีบุญคุณกับตระกูลฉิน แต่..”
  “บุณคุณเป็นสิ่งที่สามารถตอบแทนได้..”
  จากนั้น..หลิงหยุนก็ยกมือทั้งสองข้างไขว้หลัง และหันกลับไปหาศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ข้ารู้ว่าเมื่อสิบแปดปีที่แล้วสำนักดาบสวรรค์ได้ช่วยตระกูลฉินไว้..”
  “เห็นแก่สำนักดาบสวรรค์ที่เคยช่วยตระกูลฉินไว้ตราบใดที่สำนักดาบสวรรค์ไม่ยุ่งกับข้า ข้ารับปากจะไม่ถล่มสำนักดาบสวรรค์เป็นการตอบแทน!”
  ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปากของหลิงหยุน..ศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์ก็ถึงกลับงุนงง ประหลาดใจ และต่างก็หันไปมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า“สอง.. ในเมื่อสำนักดาบสวรรค์ช่วยชีวิตของแม่ข้าไว้ ข้าก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งห้าคน.. ห้าชีวิตแลกหนึ่งชีวิต พวกเจ้าล้วนเป็นฝ่ายได้กำไรไม่ใช่รึ”
  และครั้งนี้ศิษย์สำนักดาบสวรรค์ทั้งห้าคนถึงกับเดือดดาลอย่างที่สุด!
  “สาม..ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สอนวรยุทธให้กับน้าหญิงของข้า ข้ารับปากจะตอบแทนเจ้าด้วยการสอนเพลงกระบี่ เพลงดาบ หรือเพลงหมัดตอบแทนให้ เจ้าเป็นฝ่ายเลือกว่าต้องการจะเรียนอะไร ข้ารับรองได้ว่าทุกวิชาของข้าล้วนแล้วแต่เหนือกว่าเพลงดาบของสำนักดาบสวรรค์เป็นพันเท่า!”
  หลิงหยุนจ้องมองใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของยอดฝีมือทั้งห้าคนในใจได้แต่นึกเย้ยหยัน และพูดต่อว่า
  “อีกอย่าง..หากพวกเจ้าทั้งหมดยอมลงจากเขาหลงเหมินแต่โดยดี จะเป็นประโยชน์ และผลดีต่อสำนักดาบสวรรค์อย่างมากทีเดียว!”
  “เอาล่ะ..สิ่งที่ข้าต้องการพูดก็พูดจบแล้ว พวกเจ้าคิดเห็นเช่นใดก็ว่ามา แต่หากไม่มีความคิดเห็นใด ก็เป็นอันว่าตกลงตามนี้!”
  จะให้แสดงความคิดเห็นเช่นใดศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์ต่างก็คิดว่า สิ่งที่หลิงหยุนพูดมาทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างความอัปยศให้กับสำนักดาบสวรรค์ และไม่ต่างจากรยั่วยุ!
  จะไม่ถล่มสำนักดาบสวรรค์จะไม่สังหารศิษย์ทั้งห้า? และยังจะสอนวิชาที่เหนือกว่าวิชาของสำนักดาบสวรรค์อีกด้วยงั้นรึ?
  หากศิษย์สำนักดาบสวรรค์สามารถทนได้ต่อไปสำนักดาบสวรรค์คงต้องเปลี่ยนเป็นสำนักเต่าหัวหดเป็นแน่..
  กัวเสี่ยวเทียนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปเขาโกรธจนเส้นเลือดตามหน้าผากปูดโปน และใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะ พร้อมกับร้องตะโกนถามเสียงดังสนั่น
  “ฉินตงเฉี่วย..หลิงหยุนยะโสโอหัง และกล้าหยามสำนักของเจ้าเช่นนี้! เจ้ายังจะปกป้องมันอยู่อีกงั้นรึ”
  ฉินตงเฉี่วยได้แต่นิ่งเงียบและกำลังตกอยู่ในความตะลึงงัน!
  “หึ..เจ้าเด็กชั่วช้า! เจ้ากล้าสร้างความอัปยศให้กับสำนักของเรา เจ้าอย่าได้หวังที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เลย!”
  หลิวซุ่ยเฟิงไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีกเช่นกันเขาร้องตะโกนออกมาพร้อมกับกระโดดออกมาจากด้านหลังของกัวเสี่ยวเทียน พร้อมกับชี้ดาบคมกริบในมือใส่หน้าหลิงหยุน
  “หึ..ในเมื่อพวกเจ้าต้องการที่จะสู้กับข้าตั้งแต่แรก เหตุใดยังต้องให้ข้าเปลืองน้ำลายพูดไปตั้งมากมาย!”
  ระหว่างที่พูดออกไปนั้นหลิงหยุนก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยื่นมือไปดึงร่างของฉินตงเฉี่วยกลับมา!
  “หลิวซุ่ยเฟิง..เจ้าลืมความเจ็บปวดที่ฝ่ามือเมื่อครั้งก่อนแล้วงั้นรึ”…novel-lucky
  หลิงหยุนชี้ปลายกระบี่โลหิตแดนใต้ไปทางหลิวซุ่ยเฟิงพร้อมกับร้องถามด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง..
  ทันทีที่ประกายสีเงินจากดาบของหลิวซุ่ยเฟิงสว่างวูบวาบขึ้นกระบี่สี่ดำในมือของหลิงหยุนก็ฟันเข้าที่ปลายดาบของหลิวซุ่ยเฟิง จนแยกออกเป็นสองซีก..
  “ห๊ะ!”
  หลิวซุ่ยเฟิงตกใจสุดขีดและขนลุกขนชันไปทั่วทั้งร่าง เขารีบทิ้งดาบในมือ และใช้วิชาตัวเบากระโดดตีลังกาหนีหลิงหยุนทันที
  “กระบี่นี่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”
  ทั้งกัวเสี่ยวเทียนฮวู๋ฉีเฟิง จี้เสี่ยวฉิง และจงชวนเยี่ยนต่างก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน และตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของหลิงหยุน
  หลิวซุ่ยเฟิงซึ่งอยู่ในชั้นเซียงเทียน-5แต่กลับไม่สามารถต้านทานหลิงหยุนได้แม้เพียงแค่ดาบเดียว!
  ยิ่งไปกว่านั้น..ผู้ที่บุกเข้าไปหมายสังหารก็คือหลิวซุ่ยเฟิง แต่หลิงหยุนกลับยืนนิ่ง และเมื่อเขาลงมือก็รวดเร็วจนหลิวซุ่ยเฟิงถึงกับต้องทิ้งกระบี่ที่ถูกฟันแยกแป็นสองเสี่ยง แล้วกระโดดถอยหนีทันที!
  ต้องแข็งแกร่งเพียงใดถึงจะทำเช่นนี้ได้!
  หลิงหยุนจัดการฟันดาบประจำตระกูลที่แข็งแกร่งของหลิวซุ่ยเฟิงขาดออกกลายเป็นตะเกียบสองข้างแล้ว จึงหันไปมองหลิวซุ่ยเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “มีฝีมือเพียงแค่นี้แต่กล้าคิดจะเอาชีวิตข้า!ช่างน่าอับอายนัก!”
  ร่างของหลิวซุ่ยเฟิงกระโดดหนีไปไกลกว่าสามเมตรใบหน้าของเขาซีดเผือด และจ้องมองหลิงหยุนราวกับกำลังเห็นปีศาจ..
  หลิงหยุนชี้ปลายกระบี่ไปทางหลิวซุ่ยเฟิงที่มีสีหน้าหวาดกลัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เมื่อครู่ข้าสามารถสังหารเจ้าได้ภายในดาบเดียวหากยังกล้ายุ่งกับข้าอีก ครั้งต่อไปข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่!”
  หลิงหยุนไม่สนใจหลิวซุ่ยเฟิงอีกเขากวาดสายตาไปทางยอดฝีมือที่เหลืออีกสี่คน พร้อมกับร้องถามอย่างหมดความอดทน
  “บอกมา..พวกเจ้าจะเข้ามาทีละคน หรือจะเข้ามาพร้อมๆกัน”
  “แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า..คืนนี้ข้าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก หากผู้ใดต่ำกว่าขั้นเซียงเทียน-8 ก็อย่าได้เข้ามาจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยให้รอดเงื้อมือไปได้แน่!”
  หลิงหยุนหันไปมองฮวู๋ฉีเฟิงและหญิงสาวอีกสองคน และในที่สุดสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่กัวเสี่ยวเทียน””
  “เฒ่ากัว..กระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือของข้าแล้ว หากเจ้ามีความสามารถ ก็มาแย่งชิงไปได้เลย!”