ต่อหน้าศิษย์ทั้งห้าของสำนักดาบสวรรค์หลิงหยุนกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาทั้งหัวเราะเสียงดัง และร้องตะโกนออกมาอย่างไม่เห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา
สองคืนติดกันที่หลิงหยุนผ่านศึกการต่อสู้มานั้นทำให้เวลานี้ร่างกาย และจิตใจของเขาอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้สูงสุดอย่างน่าแปลกใจ..
ฮู๋วฉีเฟิงที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด..ในที่สุดก็เดินเข้าไปหากัวเสี่ยวเทียน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบ
“ศิษย์พี่ใหญ่..ข้าจะประลองกับเขาเอง!”
น้ำเสียงของฮู๋วฉีเฟิงนั้นแม้จะบางเบาแต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น ท่าทางของเขาทั้งสง่าผ่าเผย และน่าเกรงขามยิ่งนัก!
ในบรรดาศิษย์ทั้งห้าคนของสำนักดาบสวรรค์นั้นแน่นอนว่ากัวเสี่ยวเทียนนั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และการตัดสินใจก็อยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว..
เหตุการณ์ระหว่างหลิวซุ่ยเฟิงกับหลิงหยุนเมื่อครู่นั้นผู้อื่นอาจจะเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่กัวเสี่ยวเทียนที่เป็นห่วงว่าหลิวซุ่ยเฟิงจะได้รับบาดเจ็บนั้น สายตาของเขาจึงจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลิงหยุนไม่วางตา และได้เห็นทุกการเคลื่อนไหวของหลิงหยุนได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง!
กัวเสี่ยวเทียนรู้ดีว่าเพลงดาบของหลิวซุ่ยเฟิงเมื่อครู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ และมุ่งสังหารหลิงหยุน จึงได้ดุดัน รุนแรง และรวดเร็วเกินกว่าที่ผู้ใดจะสามารถรับมือได้ง่ายๆ
แต่ในจังหวะที่หลิงหยุนกำลังดึงมือฉินตงเฉี่วยไปทางด้านหลังของตนเองนั้นกระบี่ในมือของเขาก็ยกขึ้นฟันเข้ากับปลายดาบของหลิวซุ่ยเฟิงได้อย่างแม่นยำ และง่ายดาย จนกระทั่งดาบของหลิวซุ่ยเฟิงนั้นแยกออกเป็นสองเสี่ยง!
กระบี่ที่แม่นยำและรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุน ทำให้กัวเสี่ยวเทียนถึงกับนึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ!
เพลงดาบที่ดุดันรวดเร็ว และแม่นยำของหลิวซุ่ยเฟิงนั้น ผู้ที่สามารถรับมือได้แม่นยำเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องมีสายตาที่แหลมคม และมีกำลังแขนที่แข็งแกร่งมากเพียงใด
ในเสี้ยววินาทีที่กระบี่ของหลิงหยุนปะทะเข้ากับปลายดาบของหลิวซุ่ยเฟิงนั้นหลิงซุ่ยเฟิงเองก็ได้พยายามบิดข้อมือข้างที่ถือดาบนั้นถึงสามครั้ง เพื่อที่จะตวัดปลายดาบให้พ้นจากกระบี่สีดำของหลิงหยุน แต่กระบี่ที่คมกริบของหลิงหยุนกลับตัดดาบในมือของหลิวซุ่ยเฟิง และรูดลงตามยาวจนดาบนั้นแยกออกเป็นสองซีกได้อย่างง่ายดาย..
และหากหลิวซุ่ยเฟิงปล่อยให้กระบี่สีดำของหลิงหยุนยังคงรูดลงโดยที่เขาไม่ทิ้งดาบในมือและกระโดดหนีไปนั้น แน่นอนว่ากระบี่สีดำของหลิงหยุนคงต้องแทงเข้าที่หน้าอกของตนเองแล้วเป็นแน่!
และที่สำคัญ..หลิงหยุนเพียงแค่ขยับกระบี่ในมือเท่านั้น เขายังไม่ได้ขยับปลายเท้าเลยแม้แต่นิดเดียว จึงยังไม่สามารถสังหารหลิวซุ่ยเฟิงได้ในดาบเดียวนั้น..
แต่ความจริงต้องพูดว่า..หลิงหยุนไม่ต้องการสังหารหลิวซุ่ยเฟิงจึงจะถูกต้อง! ไม่เช่นนั้นแล้วหากหลิงหยุนเพิ่มความเร็วของกระบี่ในมือมากขึ้นกว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย แม้แต่กัวเสี่ยวเทียนก็คงช่วยได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของหลิวซุ่ยเฟิงเท่านั้น..
ใจอยู่ที่ใด..กระบี่ก็อยู่ที่นั่น! เวลานี้เพลงกระบี่ของหลิงหยุนฝึกถึงขั้นที่กายกับกระบี่รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว..
เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างยะโสโอหังและหยิ่งผยองยิ่งนัก แต่นั่นเป็นเพราะเขาเองก็มีคุณสมบัติที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้!
‘ช่างน่าเสียดายนัก..ในหนึ่งร้อยปีจึงจะมีผู้เป็นเลิศด้านวรยุทธเกิดขึ้นสักคน แต่เขากลับเลือกที่จะเดินเข้าสู่เส้นทางมารเช่นนี้!’
หลังจากที่กัวเสี่ยวเทียนหายตกตะลึงเขาก็ได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจ และได้แต่แอบถอนใจอยู่เงียบๆ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองฮู๋วฉีเฟิงพร้อมกับส่ายหน้าไปมาช้าๆ แล้วจึงตอบกลับไปว่า
“น้องสาม..เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
“อะไรนะ!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปากของกัวเสี่ยวเทียนจี้เสี่ยวฉิงและจงชวนเยี่ยนที่ได้ยินอย่างชัดเจนนั้น ต่างก็ตกใจอย่างมากจนถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกัน และแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน!
ในสำนักดาบสวรรค์นั้นฮู๋วฉีเฟิงในฐานะศิษย์คนที่สาม นับว่าเป็นผู้ที่สามารถใช้ดาบได้อย่างยอดเยี่ยม ในวัยเพียงแค่สามสิบหกปี ก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ได้แล้ว แม้แต่ท่านอาจารย์เอง.. ครั้งหนึ่งยังเคยพูดว่าในวันที่ฮู๋วฉีเฟิงอายุเท่ากับกัวเสี่ยวเทียน เพลงดาบของเขานั้นอาจะเหนือกว่ากัวเสี่ยวเทียนในเวลานี้ด้วยซ้ำไป!
แต่เวลานี้..ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักอย่างกัวเสี่ยวเทียน กลับพูดว่าฮู๋วฉีเฟิงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน พวกนางทั้งสองจะสามารถทำใจยอมรับได้เช่นใดกันเล่า!
และหากจงชวนเยี่ยนเป็นผู้กล่าวประโยคนี้ออกมาก็คงจะกลายเป็นการสบประมาทไป แต่เมื่อกัวเสี่ยวเทียนเป็นผู้กล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องตระหนัก.. แต่นางเองก็ยากที่จะเชื่อได้..
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่..จงชวนเยี่ยนจึงหันไปมองหลิงหยุนซึ่งอยู่ตรงข้ามด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ!
แต่ถึงกระนั้น..ฮู๋วฉีเฟิงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้ากัวเสี่ยวเทียนนั้น ก็ได้เอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ศิษย์พี่ใหญ่..ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ข้ายังอยากจะลองดูสักครั้ง..”
การได้ประมือกับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศในยุทธภพมีหรือที่จะไม่รู้สึกภาคภูมิใจ ฮู๋วฉีเฟิงจึงได้ดื้อรั้นที่จะประลองกับหลิงหยุนให้ได้
แม้กัวเสี่ยวเทียนจะมีสายตาที่แหลมคมแต่สายตาของฮู๋วเสี่ยวเฟิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านัก เขาจึงเอ่ยปากยอมรับว่าตนเองยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน แต่ก็ยังยืนกรานจะประมือกับหลิงหยุนให้ได้!…novel-lucky
และจากที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันมานานกัวเสี่ยวเฟิงจึงรู้จัก และเข้าใจอุปนิสัยใจคอของฮู๋วฉีเฟิงได้ดี และรู้ว่าคงจะห้ามปรามฮู๋วฉีเฟิงได้ยากนัก จึงได้แต่พยักหน้ายินยอมให้เขาได้ประลองกับหลิงหยุน
แต่ในระหว่างนั้นก็ได้เตือนฮู๋วฉีเฟิงผ่านทางจิต..
-น้องสาม..กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุนนั้นคมยิ่งนัก สามารถตัดโลหะ และหินแกร่งได้อย่างง่ายดาย ดาบของเจ้าเป็นเพียงเหล็กธรรมดาๆ อย่าได้รีบร้อนจู่โจมนัก พยายามหลอกล่อ และจำไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ดาบในมือของเจ้าหัก จงรีบกระโดดออกจากการประลองทันที!–
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่..ข้าน้อมรับคำชี้แนะ!”
พูดจบ..ฮู๋วเสี่ยวเฟิงก็ไม่รีรอ เขารีบหันหน้ากลับไปเผชิญกับหลิงหยุนทันที พร้อมกับก้าวเท้าไปด้านหน้าสามก้าว..
ฮู๋วฉีเฟิงจ้องมองหลิงหยุนด้วยสายตาที่เย็นดั่งสายน้ำไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ศิษย์คนที่สามแห่งสำนักดาบสวรรค์– ฮู๋วฉีเฟิง.. ขอคำชี้แนะด้วย!”
หลิงหยุนมองฮู๋วฉีเฟิงด้วยแววตาสนอกสนใจและได้แต่ยิ้มออกมา..
“เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าข้าไม่ต้องการทำร้ายเจ้า!”
ความจริงแล้วหลิงหยุนรู้สึกประทับใจในตัวของฮู๋วฉีเฟิงอยู่บ้างไม่มากก็น้อยและที่เขาจงใจพูดจายั่วยวนกวนโมโหนั้น ก็เพื่อยั่วยุให้กัวเสี่ยวเทียนทนไม่ได้ และลงมือต่อสู้กับเขาด้วยตัวเอง..
แต่กลับกลายเป็นว่าฮู๋วฉีเทียนเป็นฝ่ายออกรับหน้าแทนทำให้หิลงหยุนรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย..
“ได้โปรดชี้แนะด้วย!”
ฮู๋วเสี่ยวเฟิงยังคงถือดาบในมือนิ่งและย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น..
หลิงหยุนเหลือบมองฮู๋วเสี่ยวเฟิงพร้อมกับพูดยิ้มๆ“ดูเหมือนเจ้าคงต้องการจะประลองกับข้าให้ได้สินะ เอาล่ะ.. ในเมื่อดาบในมือเจ้าเป็นเพียงดาบธรรมดาๆ ข้าเองก็จะไม่เอาเปรียบเจ้า และจะสู้กับเจ้าด้วยมือเปล่า!”
ระหว่างที่พูดนั้น..หลิงหยุนก็ได้เก็บกระบี่โลหิตแดนใต้เข้าไปในฝัก ก่อนจะโยนไปทางด้านหลังของตนเอง
“หยิบกระบี่ของเจ้าขึ้นมา!”
ฮู๋วเสี่ยวเฟิงถึงกับตกใจและร้องบอกหลิงหยุนด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก ดวงตาที่สงบนิ่งตลอดเวลานั้นเป็นประกายขึ้นมา เพราะคิดว่าหลิงหยุนจงใจดูถูกให้ตนเองต้องได้รับความอับอาย
แต่หลิงหยุนกลับยิ้มเพียงเล็กน้อยและไม่สนใจคำพูดของฮู๋วฉีเฟิง เขาหันไปมองกัวเสี่ยวเทียนที่อยู่ด้านหลังฮู๋วฉีเฟิง พร้อมกับพูดจาเสียดสีประชดประชัน..
“ที่ข้าไม่ต้องการใช้อาวุธเพราะต้องการจะสั่งสอนศิษย์พี่หัวโบราณของเจ้าให้ได้รู้ว่า อาวุธก็เป็นเพียงแค่อาวุธ จะใช้มัน หรือไม่ใช้มัน ล้วนขึ้นอยู่กับตัวข้าทั้งสิ้น!”
“ในสายตาของพวกเจ้า..หากผู้ใดถือกระบี่โลหิตแดนใตไว้ในมือ คนผู้นั้นจะต้องกลายเป็นมารไม่ใช่รึ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
“ถ้าเช่นนั้น..ทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ขับเครื่องบินไล่ทิ้งระเบิดไปตามเมืองต่างๆ จนผู้คนล้มตายเป็นหมื่นเป็นแสน ในสายตาของพวกเจ้า ทหารเหล่านั้นเป็นมารด้วยหรือไม่”
“ในยุคที่มนุษย์เราใช้นิ้วเพียงแค่นิ้วเดียวกดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์หรือระเบิดมิดไซล์ ก็สามารถถล่มเมืองทั้งเมือง และสังหารผู้คนได้นับล้านคนในคราวเดียว ในสายตาของพวกเจ้า ผู้ที่กดปุ่มระเบิดนั้น.. คือผู้พิทักษ์โลกงั้นรึ”
“กัวเสี่ยวเทียน..ไม่ว่าจะเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ของข้า หรือว่าดาบบนหลังของเจ้า มันไม่สามารถลอยออกมาสังหารผู้คนเองได้ เจ้าควรจดจำไว้ให้ดีว่าลำพังแค่อาวุธนั้น ตัวมันเองไม่อาจสังหารผู้คนได้ แต่เป็นคนต่างหากที่สังหารคนด้วยกันเอง!”
กัวเสี่ยวเทียนที่ยืนฟังคำพูดยืดยาวของหลิงหยุนนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดเช่นใดอยู่ เราะเขาเอาแต่ยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา..
หลิงหยุนเองเมื่อได้แสดงความคิดเห็นยืดยาวของตนเองออกไปแล้วก็ไม่คิดที่จะรอฟังความเห็นจากปากของกัวเสี่ยวเทียน เขาหันไปยิ้มให้กับฮู๋วฉีเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าคงเข้าใจว่าข้าตั้งใจดูถูกและใจงใจสร้างความอับอายให้กับเจ้าสินะ! แต่ความจริงแล้ว.. ร่างกายของข้าทุกส่วนล้วนคืออาวุธ!”
“อย่างเช่นเพลงหมัดนี้!”
ในเมื่อฮู๋วฉีเฟิงต้องการประลองกับเขามากแต่กลับไม่ต้องการเป็นฝ่ายเริ่ม หลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายเริ่มแทน และเวลานี้ร่างของเขาก็เหลือเพียงเงายืนอยู่ตรงหน้าฮู๋วฉีเฟิง..
วิชามังกรพรางร่างและหมัดปีศาจเถียนกัง!
และเมื่อร่างจริงของหลิงหยุนปรากฏขึ้นอีกครั้ง..ลำตัวของฮู๋วฉีเฟิงก็คล้ายกับมีหินก้อนใหญ่ซัดเข้าไปเต็มแรง!
ภายใต้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนนั้นเขาได้ส่งหมัดตรงเข้าไปที่ใบหน้าของฮู๋วฉีเฟิงหนึ่งหมัดทันที!
“สวรรค์!วิชาตัวเบาของเขาช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”
จงชวนเยี่ยนมองภาพที่น่าสยดสยองนั้นพร้อมกับอ้าปากกว้างด้วยความตระหนกตกใจ..
“น้องสาม..เจ้าระวังตัวด้วย!” กัวเสี่ยวเทียนเองก็ร้องเตือนฮู๋วฉีเฟิงด้วยความตกใจเช่นกัน
เด็กหนุ่มอายุเพียงแค่สิบแปดปีแต่กลับสามารถฝึกฝนเพลงกระบี่ได้ถึงขั้นนี้ อีกทั้งยังมีวิชาตัวเบาที่สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวกับล่องหน กัวเสี่ยวเทียนเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกัน..
แต่นับว่าโชคดีที่ฮู๋วฉีเฟิงหมุนร่างหลบหนีหมัดทรงพลังของหลิงหยุนได้อย่างรวดเร็วหมัดของหลิงหยุนจึงเฉียดใบหน้าของฮู๋วฉีเฟิงไปเพียงนิดเดียว แต่ถึงกระนั้นดาบคมในมือของฮู๋วฉีเฟิงก็พุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าหลิงหยุนด้วยเช่นกัน!
“เจ้าพลาดแล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและในขณะที่ปลายดาบของอีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่หน้าจนเกือบจะโดนจมูกของเขานั้น หลิงหยุนก็เอียงใบหน้าเล็กน้อย และสามารถหลบดาบยาวของฮู๋วฉีเฟิงได้อย่างทันท่วงที!
และในเวลานั้น..ร่างของหลิงหยุนก็ได้ไปยืนอยู่ข้างกายฮู๋วฉีเฟิงแล้ว หลิงหยุนยิ้มมุมปาก สายตาเหลือบมองดาบในมือของฮู๋วฉีเฟิง และทันใดนั้นเองหมัดของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นกงเล็บ และจิกเข้าที่ข้อมือของฮู๋วฉีเฟิงอย่างรวดเร็ว!
ในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้..ยากนักที่ฮู๋วฉีเฟิงจะสามารถหลบกรงเล็บของหลิงหยุนได้..
“ข้าขอยืมดาบของเจ้าหน่อย!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับยื่นมือที่เหลืออีกข้างไปคว้าดาบในมือของฮู๋วฉีเฟิงมาได้อย่างง่ายดาย!
ด้วยสัญชาติญาณนักดาบ..แน่นอนว่าฮู๋วฉีเฟิงย่อมต้องปกป้องดาบในมือของตนเองอย่างสุดความสามารถ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า.. กรงเล็บที่บีบข้อมือของหลิงหยุนนั้นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้..
“ปล่อยมือของเจ้าซะ!”
ฮู๋วฉีเฟิงไม่อาจต้านทานได้และจำต้องปล่อยดาบยาวในมือทิ้งไป หลิงหยุนจึงเอื้อมมืออีกข้างไปรับดาบที่กำลังหล่นลงพื้นทันที
และในที่สุด..มือเปล่าก็สามารถเอาชนะดาบได้!