ตอนที่ 1900-1902

Genius Doctor Black Belly Miss

ตอนที่ 1900 การเปิดตัวที่เปล่งประกาย (5)
  “ขอบคุณ” จวินอู๋เสียกล่าวอย่างเฉยเมย และเดินไปยังที่นั่งว่าง
  ประมุขวิหารต่างๆและเหล่าผู้อาวุโสสงบลงบ้างแล้ว แต่ศิษย์หนุ่มๆยังอดไม่ได้ที่จะให้คามสนใจทุกการกระทำของจวินอู๋เสีย ดวงตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมานอกเบ้าแล้ว
  จนกระทั่งจวินอู๋เสียนั่งลง ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นคนหลายคนที่ตามหลังจวินอู๋เสีย มีผู้หญิงอีกสองคนที่หน้าตาโดดเด่น แต่เมื่อยืนอยู่ข้างๆจวินอู๋เสีย ความงามของพวกนางก็ถูกบดบัง ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้มีเสน่ห์น่าตะลึงอะไรนัก
  ขณะที่ความเงียบแปลกๆในงานเลี้ยงค่อยๆซาลง เสียงกระซิบเบาๆก็ค่อยๆดังไปทั่วห้องโถง
  ประมุขวิหารปีศาจเพลิงแอบมองคนของวิหารเงาจันทรา ตอนแรกเขาคิดว่าที่คนของวิหารเงาจันทรามาน้อยเป็นเพราะความไม่รู้เรื่องรู้ราวของประมุขคนใหม่ แต่หลังจากได้เห็นจวินอู๋เสีย เขาก็ไม่คิดว่านางเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและโง่เขลาอีกต่อไป
  ความสง่างามที่แผ่ออกมาจากตัวนางไม่ใช่สิ่งที่จะแสร้งทำได้
  หลังจากประมุขวิหารปีศาจเพลิงกวาดตามองคนติดตามของจวินอู๋เสีย เขาก็ยิ่งสับสนงุนงงมากขึ้น
  ในบรรดาเก้าคนที่ติดตามจวินอู๋เสีย เขาเคยเห็นมาก่อนสองคน หนึ่งคือผู้อาวุโสอิ่งแห่งวิหารเงาจันทรา อีกหนึ่งคือหลานชายบุญธรรมของผู้อาวุโสเยว่ เยว่อี้ นอกจากนี้ยังมีเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ดูเหมือนเยว่อี้มาก ถ้าเขาเดาไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นเยว่เย่ น้องสาวของเยว่อี้
  เดิมทีผู้อาวุโสอิ่งเป็นคนของตระกูลจ้าน ตระกูลจ้านมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในอาณาจักรกลาง และมีสมบัติดีๆสะสมไว้เป็นจำนวนมาก แต่ปัดเรื่องภูมิหลังของเขาที่เป็นคนของตระกูลจ้านออกไป ผู้อาวุโสอิ่งก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายอะไรนัก ส่วนเยว่อี้แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว แต่เทียบกับเฉียวฉู่แล้ว เขาก็ค่อนข้างอ่อนแอไม่ได้นับว่าเป็นพวกกะทิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยว่เย่เลยด้วยซ้ำ
  มีจุดหนึ่งที่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงรู้สึกว่าแปลกมาก นั่นก็คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในวิหารเงาจันทรา ผู้อาวุโสเยว่ ทำไมเขาถึงไม่ได้มาด้วย?
  นอกจากคนไม่กี่คนที่เขารู้จัก คนทั้งหมดที่เหลือเป็นคนที่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงไม่เคยเห็นมาก่อน
  และคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาก็คงจะเป็นผู้หญิงที่มีท่าทางสง่างามคล้ายกับจวินอู๋เสีย พลังของนางก็ไม่เลวเช่นกัน แต่ยังด้อยกว่าเยว่อี้
  ส่วนพวกที่เหลือก็ไม่เห็นมีใครมีพลังที่โดดเด่น ยิ่งผู้ชายกับเด็กชายสองคนนั่น เขาสัมผัสพลังวิญญาณจากตัวพวกเขาไม่ได้สักนิด ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากขึ้น
  จากความรู้สึกที่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงสัมผัสได้จากตัวจวินอู๋เสีย นางดูไม่เหมือนคนไม่มีสมอง แต่การที่นางพากลุ่มคนที่มีพลังธรรมดาทั่วไปมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของสิบสองวิหารเช่นนี้ นางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
  เป็นไปได้ไหมว่าประมุขวิหารคนก่อนตั้งใจสร้างปัญหาให้นาง?
  ทุกคนรู้ว่าประมุขวิหารคนก่อนล้มป่วยจึงต้องสละตำแหน่งอย่างไม่มีทางเลือก แต่ไม่มีผู้ปกครองคนใดเต็มใจสละอำนาจทั้งหมดของพวกเขาหรอก ต่อให้เป็นน้องสาวของตัวเองก็ตาม ประมุขวิหารปีศาจเพลิงกำลังประเมินสถานการณ์โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เขาเดาว่าเหตุผลที่จวินอู๋เสียนำคนไม่ได้เรื่องมาที่นี่หลายคนและส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ไม่คุ้นเคย คงเป็นเพราะประมุขวิหารคนก่อนกุมอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้
  “งั้นนางก็เป็นแค่หุ่นเชิด” ประมุขวิหารปีศาจเพลิงพึมพำกับตัวเองพร้อมกับลูบคาง ในใจคิดเย้ยหยันและอดดูถูกจวินอู๋เสียไม่ได้
  ความคิดของประมุขวิหารปีศาจเพลิงบังเอิญตรงกันกับประมุขวิหารอื่นๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย หลังจากหลงเคลิบเคลิ้มไปในตอนแรกแล้ว ทุกคนก็ตั้งสติอย่างรวดเร็วเพื่อวิเคราะห์ว่าประมุขวิหารเงาจันทราคนใหม่มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด
  “ในเมื่อรวมตัวกันครบทุกคนแล้ว ทำไมไม่ดื่มอวยพรกันหน่อยล่ะ นานแล้วที่พวกเราสิบสองวิหารไม่ได้มารวมตัวกันเช่นวันนี้ ข้าขอดื่มอวยพรให้กับความรุ่งโรจน์ของสิบสองวิหารเรา” ประมุขวิหารปีศาจเพลิงยืนขึ้นกล่าวพร้อมกับชูแก้วขึ้น
ตอนที่ 1901 อาหารเรียกน้ำย่อย (1)
  ทุกคนเกรงใจเขา จึงพากันลุกขึ้นและดื่มเหล้าจากแก้วของตน
  จวินอู๋เสียก็ปฏิบัติตามทุกคน
  จนกระทั่งทุกคนนั่งลงตามเดิม พวกเขาก็อึกทึกคึกคักกันมากขึ้น
  เดิมทีทุกคนเอาความโกรธไปลงที่วิหารเงาจันทรา แต่เมื่อรู้ว่าวิหารเงาจันทราพาคนมาแค่สิบคนเท่านั้น และประมุขคนเก่ากับคนใหม่ก็ไม่ลงรอยกัน ความรู้สึกไม่เท่าเทียมในใจพวกเขาก็บรรเทาลงมาก นอกจากนั้น ด้วยหน้าตาที่งดงามของจวินอู๋เสีย ทุกคนจึงไม่มีใจที่จะรุมโจมตีนางอีกต่อไป
  เมื่อสูญเสียเป้าหมายระบายความโกรธ และด้วยสุราชั้นดีที่ลงท้องไปหลายแก้ว บรรยากาศในงานเลี้ยงก็เริ่มตึงเครียดขึ้นอีก
  ผู้มีอำนาจหลายคนจากวิหารต่างๆที่อดกลั้นเอาไว้เริ่มหงุดหงิดอารมณ์เสียอีกครั้ง คำพูดที่พูดต่อกันก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นดินปืน
  เฟยเหยียนนั่งจิบสุราอยู่ข้างๆประมุขวิหารมังกร ชื่นชมการเล่นไม้นี้ของจวินอู๋เสีย
  เหตุผลที่จวินอู๋เสียพาคนมาที่นี่แค่ไม่กี่คนก็เพื่อสร้างภาพให้คนเข้าใจผิด ทำให้พวกเขาคิดว่ามีความไม่สงบภายในวิหารเงาจันทราอย่างที่เห็นภายนอก และการที่พวกเขาเสียเปรียบเรื่องจำนวนคนก็ทำให้บรรดาประมุขวิหารต่างๆไม่รู้สึกถูกคุกคาม ทำให้การมีอยู่และจุดยืนของวิหารเงาจันทราอ่อนแออย่างมาก พวกเขาจะค่อยๆลืมการคุกคามของวิหารเงาจันทราและเริ่มโจมตีศัตรูของตัวเอง
  เฟยเหยียนค่อนข้างแน่ใจว่าจวินอู๋เสียน่าจะเดาสถานการณ์ในงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว จึงได้คิดกลอุบายนี้ขึ้นมา
  ในขณะที่เฟยเหยียนกำลังคิดเรื่องต่างๆอยู่นั้น เขาก็มองไปที่ประมุขวิหารมังกรซึ่งอยู่ตรงข้ามเขา ตั้งแต่กู่อิ่งเข้ามาในห้องโถง สายตาของเขาก็ไม่ละไปจากกู่อิ่งเลย ดวงตาที่แดงก่ำและหมัดที่กำแน่นแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นที่เขามีต่อกู่อิ่ง
  เฟยเหยียนยกยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยัน
  พวกเขาสมเป็นพ่อลูกกันจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าตอนที่ประมุขวิหารมังกรสั่งให้ฆ่าล้างตระกูลเขา เขาเคยคิดถึงเรื่องเครือญาติสักครั้งไหม
  เหล้าเย็นๆไหลลงลำคอของเขา แต่มันกลับแผดเผาคอของเขาจนแสบร้อน ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนผุดในหัวของเฟยเหยียน ตอนที่เปลวไฟอันร้อนระอุกลืนกินบ้านของเขา แม่ของเขากอดศพพ่อของเขาเอาไว้ในอ้อมแขนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น สายตาไม่เชื่ออย่างที่สุดของผู้คนจากเผ่าเขาตอนที่ถูกศิษย์ของวิหารมังกรโจมตี
  คนทั้งเผ่าได้ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อวิหารมังกรมาหลายชั่วอายุคน และได้ต่อสู้ในสนามรบที่นองเลือดมากมายเพื่อวิหารมังกร คนเผ่าเขามากมายเท่าไรที่ต้องเสียชีวิตเพื่อความรุ่งโรจน์ของวิหารมังกร พวกเขาคิดได้อย่างไรว่าวิหารมังกรที่พวกเขาสาบานว่าจะจงรักภักดีจะต้องการทำลายล้างพวกเขาทั้งเผ่า!
  คืนนั้นเป็นเหมือนฝันร้ายที่น่าสยดสยองที่สุดซึ่งยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเฟยเหยียน เขาไม่อยากคิดเกี่ยวกับมัน แต่เขาก็มักจะย้อนกลับไปในคืนที่น่ากลัวนั้นเสมอ
  เสียงร้องของแม่เขา เสียงร้องของคนในเผ่าเขา และคำถามที่ลุงของเขาถามก่อนที่จะตาย
  [วิหารมังกร! ทำไมถึงทำกับเราเช่นนี้?]
  แม้ในช่วงเวลาแห่งความตาย พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
  เปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ในหัวใจของเขา ทำให้เฟยเหยียนหน้าแดงเล็กน้อย เขามองไปรอบๆห้องจัดเลี้ยง เพื่อนๆของเขาแฝงตัวอยู่ในวิหารต่างๆ และเห็นความเกลียดชังแบบเดียวกันในดวงตาของพวกเขา
  เฟยเหยียนกระดกเหล้าอีกแก้ว พอวางแก้วลงเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที
  “เฟยเหยียนแห่งวิหารมังกร! วันนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะพูดเรื่องอื่นๆ แต่มีบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องถามแทนประมุขของข้า” เฟยเหยียนหน้าแดง ดวงตาแจ่มใสของเขากวาดมองทุกคนที่อยู่ที่นั่น พอสบตาจวินอู๋เสีย นางก็พยักหน้าให้เขาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
  “ประมุขวิหารมารโลหิต! เรื่องที่ลูกชายของท่าน กู่อิ่ง ฆ่าประมุขน้อยของวิหารมังกรเรา ท่านจะให้คำตอบเราเมื่อไร!?” ดวงตาของเฟยเหยียนหันไปมองกู่อี้ที่นั่งอยู่ในห้องจัดเลี้ยงทันที!!
ตอนที่ 1902 อาหารเรียกน้ำย่อย (2)
  สีหน้าของกู่อี้แข็งทื่อไป เขาขมวดคิ้วจ้องเฟยเหยียนที่ยืนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
  เฟยเหยียนไม่สนใจปฏิกิริยาของเขา เอาแต่จ้องเขาอย่างก้าวร้าวเพื่อเค้นเอาคำตอบ
  ประมุขวิหารมังกรไม่คิดว่าเฟยเหยียนจะพูดขึ้นในเวลานี้ แต่คำที่เฟยเหยียนพูดเป็นคำเดียวกับที่เขาอยากจะพูด ความเกลียดชังที่เขาพยายามข่มกลั้นเอาไว้อย่างหนักถูกเฟยเหยียนเปิดออกมา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะข่มกลั้นเอาไว้ได้อีก
  “เรื่องนี้จะคุยกันในการประชุมวันพรุ่งนี้ งานเลี้ยงวันนี้จัดขึ้นเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้กัน” กู่อี้ตอบด้วยใบหน้ามืดมน
  ประมุขวิหารมังกรพูดขึ้นทันที
  “ไม่เหมาะ? ในสายตาของวิหารมารโลหิตมันคงเป็นหัวข้อที่ไม่เหมาะไปตลอดชีวิตนั่นล่ะ! ลูกชายข้าตายมาเกินครึ่งปีแล้ว! วิหารมารโลหิตเจ้ายังไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจกับข้าเลย กู่อี้! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ! ข้าจะประกาศเอาไว้ตรงนี้เลย เลือดต้องล้างด้วยเลือด! ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วย วิหารมังกรของข้าไม่กลัววิหารมารโลหิตของเจ้าหรอก ถ้าอยากสู้ข้าก็พร้อมจะสู้จนถึงที่สุด! วันนี้เจ้าต้องให้คำตอบกับข้า!”
  จูเก๋ออินตายอย่างน่าสยดสยอง ตอนที่ประมุขวิหารมังกรเห็นศพของลูกชาย เขาเกือบเป็นลมหมดสติไป ความเกลียดชังจึงไม่สามารถลบล้างไปได้
  กู่อี้ขมวดคิ้วและมองไปที่ประมุขวิหารปีศาจเพลิง แต่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงแค่ยิ้มให้เขา
  โดยเนื้อแท้แล้ว วิหารปีศาจเพลิงและวิหารมารโลหิตยังคงแข่งขันกันชิงตำแหน่งสูงสุดอยู่ พวกเขาร่วมมือกันจัดงานประชุมสุดยอดสิบสองวิหารครั้งนี้ขึ้นเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แต่เทียบกับปัญหาของวิหารปีศาจเพลิง ความเป็นศัตรูระหว่างวิหารมารโลหิตและวิหารมังกรเป็นหนี้เลือดที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้
  ประมุขวิหารปีศาจเพลิงย่อมไม่อยากยั่วยุวิหารมังกรที่บ้าคลั่งไปแล้วเพื่อกู่อี้คนที่ต่อสู้แข่งขันกับเขามาหลายปี
  กู่อี้สบถด่าประมุขวิหารปีศาจเพลิงอยู่ในใจ แต่เขายังต้องเผชิญหน้ากับประมุขวิหารมังกรอยู่
  “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า”
  “เข้าใจ แล้วทำไมไม่ตัดสินใจให้เร็วๆ? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าอยากจะให้ทั้งวิหารมารโลหิตของเจ้ามาเสี่ยงเพื่อไอ้ลูกสำส่อนกู่อิ่งนั่น?” ประมุขวิหารมังกรไม่ยั้งคำพูดเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน
  ทันทีที่ประมุขวิหารมังกรพูดเช่นนี้ออกมา สีหน้าของกู่อี้ก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำทันที
  ทั้งงานเลี้ยงเกิดเสียงสูดหายใจเฮือก
  [กู่อิ่งคือลูกสำส่อน?]
  [หมายความว่ายังไง?]
  จวินอู๋เสียฟังทุกอย่างอย่างเงียบๆ เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตาหันไปมองกู่อิ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังกู่อี้
  ครั้งแรกที่นางได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกู่อิ่งและกู่ซินเยียน นางก็รู้สึกว่ามันแปลกๆเล็กน้อย
  แม้ว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องกัน แต่หน้าตาของพวกเขาไม่ได้เหมือนกันแม้แต่นิดเดียว
  “เฮ้ ว่าก็ว่าเถอะ กู่อี้ ข้าล่ะสงสารเจ้าจริงๆ เจ้าตามจีบท่านหญิงน้อยแห่งอารามหลิงซวีอย่างบ้าคลั่งขนาดนั้น ทุ่มเทความพยายามไปตั้งเท่าไร? ขนาดทิ้งคู่หมั้นที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็ได้หญิงมีมลทินมาเป็นเจ้าสาว ฮ่าๆ! ช่วยเลี้ยงลูกของคนอื่นมาตั้งหลายปี ตอนนี้ยังต้องปกป้องเขาอีก ขนาดข้ายังคิดว่าเจ้าน่าสงสารเลย” ประมุขวิหารมังกรดึงผ้าคลุมที่กู่อี้ซ่อนความอับอายของเขาเอาไว้ออกมาต่อหน้าทุกคน
  เปิดเผยชาติกำเนิดที่แท้จริงของกู่อิ่งต่อหน้าผู้คนมากมาย!
  งานเลี้ยงร้อนระอุขึ้นมาแล้ว ไม่มีใครคิดว่าประมุขวิหารมังกรจะเปิดเผยความลับใหญ่ออกมาในตอนนี้
  ประมุขวิหารมังกรคอยตรวจสอบวิหารต่างๆอย่างลับๆอยู่เสมอ พวกเขารู้ความลับส่วนใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละวิหาร คำที่เขาพูดออกมาจึงมีความน่าเชื่อถือสูงมาก
  กู่อี้หน้าเขียวคล้ำจนเกือบจะกลายเป็นสีดำอยู่แล้ว ประมุขวิหารมังกรทำให้เขาอับอายต่อหน้าทุกคนอย่างมาก ในฐานะผู้ชาย การทุ่มเทอย่างสุดกำลังตามจีบหญิงมีมลทินมาเป็นภรรยา แถมยังให้กำเนิดลูกของคนอื่น มันคือความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!