สีหน้าของจ่านอิ๋นพลันแปรเปลี่ยน ซีเหมินจินเหลียนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ก่อนที่เงาร่างที่คุ้นเคยจะค่อยๆ เดินลงมาอย่างเชื่องช้า
จ่านป๋ายเดินลงมาจากข้างบนบันไดทีละขั้น มองจากมุมสูง ท่าทางเชื่อมั่นน่าเคารพยำเกรงราวกับพระราชาทรงเสด็จ “คุณพ่อ ผมก็ยังไม่ตาย คุณก็ไม่ต้องรีบร้อนใช้ผมบีบบังคับคุณซีเหมินหรอก!”
สีหน้าของจ่านป๋ายขาวซีดเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแฝงซ่อนไว้อยู่ ครั้งนี้เขาแพ้อย่างราบคาบ จนเขายอมปล่อยวางทั้งหมด ขอแค่ได้อยู่กับซีเหมินจินเหลียนตลอดโดยไม่ห่างไปไหน ถึงแม้เธอจะแต่งงานกับคนอื่น ขอแค่เธอมีความสุข เรื่องทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดต่างพลิกผัน
เขาเดินลงมาจากบันไดอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเดินไปข้างหน้าจ่านมู่ฮวาแล้วยิ้มขึ้น “ชั่วชีวิตนี้นายคงไม่เคยจีบผู้หญิงใช่ไหม? คงไม่เคยลิ้มรสชาติของการพ่ายแพ้สินะ แต่วันนี้นายจะได้สมหวัง” พูดพลางเขาก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้าซีเหมินจินเหลียนแล้วจูงมือเธอมา “จินเหลียน พวกเรากลับบ้านกันเถอะครับ” เขากัดฟันเน้นย้ำคำว่า ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้อย่างหนักแน่น
แขกในงานต่างรู้สึกมึนงง ซีเหมินจินเหลียนเพียงยิ้มเชิดมุมปาก นี่สิถึงเป็นจ่านป๋าย เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความลึกลับ นิสัยชัดเจน
หันกายเตรียมเดินออกไปข้างหน้าประตู ก็มองจ่านมู่ฮวาด้วยความเยาะเย้ย
แขกในงานทุกคนต่างไม่เข้าใจ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
จนกระทั่งเข้าไปนั่งบนรถแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย หันไปมองหน้าต่างของตระกูลจ่านที่มีแสงไฟส่องออกมาอย่างสว่างไสว ไม่รู้ว่าตอนนี้จ่านมู่ฮวาจะเป็นอย่างไร คงแปลกใจมากใช่ไหมล่ะ? ไม่ๆๆ ยังมีจ่านอิ๋น คุณพ่อที่จ่านป๋ายเกลียดชัง แก่แล้วยังทำตัวไม่น่าเคารพนับถือ คิดไม่ถึงว่าจะมาช่วยลูกเล่นเรื่องอะไรพรรค์นี้
“จ่านมู่ฮวาบ้าไปแล้วเหรอไงกัน?” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋ายที่เริ่มขับรถไปอย่างช้าๆ แล้วถามเขาว่า “เขาจะจัดการกับเรื่องคืนนี้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอก คนรวยมักจะหน้าหนา นี่ก็คงหนาพอแล้ว คุณพ่อคงจะบอกว่า นี่เป็นการทะเลาะทั่วไปของหนุ่มสาว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ส่วนแขกผู้มีเกียรติที่เหลือก็คิดเสียว่าเรื่องนี้เป็นฉากตลก เพื่อความบันเทิงก็แค่นั้น” จ่านป๋ายยิ้มออกมาเย็นยะเยือก
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็พูดขึ้นมา
“ผมไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่เคยมีความสุขเท่าวันนี้มาก่อนเลย!” จ่านป๋ายยิ้มพลางขับรถออกมาจากบ้านตระกูลจ่าน นี่เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาสามารถมีความสุขตอนอยู่ที่บ้านตระกูลจ่าน “จินเหลียน ขอบคุณนะครับ”
“คุณจะขอบคุณฉันทำไมกัน?” ซีเหมินถามอย่างสงสัย “สติเลอะเลือนไปแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้เลอะเลือนนะ!” จ่านป๋านพูด “คุณไม่เพียงแต่ช่วยผมไว้ แต่ก็มีแค่คุณที่เห็นผมเป็นคน! ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะพูดกับคุณพ่อต่อหน้าแขกทุกคนว่าให้ปล่อยผม…”
“ก็คุณเป็นบอดี้การ์ดของฉัน เป็นคนของฉัน!” ซีเหมินจินเหลียนเบ้ปากแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นใคร แต่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถกักตัวคุณได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคุณพ่อของคุณก็ตาม แต่ไม่ว่าฉันจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมจ่านมู่ฮวาถึงเล่นแบบนี้ ฉันคงดีเลิศไม่พอจนทำให้เขากล้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้นสินะ?”
สิ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าหากสมองของจ่านมู่ฮวาบวมน้ำหรือเป็นบ้าก็แล้วไป แต่คนที่เป็นหัวหน้าตระกูลจ่านก็ไม่ควรจะไปเล่นบ้ากับลูกเช่นนั้น เล่นจนต้องใช้ลูกอีกคนมาบีบบังคับเธอ ถ้าหากต้องการอย่างนั้นจริงๆ คืนนี้คงไม่ได้ปล่อยให้เธอกลับอย่างง่ายๆ
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าตอนที่เธอและจ่านป๋ายออกจากบ้านตระกูลหลินนั้น ยังมีรถอีกคันหายไปอย่างเงียบๆ ในความมืด
ฉินเฮ่านวดขมับที่ปวดตุบ เขานั่งอยูข้างหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่ ในห้องไม่ได้เปิดไฟไว้ เห็นได้ชัดว่ามืดสนิท แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการมองเห็นของเขา ข้างหน้าไม่ไกลออกไปเป็นบ้านตระกูลจ่านที่มีแสงไฟสว่างไสว
“สำหรับคืนนี้ ชนแก้ว!” ฉินเฮ่ายกมือขึ้นมาเพื่อชนแก้วใส ดื่มไวน์แดงที่อยู่ในแก้วทั้งหมดรวดเดียว เรื่องนี้เหมือนจะยิ่งสนุกขึ้นแล้วสิ ส่วนเขาอยู่ในเกมนั้นหรืออยู่นอกเกมกันแน่นะ
ซีเหมินจินเหลียนลดหน้าต่างลงเพื่อสูดรับอากาศจากข้างนอก ความหนาวเย็นแผ่วเบาของฤดูใบไม้ร่วง นอกหน้าต่างมีแสงไฟและสามารถมองเห็นดวงจันทร์ที่ตระหง่านสูงส่งอยู่บนฟ้า ใกล้จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้วสินะ?
ขณะที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ เสียงมือถือก็ดังขึ้นมา เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลก
เมื่อกดปุ่มรับ ปลายสายก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งส่งออกมา “ซีเหมินจินเหลียน”
“พูดอยู่ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจเล็กน้อย เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างคุ้นเคย แต่ขณะเดียวกันเธอก็นึกไม่ออกว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร…
“รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” เสียงของผู้หญิงปลายสายดังขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนสงสัยอยู่นานถึงนึกออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร “หวังเซียงฉิน?” เธอถามออกไปอย่างลองเชิง เธอโทรมาหาตนเพราะอะไร?
“ใช่ ฉันเอง!” หวังเซียงฉินแสยะยิ้มพูด “คิดไม่ถึงล่ะสิว่าฉันมีเบอร์มือถือเธอได้ยังไง”
“ก็แปลกใจอยู่บ้าง” ซีเหมินจินเหลียนพูดเรียบๆ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะหลินเสวียนหลานมีเบอร์มือถือของเธอ ถ้าหากเธอถามเขาสักหน่อยก็น่าจะพอรู้ นี่ไม่ใช่ความลับอะไร
“คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องรู้มาก่อนว่าลูกในท้องของฉันไม่ใช่ลูกของไอชั่วหลินเจิ้ง!” หวังเซียงฉินพูด
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ว่าลูกในท้องของเธอจะเป็นใคร ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงใสซื่อไม่รู้อะไรคนหนึ่ง จะมาสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้เพื่ออะไรกัน?
“เธอก็ไม่แปลกใจหรือว่าลูกคนนี้ของฉันเป็นลูกใคร?” ในมือถือมีเสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่งของหวังเซียงฉินดังออกมา
“เด็กคนนั้นจะเป็นลูกใคร มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับฉัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างเยือกเย็น ในขณะที่คิดจะตัดสาย กลับนึกไม่ถึงว่าหวังเซียงฉินจะพูดประโยคนี้ขึ้นมา มันทำให้เธอยิ่งสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“เธอยังจำแฟนคนแรกของเธอได้ไหมล่ะ?” หวังเซียงฉินพูดจากระแทกแดกดัน
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิด หวังหมิงเหยา? เธอเกือบจะลืมเขาไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ยินคำพูดของเธอที่ออกมาก็รู้สึกถึงความแปลกใจที่เข้ามาโจมตีในหัวใจ
“ฉันเคยเห็นเธอตอนอยู่ที่บ้านตระกูลหวัง!” หวังเซียงฉินพูดอีกครั้ง “ฉันเป็นญาติห่างๆ ของเขา แต่พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด…”
เรื่องที่เหลือทั้งหมดซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ยากที่จะคาดเดาอีก ไม่น่าล่ะตอนที่เธอถามว่าชู้ของหวังเซียงฉินคนนั้นเป็นใคร ไม่ว่าจะพูดอย่างไรจ่านป๋ายก็ไม่ยอมบอกเธอเลย ที่แท้เหตุผลก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าตอนที่เธอเจอหวังเซียงฉินครั้งแรก ทั้งสองก็ต่างรู้สึกไม่ถูกชะตากัน ที่แท้เรื่องนี้ก็มีเหตุผลคอยเชื่อมโยงกัน
หวังเซียงฉินและสวี่จวิ้นหลานแม่ของหวังหมิงเหยา เหมือนมีสิ่งที่คล้ายกันโดยไม่ต้องพูด ตัวท็อปทั้งนั้น!
“การปรากฏตัวของเธอมันทำลายทุกอย่างของฉัน! เป็นเพราะเธอ ที่ทำให้ฉันไม่เหลืออะไร…” น้ำเสียงของหวังเซียงฉินมีความอาฆาตแค้นอยู่ในนั้น
“ไม่มีใครทำอะไรให้เธอ มีแต่เธอที่ทำร้ายตัวเอง!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“เธอต้องได้ชดใช้ เธอทำให้ลูกของฉันต้องตาย ผู้ชายของฉันต้องจากไป! ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว!” หวังเซียงฉินพูดลนลานอย่างไม่มีสติ
ในมือถือ ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเสียงลมพัด เหมือนกับมีเสียงรบกวนดังเข้ามา เพียงไม่นานเธอได้ยินเสียงดังตุบ จากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย วินาทีนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดปกติ รีบถามจ่านป๋ายว่า “เสี่ยวป๋าย คุณรู้ไหมว่าหวังเซียงฉินอยู่ที่โรงพยาบาลไหน”
“น่าจะเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด” จ่านป๋ายพูดขึ้นอย่างแปลกใจ ตอนที่ได้ยินเสียงในมือถือเมื่อสักครู่ เขาก็รู้แล้วว่าเรื่องบางเรื่องก็ปิดบังซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ แม้ว่าเธอจะออกมาจากเงาของรักแรกแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะให้เรื่องราวร้ายๆ ที่เคยผ่านไปกลับเข้ามาทำร้ายหัวใจเธออีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ชายสารเลวคนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีลูกกับผู้หญิงคนนี้…
“เร็วเข้า พวกเราต้องไปดูที่โรงพยาบาล!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“จินเหลียน ช่างเธอเถอะครับ พวกเราอย่าไปสนใจผู้หญิงคนนั้นเลย อีกอย่างคุณกับหวังหมิงเหยาก็เลิกรากันไปตั้งนานแล้ว” จ่านป๋ายขมวดคิ้วปลอบประโลมเธอ อารมณ์ที่กำลังดีอยู่จู่ๆ ถูกผู้หญิงคนนี้ทำลายเสียหมด
“ไม่ใช่! ดูเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น เธอเกลียดหวังเซียงฉินมาก แต่ก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ความจริงถ้าเธอรักกับหลินเจิ้งดีๆ ชาตินี้คงคุ้มค่าแล้ว หลินเจิ้งยังรักเธอ แต่น่าเสียดาย! คนส่วนมากความสุขอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่กลับไม่รู้จักรักษา
จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา ก่อนจะรีบขับรถไปยังทางของโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วก็จอดรถที่หน้าประตูของโรงจอดรถ แล้วได้ยินเสียงรถตำรวจดังขึ้นมา จ่านป๋ายจูงมือซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไป
ไม่นานนักก็เห็นตำรวจไม่กี่คนรีบวิ่งร้อนรนไปข้างหน้า ภายในตึกของโรงพยาบาลข้างหน้ามีผู้คนล้อมรอบเป็นกลุ่มใหญ่
จ่านป๋ายขมวดคิ้ว พอดีกับที่เห็นคุณป้าคนหนึ่งออกมา จึงเข้าไปถามอย่างสงสัย “คุณป้าครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ เวลานี้แล้วทำไมยังมีคนมามากมายแบบนี้”
“เฮ้อ…” เมื่อคุณป้าได้ยินคำถามก็ถอนหายใจพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหมือนจะมีเรื่องสามีภรรยาทะเลาะกัน ผู้หญิงแท้งลูกห้าเดือน เธอก็ไม่อยากอยู่ต่อเลยกระโดดตึกลงมา เฮ้อ…”
“ตาย…ตายแล้วเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจเอามือปิดปากถาม
“คุณผู้หญิง คุณลองคิดดูสิ ตกลงมาจากตึกตั้งสูงขนาดนั้น อย่าพูดถึงคนเลย แม้แต่หินตกมาก็ยังแตก คุณผู้หญิงคุณอย่าเข้าไปดูเลย เดี๋ยวจะฝันร้ายเอาได้ เลือดนี้นองเต็มไปหมด…” คุณป้าพูดพลางก็เดินออกไปทางข้างนอก “ฉันคนขี้ขลาด ไม่กล้าดูหรอก!”
ซีเหมินจินเหลียนยืนนิ่งอย่างตกตะลึง ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ให้จ่านป๋ายเปิดเผยเรื่องที่หวังเซียงฉินและหวังหมิงเหยาเป็นชู้กันออกมา อย่างน้อยๆ ก็คงไม่ต้องทำร้ายสองชีวิตนั้น
จ่านป๋ายจูงมือเธอและเดินช้าๆ ไปทางปากประตู “จินเหลียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณนะ หลินเจิ้งเองก็ไม่ได้โง่ แค่กระดาษใบเดียวไม่สามารถทำให้เป็นไฟขนาดนั้นได้หรอก ถึงตอนนี้จะไม่เกิดเรื่องขึ้น แต่ในอนาคตก็คงเก็บไว้ไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเดิมทีเธอเป็นคนมีศีลธรรมรู้ผิดรู้ชอบ แล้วทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ? ความจริงแล้วมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกคุณมาตลอด… ”
“เรื่องอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“คนที่หวังเซียงฉินชอบคือหลินเสวียนหลาน หลายครั้งที่เธออ่อยเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ คนข้างๆ ที่อยู่รอบกายหลินเสวียนหลานทุกคน เธอก็รู้สึกอิจฉาริษยาทั้งนั้น เธอเลยเกลียดที่คุณปรากฏตัว นอกจากนี้เพราะว่าเธอไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับลู่เฟยอวี๋ เธอเลยถือว่าคุณเป็นศัตรู” จ่านป๋ายพูด เขาเคยหาข้อมูลทั้งหมดของซีเหมินจินเหลียน รวมถึงเรื่องที่ตัวเธอเองยังไม่เคยรู้มาก่อน เพียงแต่มันเป็นคำพูดที่ทำลายความรู้สึกคน เขาเลยปิดบังเธอมาตลอด ไม่อยากให้เธอรู้มันก็เท่านั้น