ตอนที่ 544 พักฟื้น
“แม่พูดเรื่องอะไรเนี่ย?” พอเธอได้ยินแม่พูดแบบนั้น ก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ในใจลึกๆก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา แต่ปากก็ยังไหลไปตามหล่อน “ไม่น่าเคารพเลย แม่สนใจแต่เรื่องตัวเองเถอะค่ะ”
“จะอายอะไร แม่จะพูดให้ฟังนะ…” แล้วจู่ๆ เหวินเย่ว์ชิงก็เหมือนอยากจะพูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมาจนหมด ทำเอาเฉียวซือมู่หน้าแดงก่ำ รีบพูดแทรกขึ้นทันที จากนั้นก็แกล้งรับคำออกไป และกำชับให้หล่อนว่าไม่ต้องไปที่นั่นแล้วก่อนจะวางสายไป
เธอถอนหายใจออกมาแล้วก็คิดขึ้นได้อีกครั้งว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากลัวว่าแม่จะต้องมาร้อนใจเพราะตัวเองอีก เธอคงมุ่งตรงไปหาแม่แล้วแน่ๆ จะมาอยู่ที่นี่อีกไปทำไม ถึงแม้ว่าฉีหย่วนเหิงจะนิสัยดี แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เธอกับเขาไม่ได้เจอหน้ากันแท้ๆ ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นได้ขนาดนี้ ถ้าเกิดให้พวกเขารู้ว่าตัวเองอยู่ไหน คงจะทำให้ชื่อเสียงตกต่ำไม่มีชิ้นดี
จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะมานึกถึงเรื่องพวกนี้อีก ยังไงซะเธอก็คงไม่คิดที่จะกลับไปที่นั่นอีก จะอยู่กับใครแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับใครด้วยล่ะ
คิดไปคิดมา จิตใจมันก็ว้าวุ่นไปหมด รู้สึกสับสนสุดๆ
ในตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา
คนที่เข้ามาคือเด็กสาวคนนั้น คราวนี้เธอพาคนมาอีกหลายคน ในมือของแต่ละคนยกถาดรองเข้ามาด้วย กลิ่นหอมของอาหารจำนวนหนึ่งลอยเตะจมูกเธอ
เด็กสาวยืนยิ้มอยู่กับที่แล้วเอ่ยขึ้น “นี่คืออาหารเช้าที่เจ้านายเตรียมเอาไว้ให้คุณค่ะ”
พูดจบก็วางเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง จากนั้นก็ยกอาหารที่ดูแล้วสดใหม่ไม่น้อยมาตั้งตรงหน้าเธอ
เธอสูดหายใจเข้าแล้วกล่าวขอบคุณเด็กสาว “ขอบคุณนะ”
จิตใจของเธอสงบลง ไม่ได้ไปคิดอะไรมากมายอีก จากนั้นก็ค่อยๆ ทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าจนหมด ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวเกินไปหรือเปล่า ถึงทำให้เธอรู้สึกว่าอาหารตรงหน้าน่ากินมาก แถมยังรู้สึกมีความสุขอีกด้วย
อารมณ์ของเธอดีขึ้นก็เพราะเรื่องนี้ด้วย ไม่นานนักเธอก็สามารถเดินไปไหนมาไหนได้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเธอก็คล้ายๆ กับว่ากำลังขุนตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทุกวันตื่นขึ้นมาก็กิน กินเสร็จก็นอน บางทีฉีหย่วนเหิงก็มาคุยกับเธอบ้าง แต่บางทีก็หายไปหลายวันโดยไม่มีข่าวคราว เวลาที่เธอเบื่อ ก็มีบ้างที่เรียกหาเด็กสาวคนนั้นมาคุยด้วย หล่อนก็เป็นเหมือนคนที่ฉีหย่วนเหิงใช้ให้มาคอยดูแลเธอ
ไปๆ มาๆ เธอก็ได้รู้ว่าเด็กสาวคนนี้มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเวย’ ถึงแม้ว่าหล่อนจะดูผอมบางตัวเล็ก แต่ว่าก็คล่องแคล่วไม่น้อย ไม่ค่อยพูดแต่ก็ถ้าพูดก็มีเหตุมีผล เป็นเด็กสาวที่ฉลาดเลยทีเดียว และรู้จักที่จะสังเกตสีหน้าของคนอื่น เฉียวซือมู่รู้สึกชอบเธอไม่น้อย
แต่บางทีเธอก็ไม่มีอารมณ์จะคุยเล่นจึงทำได้แค่สไลด์มือถือไปเรื่อยๆ ดูข่าวไปเรื่อยเปื่อย
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ฉีหย่วนเหิงให้มือถือเธอมาใช้เขาก็ไม่ได้เอามันกลับไป เธอเองก็พูดเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้วจนเขาไม่พูดด้วยอีก เธอจึงต้องรับเอาไว้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร และเอาไว้ใช้เล่นเวลาเบื่อๆ เท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่เผลอกดเบอร์โทรที่แสนคุ้นเคย แต่เธอก็พยายามยับยั้งการกระทำเหล่านั้นของตัวเองอยู่ทุกครั้ง
จะโทรไม่ได้ เฉียวซือมู่ เธอจะไม่มีศักดิ์ศรีแบบนี้ไม่ได้ จะทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด จริงๆ เลย
วันเวลาที่แสนยุ่งเหยิงค่อยๆ ผ่านไปจนครึ่งเดือน ร่างกายของเฉียวซือมู่แข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว และเด็กในท้องก็แข็งแรงปลอดภัยดีเช่นกัน จากที่เธอต้องใช้ชีวิติอยู่ในพื้นที่จำกัดจนตอนนี้ก็สามารถลงจากเตียงและเดินไปชั้นล่างได้แล้ว แต่จิตใจของเธอมันก็เป็นแบบเดิมมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง เวลาเจอฉีหย่วนเหิงก็แค่พูดคุยและยิ้มบางๆ
ตอนที่ 545 เขาหาคุณไม่เจอหรอก
สำหรับเขาแล้ว เฉียวซือมู่ในระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ถึงแม้ว่าจะได้รับนักโภชนาการระดับสูงมาดูแล ถึงจะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพร่างการจากหมอที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายเธอก็ยังดูผอมลงกว่าก่อนหน้านี้
ไม่ต้องบอกหรอก แค่เขาสังเกตดูก็รู้แล้ว
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกแย่อยู่ไม่น้อย เพราเขาทำตัวและปฏิบัติต่อเหล่าลูกน้องอย่างเย็นชาทำให้คนรอบๆ ข้างต่างก็กลัวเขากันหมด แต่เวลาอยู่ต่อหน้าเฉียวซือมู่ เขาก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่ดีของเธอ สุภาพและสง่างามเพื่อให้เธอรู้สึกเชื่อใจ
ไม่นานก็ถึงเวลาของนิทรรศการมิสเตอร์
เฉียวซือมู่ที่ถึงแม้จะไม่ค่อยร่าเริง ทุกวันต้องคอยอยู่กับความคิดที่แสนทรมานก็ตาม แต่ทว่าก็ยังมีความคาดหวังต่อวันนี้อยู่ดี
หลังจากที่ทั้งสองคนทานมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าที่สนามบินทันที
มิสเตอร์เป็นจิตกรต่างชาติ แน่นอนว่านิทรรศการก็ต้องอยู่ที่ต่างประเทศ
เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมานิดหน่อย การเดินทางออกจากประเทศแบบนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกจิ้นหยวนเจอเอาได้ แล้วถ้าถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรดี
ฉีหย่วนเหิงลอบมองดูเธอที่กำลังไม่สบายใจจึงปลอบใจเธอ “สบายใจเถอะ เขาไม่มีทางเจอคุณหรอก”
“ทำไมละคะ?” เธอถามออกไปทันที เธออยู่กับจิ้นหยวนมาตั้งนาน และรู้ถึงอำนาจและความสามารถของเขาเป็นอย่างดี สำหรับเขาแล้วการจะตามแกะรอยของใครคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย
ท่าทางของฉีหย่วนเหิงดูสงบนิ่ง ได้ยินเธอถามขึ้นแบบนั้นก็ยิ้ม “เดี๋ยวคุณก็รู้ครับ”
เธอมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่นานเกินรอก็เดินทางมาถึงสนามบินเล็กๆแห่งหนึ่ง เธอมองตรงไปข้างหน้า พอวัตถุขนาดใหญ่มหึมาปรากฏอยู่ในสายตาเธอก็เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดทันที
ตรงหน้านั่น เครื่องบินลำใหญ่ลำหนึ่งจอดนิ่งอยู่กับที่ แต่ทว่ารอบๆ ตัวพวกเขากลับไม่มีผู้โดยสารคนอื่นเลยสักคน
เธอมองไปที่รันเวย์ที่ว่างเปล่า และมองดูกลุ่มพนักงานบริการบนเครื่องบินที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เธอพึมพำออกมา “เครื่องบินส่วนตัวนี่เอง”
ทำไมเธอถึงนึกไม่ถึงกันนะ ยังไงซะฉีหย่วนเหิงก็เป็นคู่แข่งของจิ้นหยวน แน่นอนว่าจะต้องมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่แน่ ไม่อย่างนั้นคงถูกจิ้นหยวนล้มไปนานแล้ว
แต่ว่า พอนึกถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขา และคิดเงียบๆ อยู่ในใจ สิ่งที่ฉินเพ่ยหรงพูดกับเธอในก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ
ก่อนหน้านี้ฉินเพ่ยหรงพูดออกมาจากปากเองเลยว่าเธอกับคนของตระกูลฉีมีความสัมพันธ์ต่อกัน แถมยังเอาความลับของบริษัทไปขายให้พวกเขาอีก คนคนนั้นที่พูดถึงคงหมายถึงฉีหย่วนเหิงสินะ
ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่เคยถามฉีหย่วนเหิงเลยก็เพราะว่าเธอคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่พอตอนนี้เธอได้เห็นของชิ้นใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านี่แล้ว ได้เห็นแอร์โฮสเตสที่ถูกฝึกมาอย่างดีและนักบิน จู่ๆ ในใจก็เริ่มมีความคิดเหล่านั้นขึ้นมา
สิ่งที่ฉินเพ่ยหรงพูด บางทีมันอาจจะมีส่วนที่จริงอยู่ก็ได้จริงไหม
คนของตระกูลฉีที่หล่อนพูดถึง บางทีอาจจะหมายถึงฉีหย่วนเหิงก็ได้ใช่หรือเปล่า
ถ้าเป็นเขาจริงๆ แล้วทำไมวันเวลาที่ผ่านมาเขาถึงไม่มาอธิบายอะไรกับเธอเลยล่ะ จริงสิ เขายังไม่รู้ถึงสาเหตุที่เธอออกจากบ้านมานี่นา
เธอขมวดคิ้วคิด ฉีหย่วนเหิงเองก็เห็นท่าทางที่แปลกไปของเธอตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรเธอ
พอมาถึงที่ข้างล่างเครื่องบินแล้วถึงค่อยเอ่ยขึ้น “ถึงแล้วนะครับ ลงรถกันเถอะ”
เธอเหมือนตื่นจากความฝัน หันกลับไปก็พบกับสีหน้าที่สงบนิ่งของเขา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่เมื่อกี้ตัวเองคิดไปแบบนั้น
เขาเป็นคนดีขนาดนี้ จะเป็นคนที่ขโมยข้อมูลความลับของจิ้นหยวนไปได้อย่างไรกัน คนคนนั้นต้องไม่ใช่เขาแน่ๆ
เขาทำทีว่าไม่เห็นสีหน้าที่ดูเคลือบแคลงสงสัยของเธอเลยแม้แต่น้อย วาดรอยยิ้มและพุดกับเธอว่า “พวกเราขึ้นเครื่องกันเถอะ พักผ่อนสักหน่อยลืมตาขึ้นมาอีกทีก็คงถึงที่นิทรรศการแล้วล่ะครับ”
เธอยิ้มให้เขาและก้าวขึ้นเหยียบบันไดนำหน้าไปก่อน