ตอนที่ 107 บุปผาทองสามดอก 

 

 

 

 

 

ฮว่าเหยียนตะโกนบอกจากไกลๆ 

 

 

“เจ้าต้องมีประโยชน์อะไรพิเศษสำหรับนางแน่นอน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ก็รอถูกอสรพิษกัดตายเถอะ” 

 

 

ถังเฉียนครุ่นคิดอยู่นาน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร จึงลุกขึ้นไปพบเถิงเสวี่ย นางไม่เชื่อหรืออาจบอกได้ว่าตัวนางเองไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่ แต่นางต้องการคำตอบ นางรู้สึกชิงชังความรู้สึกที่ถูกคนวางไว้บนฝ่ามือคอยบงการ นางนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน จิตใจไม่สงบ 

 

 

ถังเฉียนวิ่งมาถึงหน้าประตู มีเสียงพูดคุยดังมาจากในห้อง นางหยุดเดินทันที มองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไป เห็นเถิงเฟิงกำลังนวดให้เถิงเสวี่ย 

 

 

“ย่ารอง พลังทิพย์ของอาหรูน่าเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

เถิงเสวี่ยร้องหึออกมา 

 

 

“เห็นนางครั้งแรกก็รู้ว่านางไม่ใช่คนฉลาด คิดว่าตามที่เจ้าบรรยายก็น่าจะมีขั้นห้า สุดท้ายก็ไม่ถึงขั้นห้า ถ้าคนอื่นรู้ว่าย่ารองรับคนที่ไม่เอาไหนอย่างนี้ไว้ จะไม่เป็นกบฏหรือ” 

 

 

พอเถิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ที่หว่างคิ้วแสดงอาการดูหมิ่นออกมา แต่ก็พูดทันทีว่า 

 

 

“เพราะย่ารองเอ็นดูเฟิงเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์รู้ดี” 

 

 

เถิงเสวี่ยมีท่าทางดูแคลน แล้วพูดอีกว่า 

 

 

“รู้ก็ดีแล้ว ถ้าไมใช่เพราะเจ้าขอร้องย่า ย่าก็จะไม่รับนางไว้เด็ดขาด พลังทิพย์ต่ำเกินไป ไม่มีพรสวรรค์ที่จะเป็นหมอผีขั้นสูงสุด ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้แค่มนุษย์แมลง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าบอกว่าเลือดของนางช่วยรักษาโรคของเจ้าได้ รวมทั้งแมลงหนอนไหมทองพิเศษตัวนั้น จากคุณสมบัติของนางก็เป็นได้แค่ภาชนะ” 

 

 

ภาชนะ? มนุษย์แมลง? 

 

 

นางแย่ขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าเช่นนั้น… 

 

 

ถังเฉียนยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ไม่กล้าร้องไห้ออกมา และยิ่งไม่กล้าจะส่งเสียงใดๆ 

 

 

เถิงเฟิงได้ฟังเช่นนี้ก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ กลับพูดว่า 

 

 

“ย่ารองอย่าได้ร้อนใจ นางหรือ? ก็แค่ภาชนะเท่านั้น เวลานี้ปลอบโยนนางก่อน รอให้นางกลับไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับข้า อยากจะทำอะไรก็ขึ้นกับการตัดสินใจของเรา” 

 

 

พอถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายนางทั้งหมดหนาวเย็นจนแข็งทื่อ เริ่มจากหัวใจ ความเย็นยะเยียบและหวาดกลัวลุกลามไปทั่วร่าง คนที่นางไว้ใจที่สุด เพื่อนคนเดียวของนาง กลับคิดจะใช้นางเป็นภาชนะตั้งแต่แรก 

 

 

ที่แท้ที่เขาไม่อยากให้นางให้เลือดแก่ผู้อื่นก็เพราะเขากังวลว่าหากเลือดของนางแห้งหมด เขาจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากนางได้ 

 

 

สภาพถังเฉียนขณะนี้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดอะไรที่นี่อีกแล้ว นางรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ค่อยๆ เดินถอยไปข้างหลัง ถังเฉียนซึ่งกำลังขวัญกระเจิงเผลอเตะถูกกระถางดอกไม้บนพื้นจนคว่ำ นางไม่ได้ก้มลงเก็บ แต่รีบเดินออกมาแล้ววิ่งหนีไป นี่เป็นเรี่ยวแรงที่มากที่สุดของนางแล้ว เป็นพละกำลังทั้งหมดที่นางมี 

 

 

“ผู้ใดอยู่ข้างนอก” 

 

 

หลังจากถังเฉียนเพิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้น ในสมองก็มีเพียงคำสองคำที่ดังก้องไม่หยุด คือภาชนะกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คำพูดของคนอื่น แต่เป็นคำพูดของคนที่นางไว้ใจที่สุดหรือคนเดียวที่นางไว้ใจ…เถิงเฟิง 

 

 

เพราะอะไรกัน แม้แต่เขาก็ยังหลอกลวงนาง… 

 

 

ถังเฉียนเพิ่งไป สองคนที่เดิมทีพูดคุยกันอยู่ในห้องก็ตามออกมา เห็นถังเฉียนวิ่งผ่านประตูออกไป ‘เถิงเฟิง’ ก้มมองเศษกระถางดอกไม้บนพื้น แล้วหันมามองผู้หญิงข้างหลัง เผยรอยยิ้มประหลาดแสดงอาการเย้ยหยันออกมา 

 

 

“หลิงเอ๋อร์ เราที่ทำเช่นนี้นางคงไม่มีทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน เจ้าสบายใจได้แล้ว คุณชายเถิงเฟิงต้องเป็นของเจ้าไม่ช้าก็เร็ว” 

 

 

เถิงเสวี่ยซึ่งเดิมทีมีท่าทางสูงส่งก็เปลี่ยนไปทันที นางดึงหน้ากากหนังมนุษย์ที่น่ารำคาญนั้นออก เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าหลิงเอ๋อร์นั่นดูแล้วก็น่าจะอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี สีหน้าเย่อหยิ่งและโกรธเกรี้ยว พอได้ยินที่ ‘เถิงเฟิง’ พูดก็ร้องหึออกมา แล้วพูดว่า 

 

 

“ถงถงเอ๋อร์ ทางที่ดีเจ้าควรแน่ใจว่าวิธีของเจ้าได้ผล ไม่เช่นนั้นเจ้าก็รู้ถึงฝีมือของข้า”