DND.
ทหารจู้ตอบซือหยูด้วยความใจเย็น
“เป็นเช่นนั้นข้ามาตอนที่ได้ยินข่าวว่าเจ้ากำลังลำบาก ข้าคิดว่าจะช่วยเจ้าได้บ้าง เพราะข้ารู้จักนายหน้าลำดับสอง พวกเขาคือสวนอู๋ตง ข้ารู้ว่าพวกเขายินดีจะสนับสนุนโอสถให้เจ้า”
เขาพูดต่อ
“สถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญตอนนี้คือการขาดผู้มีพรสวรรค์ถ้าเจ้าช่วยพวกเขา พวกเขาจะยินดีปฏิเสธคำขอของร้านกลิ่นสวรรค์ที่ให้ปิดช่องทางการขายกับเจ้าด้วยโอสถราคาดีไม่จำกัด”
ซือหยูตอบกลับด้วยคำถาม
“ข้าก็แค่เจ้าของร้านโอสถเล็กๆข้าจะช่วยได้อย่างไรเล่า?”
“ง่ายดายนัก…เจ้าก็แค่ช่วยพวกเขาแปลสูตรโอสถนี้…”
ทหารจู้หยิบสูตรโอสถออกมาจากกระเป๋าและคลี่ให้ซือหยูดู
ซือหยูรู้สึกตกใจเมื่อมองดูสูตรนั่นก็เพราะว่าสูตรโอสถนี้ไม่ได้เขียนด้วยภาษามนุษย์ มันเขียนด้วยภาษาไม้!
ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองซือหยูระแวงยิ่งกว่าเดิม เขาจำสิ่งที่รองผู้จัดการใหญ่เตือนได้ไม่ลืม
‘อย่าเปิดเผยว่าเจ้ารู้ภาษาไม้มิเช่นนั้นเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย!’
ซือหยูสงสัยทหารจู้ที่มักจะช่วยเหลือเขาอย่างกระตือรือร้นมาโดยตลอดและการที่เขาขอให้ซือหยูแปลสูตรโอสถที่เขียนด้วยภาษาไม้น่าจะเป็นการทดสอบว่าซือหยูเข้าใจภาษาไม้ดีแค่ไหน!
ซือหยูไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญชายวัยกลางคนนามจู้ผู้นี้น่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายความว่าซือหยูกำลังมีปัญหาใหญ่!
แม้จะมีความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาซือหยูก็แสดงสีหน้าใจเย็นอยู่ เขาขมวดคิ้วเมื่ออ่านสูตรโอสถและแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“ข้าขอถามได้หรือไม่…สิ่งนี้คืออะไรกัน?มันคือภาษาโบราณ…หรือสัญลักษณ์รึ? มีสูตรโอสถที่แปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน?”
ทหารจู้จ้องมองซือหยูที่กำลังพูดเขาสังเกตทุกสีหน้าที่ซือหยูแสดงออกมา เมื่อแน่ใจว่าซือหยูไม่ได้โกหก เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูเสียดาย
“นี่เป็นวิธีการเขียนแบบหนึ่งถ้าเจ้าไม่เข้าใจ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะนี่คือเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า…”
ซือหยูดูผิดหวัง
“เอาเถอะท่าน…ข้าคงได้แต่โทษตัวเองที่ไร้ความสามารถขอบคุณที่พยายามจะช่วยเหลือข้า”
ทหารจู้พยักหน้าและประสานมือ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดูแลตัวเองด้วยข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องแก้วิกฤติด้วยความช่วยเหลือจากร้านหวงได้แน่ เวลานี้จะสายแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปทำงาน ลาก่อน”
ซือหยูลุกขึ้นไปส่งเขา
ข้าจะบอกรองผู้จัดการใหญ่ดีหรือไม่?ซือหยูมองทหารจู้ที่กำลังออกไป เขาส่ายหน้าเบาๆ
ชายผู้นี้ระมัดระวังตัวมากเขาไม่ประมาทตั้งแต่ต้นจนจบ! ไม่มีหลักฐานในกลที่เขาใช้เลย! ซือหยูส่ายหน้า เขากลับไปที่ห้องและจดจำภาษาไม้ที่หยุนย่าสีทิ้งไว้ให้ต่อไป
ขณะนั้นเองที่ขอบนภา ใบหน้าของทหารจู้เคร่งเครียด…ปราชญ์ภาษาไม้จากตำหนักโลหิตไม่ใช่ซือหยูเซี่ยน! ข้าเสียเวลาเปล่า!
แต่ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครล่ะ?หรือว่าจะเป็นกงซุนหวูซื่อที่มาทำภารกิจ? หลังจากครุ่นยคิด ทหารจู้ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากซือหยูไปที่กงซุนหวูซื่อทันที!
วันต่อมาซือหยูตื่นจากภาวะเร่งเวลาสี่ร้อยเท่า หลังจากการร่ำเรียนมาตลอดวัน เขาได้เรียนรู้ภาษาไม้มาหลายตัวอักษร
ซือหยูสามารถเข้าใจภาษาไม้ในทรายทองคำได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสิบแต่ทรายสีทองก็ยังคงกระจัดกระจาย เขามิอาจจัดเรียงคำให้เป็นประโยคได้ในตอนนี้ ต่อให้เข้าใจสองในสิบส่วน เขาก็มิอาจอ่านจับใจความได้
ถ้าหากซือหยูเข้าใจทุกคำเมื่อใดบางทีสองร้อยคำนั้นอาจจะจัดเรียงกันด้วยตัวเองและเผยความลับออกมา นี่คือความหวังสูงสุดของซือหยู
เขากำลังจะศึกษาภาษาไม้ต่อแต่ก็มีเสียงเบาๆลอดผ่านประตูเข้ามา
“เจ้าของร้านซือวันนี้คือวันประมูล เจ้าพบกับผู้อาวุโสท่านนั้นหรือไม่?”
มีสองคนยืนอยู่หน้าประตูน่าตกใจที่ทั้งสองคือจ้าวเทวะที่โรงประมูลส่งมาเพื่อแอบปกป้องเขา
ซือหยูตาเป็นประกายเมื่อพบทั้งสองวารีผงกลั่นดวงใจนั้นคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เขาได้คะแนนในตอนนี้ และการทำให้ชื่อของวารีผงกลั่นดวงใจดังขึ้นมาก็ยิ่งสำคัญกว่า!
เมื่อซือหยูเปิดประตูทั้งสองจ้องมองเขาอย่างใกล้ชิด พวกเขาอยากจะรู้ว่าผู้ปรุงวารีผงกลั่นดวงใจผ่านมาหรือไม่
“ไม่เลยตั้งแต่ที่เขาให้ข้าจัดการกับโอสถ ข้าก็ไม่พบเขาอีก…”
ซือหยูกล่าว
ทั้งสองมิได้ดูผิดหวังนักพวกเขาเพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ เพราะพวกเขามองดูการเข้าออกจากร้านตงหลินตลอดเวลา พวกเขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีคนต้องสงสัยเข้าออก พวกเขาเพียงถามก็เพื่อเสี่ยงโชคดูเท่านั้น
“ไม่เป็นไรหากท่านผู้อาวุโสไม่มา เจ้าของร้านซือก็ต้องเข้าประมูลแทน เจ้าจะได้ที่นั่งพิเศษจากเจ้าโรงประมูล”
ซือหยูพยักหน้าและถูกทั้งสองนำทางไปจนถึงโรงประมูลตำหนักโลหิตวันประมูลนี้ค่อนข้างพิเศษ เคนในทุกคนรู้ว่าเขตกลางได้นำสินค้าของตนมาประมูลเมื่อสามวันก่อนแล้ว
สิ่งของเหล่านี้คือวัตถุดิบจากสัตว์อสูรสุรา และโอสถ เหตุก็เพราะพวกเขาจะใช้การประมูลนี้ทำให้ธุรกิจของตำหนักโลหิตขายหน้า
นี่คือแผนการอันแยบยล…ใช้การประมูลที่จัดโดยตำหนักโลหิตบดขยี้ความมั่นใจของตำหนักโลหิตและความเชื่อมั่นต่อธุรกิจโดยใช้สินค้าใหม่ เป็นการสบประมาทที่ร้ายกาจ! เมื่อสินค้าของเขตกลางได้รับความชื่นชอบในวันนี้ ตำหนักโลหิตก็จะพบกับความอัปยศยิ่งขึ้นเมื่อล้มเหลวในการค้าขาย!
เมื่อถึงตอนนั้นอำนาจของเขตกลางจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด คนมากมายจะไปโรงประมูลอื่นโดยไม่สนใจโรงประมูลตำหนักโลหิตอีก!
ตำหนักโลหิตต้องรับแรงกดดันมหาศาลในวันนี้วันนี้ไม่ต่างกับวิกฤติของพวกเขา
หากอำนาจของเขตกลางเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นพวกเขาจะไม่สามารถทำการค้าในเมืองเทียนหยาได้อีก พวกเขาจะกลายเป็นผู้ที่ถูกหัวเราะเยาะในท้ายสุด!
ที่โรงประมูลตำหนักโลหิตเต็มไปด้วยความตึงเครียดโดยเฉพาะกับเจ้าของร้านทั้งสามการค้า นั่นก็คือหลินหมิง เจ้าของร้านวัตถุดิบจากสัตว์อสูรที่ใหญ่ที่สุด อวี่หลิงหลง เจ้าของร้านสุราที่ใหญ่ที่สุด และเฟยฮั่ง เจ้าของร้านโอสถที่ใหญ่ที่สุด!
ทั้งสามคือผู้ที่ถูกรองผู้จัดการใหญ่ลงโทษเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังกดดันมากแค่ไหน
ว่ากันว่ารองผู้จัดการใหญ่ตั้งใจที่จะมาชมงานประมูลนี้ด้วยตัวเองถ้าหากทั้งสามทำให้เขาไม่พอใจ ผลที่ตามมาก็จะโหดร้ายเป็นแน่!..novel-lucky
ซือหยูยังไม่ถูกพาไปยังที่ประมูลเพราะการประมูลยังไม่เริ่มขึ้นเขาถูกพามายังที่รับรอง เจ้าของสินค้าขึ้นประมูลทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่ และ…ซือหยูที่เป็นเจ้าของวารีผงกลั่นดวงใจก็ต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน
เมื่อซือหยูมาถึงที่รับรองเขาได้เห็นเจ้าของร้านใหญ่ทั้งสามในไม่นาน การมาของเขาทำให้ทุกคนในที่รับรองสนใจ
หลายคนเพียงแค่เหลือบมองเขาครั้งเดียวและละสายตาเว้นแต่เฟยฮั่งที่ตาร้อนผ่าว การปรากฏตัวของซือหยูทำให้เขางุนงง
เขาจ้องซือหยูและห้ามไม่ได้ที่จะถาม
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ซือหยูหัวเราะและถามกลับ
“หรือว่าโรงประมูลของตำหนักข้าก็ถูกก่อตั้งโดยเจ้าของร้านเฟยด้วยรึ?หรือว่า…ข้ามาที่นี่ไม่ได้ถ้าเจ้าไม่อนุญาต?”
ขณะที่พูดซือหยูลงไปนั่งในที่นั่งที่หนึ่ง เขายิ้มอยู่ตลอด มันแสดงถึงความมั่นใจและเยือกเย็น
ความกระอักกระอ่วนปรากฏบนใบหน้าเฟยฮั่งเขาได้ยินเรื่องเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างมาแล้ว เขาตกใจที่ซือหยูได้สร้างสายสัมพันธ์กับพันธมิตรปรุงยา นั่นทำให้นายหน้าค้าโอสถหลายคนไม่ฟังคำสั่งของเขา แม้แต่ตระกูลหวงเองก็มอบของขวัญราคาแพงให้กับซือหยู ซึ่งมันเป็นการกู้วิกฤติของร้านตงหลิน!
ทีแรกซือหยูเป็นเพียงคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าในสายตาเขา ซือหยูไม่เคยมีค่าในสายตาเลย แต่เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของเจ้าของร้านโอสถอื่น ตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับซือหยู
แต่เขาไม่คิดว่ามิเพียงแต่ซือหยูจะไม่ถูกลงโทษแต่พวกเขายังต้องเสียนายหน้าค้าโอสถไปโดยไม่ได้สิ่งตอบแทน! ที่แย่กว่านั้น ซือหยูยังกลายตัวเงินตัวทองที่น่าคบหา เจ้าของร้านโอสถอาจจะเริ่มหันหน้าเข้าหาซือหยูได้ทุกเมื่อเพื่อขยายช่องทางรับซื้อโอสถ
จากนั้นเหล่าเจ้าของร้านจะหยุดฟังคำสั่งจากเขาพร้อมกัน!นั่นคือสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น!
“อย่าอวดดีให้มากนัก!ตราบเท่าที่ยังอยู่ในเมืองเทียนหยา เจ้าก็อยู่ภายใต้ร้านโอสถของข้า! หลังจบงานประมูล ข้าจะจัดการเจ้าให้สิ้นซาก!”
เฟยฮั่งพูดอย่างเย็นชา
ซือหยูเบ้ปากเหยียดหยามและตอบ
“ตามใจเจ้า”
พวกร้านโอสถก็แค่ขู่ซือหยูเรื่องโอสถขายส่งเท่านั้นแต่ซือหยูสามารถปรุงโอสถได้ในไม่นาน เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องประณีประณอมหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย!
การโต้เถียงของทั้งสองทำให้อวี่หลิงหลงกับหลินหมิงหน้ามุ่ยเพราะทั้งสองคือเจ้าของร้านใหญ่เช่นกัน พวกเขาคุ้นเคยกับนิสัยของเฟยฮั่งดี
พวกเขาได้ยินเรื่องของร้านโอสถมาแล้วนั่นก็คือเรื่องที่ร้านกลิ่นสวรรค์ต้องการจะปล้นร้านโอสถระดับต่ำร้านอื่นๆ
เหล่าเจ้าของร้านไม่กล้าจะแสดงความโกรธออกมายกเว้นผู้ที่ตรงไปตรงมาหน้าใหม่จากร้านตงหลินที่ออกจากงานประชุมทันทีนั่นทำให้เจ้าของร้านเฟยไม่พอใจ เขาโกรธจนต้องแก้แค้นในทันทีทันใดหลังจากนั้น
แม้ว่านิสัยอันเลวร้ายของเจ้าของร้านเฟยจะไม่น่าอภิรมย์คนอย่างซือหยูที่ต่อต้านคนสูงอำนาจกว่าก็มิอาจรับได้สำหรับพวกเขา เพราะถ้าหากปล่อยไป เจ้าของร้านระดับต่ำคนอื่นก็อาจจะไม่ยอมอยู่ในการควบคุมเหมือนซือหยูด้วย
“เจ้ามิใช่ศิษย์จากตำหนักนอกหรอกรึ?”
หลินหมิงถามซือหยูโดยแม้แต่จะปิดบังความไม่พอใจ
ซือหยูเย็นชาและสุขุมเมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่ายและท่าทาง เขาไม่คิดที่จะตอบอย่างไว้หน้า เขาถามด้วยความเหยียดหยามระดับเดียวกัน
“เจ้าเป็นใคร?”
หลินหมิงตั้งใจจะสั่งสอนเขาแต่ก็ตกตะลึงเมื่อถูกซือหยูถามกลับมาแทน! เขาอับอายที่ซือหยูไม่รู้จักเขา นั่นทำให้เขามิอาจปล่อยคำพูดต่อมาที่ติดอยู่ปลายลิ้นได้
เขาทำได้แค่ถอนหายใจแรง
“เจ้าไม่แม้แต่ศึกษาเรื่องธุรกิจในเมืองเทียนหยาเลยร้านเจ้าเองก็ไม่ได้ค้าขายได้ดีเหมือนกัน”
ซือหยูตอบอย่างสบายใจ
“ฮ่าๆๆ!เจ้าจะพูดว่าการค้าวัตถุดิบสัตว์อสูรไปได้ดีงั้นรึ?”
การค้าวัตถุดิบสัตว์อสูรนั้นคือธุรกิจถูกโจมตีอย่างร้ายแรงที่สุดจากเขตกลาง
“เจ้ากล้าดียังไง?ไอ้…เด็กเวร!”
หลินหมิงทุบหมัดใส่โต๊ะพร้อมจ้องมองซือหยูเขาอับอายที่ถูกเปิดเผยจุดอ่อนต่อหน้าทุกคนเพราะซือหยู
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“ถ้าจะดูถูกคนอื่นก็ควรจะเตรียมตัวรับความอัปยศเสียก่อนจะมีประโยชนน์อันใดในการชักจูงความอัปยศเข้าหาตัวโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะต้องพบเจอความอัปยศกลับไปบ้าง?”
หลินหมิงโกรธแค้นและเข้าใจแล้วว่าตลอดมาเฟยฮั่งรู้สึกเช่นใดในใจหลินหมิงนั้นคิดว่าศิษย์ตำหนักผู้นี้ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ไม่ว่าจะใครก็โกรธถึงขีดสุดได้เพียงแค่พูดคุยกับเขา!
ขณะนั้นอวี่หลิงหลงกำลังคิด…เจ้าของร้านตงหลินคนใหม่ช่างโง่เขลานัก เพราะเขากล้าที่จะยั่วยุทุกคน!