ตอนที่ 871 - หนามยอกเอาหนามบ่ง

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  หากหลินหมิงต้องประสบโชคร้ายกับตัวเองไปแล้วอวี่หลิงหลงก็จะไม่ตำหนิซือหยูโดยตรง นางเพียงแค่มองเขาด้วยความหยามเหยียด เพราะในสายตาของนาง พวกนางทั้งสามเป็นผู้สูงส่ง เจ้าของร้านระดับต่ำไม่มีสิทธิ์มาตีตนเสมอกัน
  เมื่อการโต้เถียงจบลงเสียงเยาะเย้ยก็ดังมาจากด้านนอก
  “พวกคนตำหนักโลหิตน่าสนใจนักพวกมันกัดกันเองตั้งแต่ก่อนพวกเราจะมาถึงซะอีก หึหึ…”
  เมื่อได้ฟังเจ้าของร้านใหญ่ทั้งสามมองกลับไปด้วยความแค้น พวกเขาไม่พอใจ!
  แต่เมื่อคนจากด้านนอกเดินเข้ามาทั้งสามก็ตกตะลึง เพราะคนที่เพิ่งจะเข้ามาคือชายวัยกลางคนสามคน พวกเขาดูไม่เหมือนกับคนอื่นและไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาๆ
  ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงกลางมีร่างกายผอมราวกับโครงกระดูกดวงตาของเขาแทบจะปิดสนิท ใบหน้านั้นยิ้มเยาะ
  เขาค่อนข้างดูชั่วช้าและโหดร้ายเขาคือคนที่ถากถางพวกเขา และเขาก็เป็นคนที่เป็นหัวหน้าอีกสองคนด้วย
  “หูหวังกุยแห่งหอวิญญาณฟ้ารึ?”
  เฟยฮั่งพูดช้าๆจากน้ำเสียงก็บอกได้ว่าเขาหวาดหวั่นแค่ไหน
  หอวิญญาณฟ้าคือร้านโอสถที่ทะยานขึ้นมาในสิบปีนี้หอวิญญาณฟ้ายังเป็นด่านหน้าของการค้าโอสถจากเขตกลาง สิบปีก่อน หอวิญญาณฟ้าเป็นแค่ร้านระดับต่ำธรรมดาๆ แต่วันนี้ ยอดขายของร้านได้เหนือกว่าร้านกลิ่นสวรรค์ไปแล้ว มันได้กลายเป็นร้านโอสถที่คนนิยมสูงสุด
  ตอนนี้มันคือร้านที่มีอำนาจสูงสุดและชื่อเสียงก็ยิ่งดังไปไกลขึ้นเรื่อยๆขณะที่ร้านกลิ่นสวรรค์กำลังตกต่ำลง นี่เป็นเหตุให้เฟยฮั่งถูกตำหนิจากรองผู้จัดการใหญ่ และยังเป็นเหตุให้เฟยฮั่งชิงชังคับแค้นหูหวังกุย!
  หูหวังกุยเหลือบมองเฟยฮั่งด้วยดวงตาที่แทบจะปิดเขาหัวเราะเสียงแหลม
  “โอ้เจ้าของร้านเฟยผู้ยิ่งใหญ่! ถ้าข้ารู้ว่าท่านเป็นที่ทะเลาะกันเอง ข้าก็คงไม่พูดว่าพวกท่านกำลังกัดกันอยู่หรอก”
  เขาจงใจพูดว่า‘กัดกัน’ อีกครั้งเพื่อทำให้อัปยศ เฟยฮั่งชอบที่จะดูดีในสายตาผู้อื่นย่อมไม่ชอบใจที่ถูกทำขายหน้าต่อหน้าคนจำนวนมาก
  แต่เขาก็กัดฟันพูดด้วยเสียงลึกล้ำ
  “หูหวังกุยเจ้ามีอะไรให้น่าภูมิใจนัก? เจ้าเพิ่งจะเป็นเจ้าของร้านโอสถลำดับหนึ่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่เจ้ากลับเสนอตัวว่าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่รึ!”
  หูหวังกุยยิ้มเจ้าเล่ห์
  “ข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยแต่ข้าก็ตีกว่าหมาจนตรอก ใช่หรือไม่?”
  ชายวัยกลางคนสองคนที่ยืนถัดจากเขาเริ่มหัวเราะเมื่อได้ฟังมุขตลก
  “เจ้าพูดเกินไปแล้ว!”
  เฟยฮั่งหน้าแดงด้วยความโกรธ
  หลินหมิงกับอวี่หลิงหลงไม่พอใจเช่นกันแต่พวกเขาก็สุขุมรอบคอบกว่าเฟยฮั่ง
  “เจ้าของร้านเฟยอย่าเสียเวลาอยู่เลย ไปร่วมงานประมูลเถอะ พวกมันทุกคนอยากจะทำให้พวกเราขายหน้าในงานประลอง ทำให้พวกมันหนีหางจุกก้นไปเสียดีกว่า!”
  อวี่หลิงหลงพูดอย่างเย็นชา
  หูหวังกุยหันไปมองอวี่หลิงหลงและถอนหายใจแรง
  “เจ้ามั่นใจนักนะเจ้าของร้านอวี่ ถ้าเจ้าเป็นนางรำในร้านเจ้า พวกเราอาจจะแพ้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็จะไปดูเจ้านะ!”
  เขามองผ่านร่างกายโค้งสวยของอวี่หลิงหลงถึงนางจะอายุมากแล้ว นางก็ยังดูน่าหลงใหลและนับว่าเป็นสาวงาม มันคงจะดีในการสร้างความบันเทิงของร้านอาหาร!
  เพราะยอดฝีมือไม่ได้สนใจคุณภาพของอาหารและสุราอยู่แล้วพวกเขาจะกินอะไรก็ย่อมได้! ดังนั้นถ้าหากมีนางรำที่มีสถานะใหญ่โตอยู่ในร้าน การค้าก็ย่อมรุ่งเรือง!
  เมื่อได้ฟังคำดูถูกอวี่หลิงหลงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว แต่นางก็ไม่ผลีผลาม นางเพียงแค่อดทนไว้
  จากนั้นนางจึงพูดอย่างเยือกเย็น
  “พวกเจ้าจะรู้ทุกอย่างหลังจากประมูลแล้ว”
  หูหวังกุยหัวเราะเบาๆและหันไปมองหลินหมิงเขายิ้มอย่างลึกลับ
  “ส่วนเจ้าของร้านหลินข้าได้ยินว่าร้านวัตถุดิบสัตว์อสูรของเจ้าเคยครองตลาดในเมืองเทียนหยามาก่อน แต่ตอนนี้อาณาเขตเจ้าถูกยึดไปแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำไมตำหนักโลหิตถึงไม่มีคนมีความสามารถอยู่บ้าง? ทำไมถึงมีแต่ขยะอย่างเจ้ามาดูแลจนถึงทุกวันนี้?”
  หลินหมิงโกรธแค้น
  “นี่เจ้า!หูหวังกุยประมาทไปนัก! ความสำเร็จเล็กน้อยของเจ้ามันน่ายินดีตรงไหนกัน?”
  หูหวังกุยถอนหายใจแรง
  “พวกเรายอดเยี่ยมอยู่แล้ว!พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ยอมรับ!”
  หลินหมิงไม่พอใจแต่ก็สิ้นหวังการค้าของเขตกลางในทุกวันนี้แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเขตกลางเหนือกว่าพวกเขา!
  นี่คือสาเหตุที่เจ้าของร้านใหญ่ทั้งสามไม่โต้เถียงต่อนั่นก็เพราะพวกเขาต้อยต่ำกว่าจริง ถ้าหากพวกเขาต่อล้อต่อเถียงต่อไปก็ขายหน้ากว่าเดิม!
  เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านทั้งสามพูดไม่ออกหูหวังกุยก็ยิ้มเยาะมองซือยหูที่นั่งอยู่ระหว่างพวกเขา
  แม้ว่าจะไม่รู้จักซือหยูเขาก็ไม่คิดจะปล่อยไป
  “แล้วเจ้าล่ะ?เจ้าที่ถูกเจ้าของร้านใหญ่สองคนตำหนิย่อมไม่ใช่คนธรรมดา การกัดกันเมื่อครู่ของพวกเจ้าช่างน่าประทับใจนัก! หึหึ”
  ซือหยูหลับตามาโดยตลอดเขาดูเหมือนชาวแก่ที่อิ่มเอมใจและเยือกเย็น เขาทำเป็นไม่ได้ยินคำถากถาง
  หูหวังกุยเริ่มโมโห
  “เฮ้ย!ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเล่า?”
  แม้จะดูเหมือนเขาเยาะเย้ยซือหยูแต่แท้จริงคือเขากำลังหาข้อมูลเรื่องตัวตนของซือหยูอยู่
  ซือหยูลืมตามองหูหวังกุยอย่างไม่แยแสเขาถามด้วยเสียงเย็นๆ
  “เจ้าอยากจะให้ข้าพูดจริงๆรึ?”
  หูหวังกุยหัวเราะเบาๆและยิ้มเยาะ….novel-lucky
  “ก็แค่พูดมาหรือเจ้ากลัวสิ่งใดรึ? ก็ไม่แปลกหรอก เจ้าของร้านใหญ่สามคนของฝั่งเจ้ายังพูดอะไรไม่ออกเลย!”
  ซือหยูหัวเราะเบาๆเขาปัดฝุ่นบนเสื้อและกล่าว
  “ย่อมได้หากอยากให้ข้าพูดนัก ข้าแค่สงสัยว่าใครสอนให้เจ้าพูดแบบนั้น เจ้าดูเก่งดีนะ แต่เสียงเจ้ามันอย่างกับกะเทย! คงมีอาจารย์เลื่องชื่อสอนเจ้ามาหลายปีล่ะสิ!”
  จิตสังหารปรากฏในแววตาหูหวังกุยทันทีพร้อมกันนั้นสองคนที่ยืนข้างหูหวังกุยยังตกใจและมองซือหยูด้วยความโกรธแค้น
  หูหวังกุยหรี่ตาที่ตี่อยู่แล้ว
  “เจ้าปากกล้านัก!ก็ได้…ข้าจะจำเจ้าไว้”
  ซือหยูโบกมือ
  “ข้าไม่ได้อยากจะพูดแต่เป็นเจ้าที่คะยั้นคะยอให้ข้าพูด แต่พอข้าพูด เจ้ากลับโกรธเสียได้!”
  อวี่หลิงหลงเกือบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมานางรีบเอามือปิดปากหัวเราะเบาๆ นางรู้สึกว่าความไม่พอใจของนางหายไปอย่างรวดเร็ว
  ซือหยูเพียงแค่นั่งนิ่งหลับตาเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครแต่หูหวังกุยยังเข้าไปยั่วเขา! ดูเหมือนว่าหูหวังกุยนั้นจะเสพติดการเยาะเย้ยผู้คนและอยากจะหาเหยื่อคนใหม่อยู่เสมอเพื่อสนองตัณหา!
  แต่ซือหยูนั้นก็กล้าพอที่จะแหย่จุดอ่อนของหูหวังกุยไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดูเหมือนหูหวังกุยนั้นถูกกรรมตามสนอง
  อวี่หลิงหลงมองซือหยูและรู้สึกว่าลิ้นอสรพิษของเขามิได้เป็นภัยต่อพวกนางอยู่เสมอทั้งยังมีประโยชน์เมื่ออยู่ฝ่ายเดียวกัน
  หูหวังกุยสีหน้าดำมืดเขาบ่มเพาะวิชาของสตรีมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า นั่นทำให้เสียงของเขาแหลมราวกับสตรี เขามักจะถูกหัวเราะเพราะเรื่องนี้แต่ก็ไม่เคยมีคนที่หัวเราะเยาะเขารอดชีวิตไปได้
  เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในเมืองเทียนหยาทุกคนที่รู้เรื่องย่อมไม่กล้าล้อเรื่องเสียงแหลมของเขา แม้แต่คนจากสำนักที่มีความบาดหมางต่อกันก็ห้ามตัวเองไม่ให้ล้อเรื่องนี้
  แต่กลับมีชายแก่บ้าบิ่นกล้าล้อเขาต่อหน้าทุกคนเขารู้สึกเหมือนถูกแทงเข้าที่จุดอ่อน!
  “สามหาว!รอดูเถอะว่าจบการประมูลไปแล้วเจ้าต้องเจอกับอะไร…”
  หูหวังกุยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
  ซือหยูหัวเราะเบาๆ
  “ข้าเห็นเจ้าเอาแต่เยาะเย้ยคนอื่นก็พลางคิดว่าเจ้ามีภูมิต้านทานอยู่แล้ว!แต่เจ้ายอมแพ้ง่ายดายนัก! ถ้าเจ้าอ่อนไหวขนาดนี้ก็เลิกเยาะเย้ยชาวบ้านได้แล้ว”
  หูหวังกุยโกรธจนตัวสั่นแต่ซือหยูก็ยังไม่ปล่อยเขาไปนั่นทำให้เขาบินพุ่งใส่ซือหยูด้วยความแค้น
  “เจ้าอยากตายเรอะ!”
  เขากรีดร้อง
  ฟึ่บ!
  เขาเริ่มขยับตัวและดูเหมือนจะจู่โจมซือหยูที่นี่!…เขาจะจู่โจมข้าจริงๆรึ? หึหึ! ไม่เห็นจ้าวเทวะสองคนที่จับตามองข้าอยู่หรืออย่างไร?
  “พี่หูอย่าหลงกลมัน! พวกเราอยู่ในโรงประมูลตำหนักโลหิต ถ้าเราไม่ทำตามกฎ พวกมันจะใช้ข้ออ้างนี้ริบสิทธิ์พวกเราในการร่วมประมูล! ทนไว้ก่อนนะพี่หู!”
  หนึ่งในชายวัยกลางคนทั้งสองพยายามปรามให้เขาใจเย็นลง
  หูหวังกุยกลับมาได้สติเขาระงับจิตสังหารของตัวเองลง เขาจ้องมองซือหยูอย่างเยือกเย็น
  “ก็ได้!ฝากไว้ก่อนเถอะ”
  ซือหยูหัวเราะเบาๆ
  “เจ้าจะทำอะไรก็ทำต่อสิเมื่อครู่เจ้ายังเห่าเสียงดังอยู่ไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรแล้วล่ะ?”
  จิตสังหารร้อนระอุอยู่ในใจหูหวังกุยแต่เขาก็ต้องเตือนตัวเองว่าต้องใจเย็นเข้าไว้ เขาได้แต่หลับตานั่งนิงทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งใด
  “หืม?…เจ้าหลับแล้วรึ? ทำไมไม่แสดงฝีปากเจ้าอีกเล่า? เจ้าหยุดทำไมกัน? เจ้าไร้ความสามารถขนาดนั้นเชียวรึ? ขยะอย่างเจ้าเป็นผู้นำคนพวกนี้ได้ยังไง?”
  ซือหยูหันไปหาสองคนข้างหลังหูหวังกุยและถาม
  “ส่วนเจ้าสองคนพวกเจ้ายินดีที่จะถูกคนตอแหลเช่นนี้นำงั้นรึ? พวกเจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่…”
  ซือหยูยังคงพูดต่อไปเขาทำกระทั่งพูดถากถางชายวัยกลางคนอีกสองคนจากเขตกลาง
  ชายทั้งสองแค้นซือหยูเป็นอย่างมากหูหวังกุยโกรธจนตัวสั่น เขาอยากจะตบซือหยูให้ตายและรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะแหย่รังต่อที่น่ารำคาญ!
  เมื่อเป็นเช่นนี้ภาพประหลาดก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ชายแก่ผู้เป็นภูติระดับสามเอาแต่พูดจาเยาะเย้ยยอดฝีมือที่มีตำแหน่งสูงสามคน แต่เหล่ายอดฝีมือทั้งสามกลับอดทนรับหลับตาและทำเป็นไม่ได้ยิน!
  ถ้าหากสังเกตให้ดีจะพบว่าเส้นเลือดได้ปูดโปนบนหน้าผากชายทั้งสามพวกเขากำลังจะเข้าสู่ความบ้าคลั่ง แม้แต่เจ้าของร้านใหญ่ทั้งสามจากตำหนักโลหิตก็ไม่พยายามหยุดเขา
  อวี่หลิงหลงยิ้มจางๆและมองดูซือหยูด้วยดวงตาที่น่ารักความคิดที่มีต่อซือหยูของนางเปลี่ยนไป
  ดูเหมือนว่าตราบเท่าที่ไม่เข้าไปยุ่งกับเขาเขาก็จะไม่ยุ่งกับผู้ใด แต่ถ้าหากมีคนมายั่วเขาแล้ว เขาก็จะไม่ปล่อยคนที่กระทำกับเขาไป!
  เมื่อนางคิดได้เช่นนี้ก็ตระหนักว่าข้อขัดแย้งที่เขามีกับเฟยฮั่งจะต้องเกิดเพราะเฟยฮั่งพยายามไล่ต้อนเขาส่วนหลินหมิง คงเป็นเพราะเขาเห็นว่าซือหยูขัดตาจึงต้องปะทะฝีปากกับซือหยู
  ชายคนนี้น่าสนใจนักอวี่หลิงหลงมองซือหยูดีขึ้น นางยิ้มและหันไปมองหูหวังกุยกับอีกสองคนที่เงียบราวกับเต่าตาขาวเมื่อโดนสาปแช่ง
  นางระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสุขสันต์ความโกรธทั้งหมดที่ถูกหูหวังกุยถากถางหายไปสิ้น เมื่อผ่านไปสักครู่จึงมีสาวใช้หลายคนเข้ามาต้อนรับพวกเขาอย่างดี
  “เจ้าของของประมูลทุกท่านงานประมูลกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า โปรดตามพวกเราไป…”
  สาวใช้คนหนึ่งประกาศ
  หูหวังกุยลืมตามองซือหยูอย่างเคียดแค้นดวงตานั้นยังมีจิตสังหารไม่เสื่อมคลาย สองคนที่อยู่ถัดจากเขาก็รู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก พวกเขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อผ่านความตึงเครียดมาได้ เพราะชายแก่ที่สาปแช่งพวกเขาเมื่อครู่ช่างไร้เหตุผลและไม่ต่างกับเสี้ยนหนาม!
  เจ้าของร้านใหญ่ทั้งสามลุกขึ้นเช่นกันส่วนซือหยูนั้นจิบชาล้างคออึกใหญ่และออกจากที่รับรองไปกับพวกเขา
  เหล่าสาวใช้เดินนำทางไปยังที่ประมูลการประมูลนั้นยังไม่เริ่ม มีเพียงเจ้าของของประมูลอย่างพวกเขาที่มาถึงก่อนเท่านั้น
  แต่ก็ยังมีเจ้าของของประมูลคนอื่นที่ยังไม่เผยตัวและรอมาทีหลังปะปนกับแขกดังนั้นเจ้าของของประมูลจึงมิได้จำกัดอยู่แค่เจ็ดคน
  พวกเขายืนอยู่ที่หน้าขั้นบันไดที่จะนำไปยังชั้นสองชั้นสองนั้นมีห้องรับรองพิเศษและมีแค่คนตำแหน่งใหญ่เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ มีห้องรับรองพิเศษเพียงแค่เก้าแห่งเท่านั้นในโรงประมูลอันซับซ้อนนี้
  หูหวังกุยมองซือหยูอย่างเย็นชา
  “ดูเหมือนว่าเราต้องแยกกันไปก่อนแต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าเรื่องของเจ้ากับพวกข้ามันยังไม่จบ!”
  ซือหยูสีหน้าประหลาด
  “ทำไมเราต้องแยกกันเล่า?”
  เมื่อได้ฟังหูหวังกุยถอนหายใจแรงอย่างเยือกเย็น
  “เจ้ารู้สึกยังไงล่ะ?เจ้าคิดว่าสถานะของเจ้าจะทำให้เจ้าได้เข้าห้องรับรองพิเศษอย่างงั้นเรอะ? เจ้าไปนั่งบนที่นั่งธรรมดาก็พอแล้ว!”