เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาของนางลง
เฝิงจิ้งซูโบกมือออกไปแล้วพูดว่า “ลืมไปเสียเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็เป็นห่วงพี่สาว รีบเก็บตั่งขึ้นมาเร็วเข้า”
ซุ่ยหงขานรับ เข้าไปยกตั่งนั้นขึ้นมาอย่างเบามือก่อนจะถอยไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
เฝิงจิ้งเหวินยังคงตกอยู่ในอาการตะลึงพรึงเพริด ปากพึมพำออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไร”
เมื่อมองไปที่บุตรสาวแล้วเห็นสภาพปัจจุบันที่นางเป็นอยู่ พลันก็ให้นึกถึงความทุกข์ทรมานที่นางได้รับมาตลอดหลายวันนี้ ยิ่งคิดไปถึงสภาพหมดอาลัยตายอยากของนางตอนที่ได้รู้ว่าตนเองคลอดทารกตายคลอดออกมา ได้รู้ว่านางไม่อาจมีลูกได้อีกแล้วตลอดทั้งชีวิตนี้ ความสิ้นหวังเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากคนที่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วเลย เฝิงฮูหยินในใจเต็มไปด้วยโทสะและความเคียดแค้น นางกัดฟันกล่าวออกไปอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หากข้ารู้ว่ามันผู้ใดทำแบบนี้กับลูกสาวของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มันได้ตายดีอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองไปทางซุ่ยหงแวบหนึ่ง เห็นว่าร่างกายของซุ่ยหงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในใจก็พอคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
กรอบตาของเฝิงจิ้งเหวินบัดนี้แดงก่ำไปทั้งดวง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจนาง “พี่สะใภ้ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว สาเหตุที่ข้ากับเถ้าแก่เหวินไม่ยอมบอกท่านตั้งแต่แรกก็เพราะกลัวว่าหลังจากที่ท่านรู้เรื่องนี้แล้วท่านจะรู้สึกโศกเศร้ามากเกินไปจนส่งผลต่อการรักษา”
เฝิงจิ้งเหวินใช้ดวงตาที่แดงเรื่อมองตอบนาง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความขอบคุณและซาบซึ้งใจ “น้องโยวเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามาก นั่นสินะ ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ต่อจากนี้ไปข้าจะตั้งใจฟื้นฟูร่างกายของตนเองให้ดี ให้กำเนิดเด็กชายตัวน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์คนหนึ่งเพื่อสามีของข้า”
“พี่สะใภ้คิดได้เช่นนี้ถูกต้องแล้ว เถ้าแก่เหวินได้เริ่มสั่งให้คนลงไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องพบตัวคนที่วางยาท่านอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นอาการป่วยของท่านคงจะหายขาดพอดี ร่างกายเองก็คงฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงแล้ว อย่าว่าแต่หนึ่งคนเลย คลอดสักแปดคนสิบคนยังไม่เป็นปัญหาด้วยซ้ำ”
เฝิงจิ้งเหวินหลุดหัวเราะดัง “พรืด” ออกมา กล่าวว่า “น้องโยวเอ๋อร์นี่ก็ช่างหยอกเสียจริง มีสองสามคนแค่นี้ข้าก็พอใจมากแล้ว”
“นั่นสิ” เฝิงจิ้งซูเสริมทัพ “คลอดลูกน่ะเจ็บจะตาย เสียงกรีดร้องของพี่สะใภ้รองตอนที่ทำคลอดหลานชายตัวน้อยเมื่อตอนนั้นยังติดอยู่ในหูข้าอยู่เลย ทำเอาข้าหวาดกลัวแทบตาย พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องคลอดเยอะถึงเพียงนั้นหรอก”
ฮูหยินเฝิงยิ้มพลางตบหัวนางเบาๆ “เจ้าเด็กโง่คนนี้ บุตรจะมากหรือน้อยล้วนแต่เป็นโชคชะตากำหนด ไหนเลยบอกจะคลอดกี่คนก็คลอดได้มากตามที่ต้องการ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวฉับพลันเลือนหายไป
เฝิงจิ้งซูแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซนอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองทุกคนที่อยู่ในห้องครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปว่า “ฮูหยินเฝิง ข้ายังมีเรื่องต้องกำชับท่าน พวกเราสนทนากันตามลำพังได้หรือไม่”
ฮูหยินเฝิงเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้าตกลงแล้วจึงหันไปสั่งเฝิงจิ้งซูว่า “เจ้าดูแลพี่สาวเจ้าให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะพาLไปนั่งที่ห้องของข้า”
เฝิงจิ้งซูพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง หย่อนกายลงบนตั่งข้างเตียงเพื่อคอยดูแลเฝิงจิ้งเหวิน
ฮูหยินเฝิงหลังจากที่พาเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเรือนของตนแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้ไปยกน้ำชาเข้ามารับรองแขก จากนั้นก็เป็นฝ่ายเปิดปากถามออกไปก่อนว่า “แม่นางเมิ่งมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตามตรงเถิด”
ทว่าครั้นพอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองบรรดาสาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ในห้อง ฮูหยินเฝิงก็พลันเข้าใจเจตนา โบกมือสั่งให้พวกเขาถอยออกไปทันที
หลังจากขบคิดเรื่องนี้ได้อีกพักใหญ่ ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตัดสินใจบอกฮูหยินเฝิงเรื่องที่รถม้าของสองพี่น้องเฝิงจิ้งเหวินถูกเหวินเอ้อร์ขัดขวางระหว่างทางกลับมา รวมไปถึงเรื่องในวันนี้นางกับHไปหาเหวินเอ๋อร์ นางบอกแก่ฮูหยินเฝิงไปทั้งหมด
ฮูหยินเฝิงพอฟังจบก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ “ความหมายของLก็คือ คนที่ลงมือทำร้ายเหวินเอ๋อร์คือสองแม่ลูกนั่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ “ใช่เจ้าค่ะ เขาสารภาพทุกอย่างต่อหน้าเถ้าแก่เหวินแล้ว แล้วตอนนี้เขาก็ถูกขับไล่ออกจากจวนไปแล้วด้วย มารดาของเขาเองยามนี้ก็ถูกกักบริเวณอยู่แต่ในเรือนของตนเหมือนกัน อย่างไรก็ตามหากว่าไม่มีไส้ศึกคอยส่งข่าวจากภายในให้พวกเขาได้ทราบ แผนการของพวกเขาคงไม่มีวันสำเร็จ”
ฮูหยินเฝิงบัดนี้หายจากอาการตกตะลึงแล้ว นางหย่อนกายลงนั่งอีกครั้ง พยักหน้าอย่างเห็นด้วยว่า “เจ้าพูดถูก พวกเขาต้องมีไส้ศึกแน่นอน ไม่รู้ว่าลูกเขยของข้าผู้นั้นสืบรู้แล้วหรือยัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว “จนถึงบัดนี้เขายังไม่พบเบาะแสอันใดเลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าจึงได้มาเยี่ยมเยียนพี่สะใภ้ถึงที่จวนด้วยตัวเอง ทางหนึ่งก็เพื่อมารักษาอาการป่วยของพี่สะใภ้ อีกทางก็เพื่อช่วยสอดส่องดูว่ามีใครน่าสงสัยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวพี่สะใภ้บ้างหรือไม่”
“เช่นนั้นLเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า” ฮูหยินเฝิงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“มีบ้างนิดหน่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ายังไม่แน่ใจนัก จึงได้อาศัยข้ออ้างเมื่อสักครู่เรียกท่านออกมาด้วยกัน”
“เป็นผู้ใด” ฮูหยินเฝิงถามพร้อมกับกัดฟันแน่น
“เป็นสาวใช้ที่ชื่อซุ่ยหงเจ้าค่ะ ข้าคิดว่านางน่าสงสัยมาก หลังจากที่ข้ากลับไปแล้วรบกวนฮูหยินเฝิงช่วยสอดส่องนางอีกทาง ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด ไม่พ้นคืนนี้นางจะต้องแพร่งพรายข่าวเรื่องที่พี่สะใภ้สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้อีกครั้งออกไปแน่ ถึงตอนนี้ท่านแค่จับตัวนางไว้ก็พอ”
“ซุ่ยหง” ฮูหยินเฝิงตกใจเป็นอย่างยิ่ง “นางเป็นสาวใช้คนสนิทที่ข้าซื้อให้เหวินเอ๋อร์เอง ติดตามอยู่ข้างกายเหวินเอ๋อร์มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไหนแต่ไรมาก็ซื่อสัตย์และจริงใจต่อเหวินเอ๋อร์ยิ่ง จะเป็นนางไปได้อย่างไร”
“นี่ยังเป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ยังไม่แน่ใจว่าจะใช่หรือไม่ ฮูหยินเฝิงท่านส่งคนมาจับตาดูนางไว้อย่าให้คลาดสายตาก็พอ แต่หากท่านยังไม่วางใจ จะจับตาดูคนอื่นๆ ด้วยก็ได้นะเจ้าคะ”
ฮูหยินเฝิงพยักหน้าให้ “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณLมาก หากพวกเขาเป็นหนึ่งในคนที่กินที่ลับขับที่แจ้งจริงๆ กล้าทำเรื่องอย่างเช่นวางยาเหวินเอ๋อร์ของข้า ข้าจะไม่ปล่อยพวกมันไปอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดคุยกันเสร็จสิ้น ทั้งสองก็กลับไปที่ห้องของเฝิงจิ้งเหวินอีกครั้ง เห็นว่าควรแก่เวลาแล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวถอนเข็มเงินลงมาจึงพูดออกไปว่า “นี้ก็สายมากแล้ว ข้าสมควรกลับเสียที”
เฝิงจิ้งเหวินบัดนี้สวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย เมื่อมองเห็นสีของท้องฟ้าด้านนอกจึงพูดไปว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าให้บ่าวในจวนส่งเจ้ากลับไปดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือปฏิเสธ กระเถิบเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “อี้เซวียนยังรอข้าอยู่ข้างนอก ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ”
เฝิงจิ้งเหวินดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันทีที่ได้ยิน ยกมือขึ้นปิดปากพยายามกลั้นเสียงกรีดร้องของตนเองไม่ให้เล็ดลอดออกไป เนิ่นนานทีเดียวก่อนที่นางจะโปรยยิ้มขึ้นแล้วแหย่เล่นไปด้วยเสียงเบาว่า “น้องโยวเอ๋อร์เจ้าช่างมีวาสนาจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดออกมา จึงไม่อาจให้คนนอกรับรู้ได้ ฮูหยินเฝิงและเฝิงจิ้งซูได้รับการอมรมมาเป็นอย่างดี ย่อมไม่มีทางเอ่ยถามออกไปให้เสียมารยาท เห็นว่าเฝิงจิ้งเหวินไม่ได้ยืนกรานอะไรอีก ฮูหยินเฝิงจึงปล่อยผ่านไป
ทั้งสามคนเดินมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงหน้าประตูอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งเห็นนางขึ้นรถม้าจากไปไกลแล้ว จึงหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าจวนไป
ฮูหยินเฝิงเปิดปากพูดกับบุตรสาวทั้งสองอย่างใจเย็นไม่เผยพิรุธ “วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว อยากจะกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย พวกเจ้าเองก็สมควรพักผ่อนด้วยเหมือนกัน อย่าได้พูดคุยกันจนเผลอล่วงเวลาไปเล่า”
สองพี่น้องพยักหน้า
ทั้งสามพลันก็แยกย้ายกลับไปที่เรือนพักของตนเอง
เนื่องจากว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแขกซึ่งเป็นอิสตรี นายท่านเฝิงจึงไม่สะดวกออกมาพบหน้าสนทนาด้วย พอเห็นฮูหยินเฝิงเดินกลับเข้าห้องมา นายท่านเฝิงก็รีบสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเฝิงจิ้งเหวินทันทีด้วยความร้อนใจ
ฮูหยินเฝิงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปอย่างใจเย็น คัดลอกคำที่ได้ฟังมาจากปากของเมิ่งเชี่ยนโยวทุกคำออกไปชนิดไม่มีตกหล่นแม้เพียงอักษร
จากนั้นก็ได้ยินเพียงแต่เสียง “แพล้ง” ดังขึ้นอย่างแรง นายท่านเฝิงโกรธมากจนเขวี้ยงถ้วยชาลงกับพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ สบถด่าไปด้วยความโกรธว่า “บังอาจมาทำร้ายลูกสาวสุดที่รักของข้า เห็นว่าตระกูลเฝิงของข้ารังแกกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นสินะ”
รอจนกระทั่งเขาสงบลงมา ฮูหยินเฝิงถึงได้บอกข้อสันนิษฐานของเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปให้เขาได้ฟัง นายท่านเฝิงไม่ลังเลสักนิด เขาสั่งความลงไปทันทีให้บ่าวที่เชื่อใจได้คอยจับตาดูซุ่ยหงและบรรดาสาวใช้ทุกฝีก้าว
หลังจากเดินทางออกมาจากจวนตระกูลเฝิงได้ไม่ไกลมาก ก็มาถึงสถานที่ที่ได้นัดหมายตกลงกันไว้ ซึ่งรถม้าของหวงฝู่อี้เซวียนจอดรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว
ทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว หวงฝู่อี้เซวียนก็แทบทนรอไม่ไหวเลิกผ้าม่านขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมาจากรถม้าของตน แล้วเดินไปขึ้นรถม้าของเขา
ไม่จำเป็นต้องสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงเรียบร้อยแล้วคนขับรถม้าก็รีบเคลื่อนรถมุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเมือง
“เป็นอย่างไรบ้าง” หวงฝู่อี้เซวียนถามออกไป
—————————-