ภาคที่ 4 บทที่ 80 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (4)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 80 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (4)

นับตั้งแต่ถูกหวังซานหยูเล่นเล่ห์ใส่เมื่อหลายปีก่อน ซูเฉินก็พกยาจำนวนมากติดตัวไว้ และนับตั้งแต่ที่ถูกลอบโจมตีโดยด่านสู่พิสดารเผ่าเกล็ดทรายสองคนในเมืองภูผาเมิน คุณภาพยาที่พกติดตัวก็สูงขึ้นด้วย

หากซูเฉินใช้ยาที่พกมาเอง เขาก็อาจเพิ่มพลังตนเองขึ้นได้สามเท่า แต่หากเป็นกู่เหยาเยี่ย มันจะเพิ่มขึ้นแค่ยี่สิบในร้อยส่วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความแกร่งของซูเฉินจะเทียบได้กับความแกร่งสิบห้าส่วนของกู่เหยาเยี่ย

กระนั้น แค่เพิ่มมายี่สิบส่วนก็นับว่าทันเวลาพอดี

การต่อสู้ในปัจจุบันกำลังเข้าจุดสำคัญการมีพลังเพิ่มขึ้นยี่สิบส่วน อย่างน้อยก็บวกเวลาที่จะสามารถรั้งศัตรูได้เป็นสองเท่า

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !

ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งสี่เข้าโจมตีพร้อมกัน พลังต้นกำเนิดเคล้าไอเพลิงพุ่งออกจากร่าง ส่องประกายคล้ายคบเพลิงสี่ชิ้น ปัดเป่าความมืดมิดออกไป เพลิงนี้ยังต่อต้านการโจมตีจากสายฟ้าฟาดอีกด้วย

ซูเฉินฉวยโอกาสถอยออกมา หากไม่หนีตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสแล้ว

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากส่องสว่างจ้าก่อนจะพุ่งไปไกล

อสรพิษสายฟ้าคำรามลั่น ส่งริ้วสายฟ้าซัดไปทางซูเฉิน หลายริ้วเล็ดลอดวงล้อมเพลิงออกไปได้แล้วพุ่งไปหาชายหนุ่ม

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากหลบได้อย่างคล่องแคล่ว

“กรรร !”

อสรพิษสายฟ้าพลันคำรามเสียงประหลาด ราวกับส่งเสียงอยู่ข้างหูซูเฉิน

การโจมตีจิต !

การโจมตีจิตนี้ทรงพลังไม่น้อย คนธรรมดาอาจศีรษะระเบิดไปแล้ว แต่พลังจิตซูเฉินค่อนข้างแกร่ง กระทั่งกู่เหยาเยี่ยและคนอื่น ๆ ยังด้อยกว่าเขาในด้านนี้ ดังนั้นการโจมตีจิตนี้ไม่ทำให้เขามึนงงได้ด้วยซ้ำ เพียงแค่รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย

สายฟ้าลำหนาลำหนึ่งพุ่งเข้าหาเรือเหาะเป็นการโจมตีตามมา

โชคร้ายที่เจ้าอสรพิษทำให้ซูเฉินมึนไม่สำเร็จ เขาจึงไม่นั่งนิ่งรอให้โดนโจมตี สั่งเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากให้หลบทัน

จากนั้นก็หยุดมือดูท่าไม่รีบร้อนอีก หันมาจ้องอสรพิษขนาดยักษ์ “เจ้าคิดว่าเจ้ามีวิชาจิตคนเดียวหรือ ? เอาของข้าไปกินเสียบ้าง !”

เขาเบิกตากว้างแล้วใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา

หากเป็นในเรื่องการต่อสู้ เขาคงถูกราชันอสูรกายอัดเละ แต่หากเป็นพลังจิต เขาไม่กลัวสักนิด

พริบตาต่อมา ราชันอสูรกายอสรพิษสายฟ้าก็ชะงักไปชั่วขณะ ตกอยู่ในโลกมายา

แม้ด้วยพลังของมันจะทำให้หลุดออกมาได้โดยใช้เวลาไม่นาน แต่โลกมายาก็รั้งมันไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง และแค่เท่านั้นก็นับเป็นเวลามากโขสำหรับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายแล้ว

พริบตาต่อมา อสรพิษทะยาน ช้างเผือก วานรดาบ และแมงป่องบินต่างฉวยโอกาสนี้โจมตี

โดยเฉพาะวานรดาบหยก มันหยิบดาบออกมาจากฝักบนหลัง

อสูรกายทั้งหลายเป็นเพียงภาพมายา หมายความว่าเป็นเพียงภาพฉายให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเท่านั้น หากแต่ตอนนี้มายากลายเป็นความจริง ราวกับมีวานรดาบหยกปรากฏขึ้นจริง ดาบไร้ขอบเขตพุ่งขึ้นจากฝัก ก่อนที่วานรดาบหยกจะเงื้อแขนแล้วฟาดดาบออกไป

ฟ้าว !

เลือดอสูรโบราณสาดกระเซ็น

“โฮกกก !!!”

อสรพิษสายฟ้าร้องลั่นด้วยความเจ็บบปวด

มันบาดเจ็บ !

ราชันอสูรกายอย่างมันเนี่ยหรือ !

น่าอับอายนัก !

เปรี้ยง !

สายฟ้ารุนแรงริ้วหนึ่งพุ่งออกจากปาก หนาแน่นมากจนกลายเป็นเมือก บีบผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งสี่ให้ต้องตั้งท่ารับเต็มที่ คล้ายกับศิลาใหญ่ต้านทานคลื่น ส่วนซูเฉินแม้จะอยู่ไกล แต่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากก็ยังกระเด็นไป ลำเรือร้องประท้วง หินพลังต้นกำเนิดที่เก็บไว้ซึ่งมีหน้าที่ให้พลังในส่วนของการป้องกันลำเรือหลังหายไปกว่าครึ่งทันที

หากร่างจริง ๆ ของซูเฉินถูกพลังเมื่อครู่ไป หากไม่ตายก็เจ็บหนัก

“บัดซบ” ซูเฉินสบถ ไม่คิดว่าวิชาสรรพสิ่งลวงตาธรรมดา ๆ จะยังผลร้ายแรงเช่นนี้

เขาจึงไม่กล้าใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาอีก แต่หันไปจ้องเจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้า

ยั่วราชันไม่ได้ แล้วหากเป็นเจ้าอสูรกายแทนเล่า ?

แล้วก็ใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาอีกครา

เป็นการตัดสินใจที่ปกติมาก

เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้านั้นประมือรั้งอยู่ได้เพราะความคล่องตัวของมันเท่านั้น มันไม่อาจเอาชนะคนด่านสู่พิสดารมากมายเช่นนี้ได้

ทว่าวิชาสรรพสิ่งลวงตาจากซูเฉินครั้งนี้นับว่ากำลังจะเอาชีวิตมันแล้ว

ลังเลเพียงพริบตา ย่อมหมายถึงถูกการโจมตีนับไม่ถ้วนซัดร่าง

เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้าที่เลี่ยงหลบการโจมตีทั้งหลายมาสบายใจพลันถูกส่งร่างปลิวไป ทั่วร่างกลืนไปด้วยแสงจากพลังที่ถูกซัดเข้าใส่ เลือดกระเซ็นทั่วฟ้าทันที

“โฮกกก !” เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้าคำรามแล้วล่าถอยไป เมฆหมอกเริ่มมาบรรจบที่บาดแผล เค้นพลังที่ด่านสู่พิสดารส่งเข้าร่างออกไปโดยเร็ว เมื่อไม่มีพลังนั่นแล้ว แปลจึงปิดอย่างรวดเร็ว

กระนั้นซูเฉินก็ใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาไปทางมันอีก

หมาป่าฟ้าชะงักค้างไปอีก ทั่วร่างถูกพลังซัดนับไม่ถ้วนอีกครั้ง

เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้านั้นทรงพลัง การป้องกันแกร่ง มีความเร็วดั่งสายฟ้า วิชาเองก็แกร่งไม่น้อย มีแก่นพลังชีวิตกำลังสูง แต่ถึงกระนั้นมันก็ถูกโจมตีใส่จนหมดท่า ท่าทางสบายอารมณ์เมื่อก่อนหน้าพลันหาย

“บัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า !” เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้าคำรามหวนแล้วกระโจนกลายเป็นริ้วแสงพุ่งใส่ซูเฉิน

มันเร็วกว่าเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากเสียอีก ถึงขั้นที่ซูเฉินหนีไม่ทัน ริ้วแสงสีฟ้ามาถึงลำเรือในพริบตา ก่อนซัดกรงเล็บใส่ลำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก เกิดเป็นแสงไปลั่นเปรี๊ยะจากหินพลังต้นกำเนิดที่ถูกใช้งานเพื่อป้องกัน

ซูเฉินไม่ใส่ใจ โบกมือเพียงครั้ง หินพลังต้นกำเนิดจำนวนมากก็ร่วงหล่นลงช่องเก็บหิน เติมหินที่ถูกใช้ไป

เจ้าจะทลายคลังหินพลังต้นกำเนิดของข้าได้หรือ ?

เขาเติมหินให้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากเรื่อย ๆ ก็ยังไม่ลืมใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา อย่างไรเขาก็ไร้วิชาอื่นที่จะต่อกรกับศัตรูที่แกร่งขนาดนี้ได้แล้ว ดังนั้นจึงมุ่งพลังใช้อยู่วิชาเดียว

จึงไม่แปลกใจนักที่เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้ากระเด็นไปอีกครั้งหนึ่ง

มันพุ่งเข้าหาซูเฉินอีก ทว่าเขาก็ทำให้มันชะงักค้างกลางอากาศ ร่างมันถูกส่งปลิวไปอีก

ภาพประหลาดกำเนิดขึ้นบนท้องฟ้า เจ้าอสูรกายไม่สนใจศัตรูคนอื่น เอาแต่โจมตีคนด่านทะลวงลมปราณที่อ่อนแอที่สุดไม่หยุดยั้ง

แต่ก็เป็นคนด่านทะลวงลมปราณอ่อนแอผู้นี้ที่ใช้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากหยุดร่างหมาป่าฟ้าจนชะงักค้าง เปลี่ยนให้มันกลายเป็นเป้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า คนข้างล่างได้แต่ยืนมึนงงมองภาพ

“ไม่ !” เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้าคำรามโกรธ

เมื่อได้ยินเสียงนั้น อสรพิษสายฟ้าก็เหลือบมองหมาป่าฟ้า จากนั้นก็หยุดปล่อยพลังสายฟ้าแล้วแหงนหน้าเปล่งเสียงคำรามดังลั่นออกมา

ครั้งนี้ต่างกับเสียงคำรามก่อน ๆ มันไม่ดังลั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่าข้างหู ไม่ได้เจือพลังฟ้าลั่น หากแต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจสูงส่งราวกับราชันย์ครองใต้หล้า

พลันมีเสียงร้องนับไม่ถ้วนร้องหวนขึ้นตอบกลับจากรอบกาย

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ต่างร้องขึ้น “แย่แล้ว !”

อสูรกาและอสูรร้ายนบไม่ถ้วนเริ่มหลั่งไหลออกจากภูเขา ป่า และแม่น้ำทั้งหลาย พุ่งเข้ามายังสนามต่อสู้

อสูรกายเหล่านี้ไม่ได้มาจากเขตแดนที่อสูรทั้งสองครอง ทว่าถูก ‘ทำให้เชื่อฟัง’ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ หากแต่ตอนนี้พวกมันถูกเรียกมาโดยเสียงเพรียกอสูรกาย เข้าสู่สภาวะคลั่งแล้วพุ่งเข้าต่อสู้ทันที

มันเป็นความสามารถของอสูรขั้นราชันอสูรกายเป็นอย่างน้อย เรียกว่าขบวนอสูร