หลังจากที่ได้รับแจ้งว่ามีคนจากตำหนักดงบีขอเข้าพบตน บีพาอันก็ต้องปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งทันที ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ตนต้องเผชิญหน้ากับกโยซึลเนื่องด้วยพิธีการต่างๆ ในราชสำนัก เขามักจะพยายามเว้นระยะห่างกับนางเสมอ เหตุเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วมันไม่ยอมดับลงง่ายๆ อย่างที่บีพาอันหวัง ทว่าตอนนี้นางกลับมาพบเขาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ บีพาอันแอบคิดว่าหรือนางจะรับรู้ถึงความในใจของตนแล้ว และในตอนนี้นางกำลังปั่นหัวเขาเล่นอยู่
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี ถวายบังคมฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ…คือว่าพระชายาของหม่อมฉันยังไม่เสด็จกลับมาที่ตำหนักเลยเพคะ!”
ไม่ใช่ กโยซึลไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของบีพาอันเลยแม้แต่นิด คนจากตำหนักดงบีที่มาหาตนนั้นคือแม่นม ท่าทางของนางตั้งแต่เอ่ยทำความเคารพนั้นดูร้อนรน เห็นได้ชัดเลยว่านางเก็บความกังวลไว้คนเดียวประมาณหนึ่งแล้วถึงค่อยตัดสินมาที่ตำหนักดงชอนแห่งนี้ ดวงตาที่ฉายความกังวลอย่างชัดเจน กับฝ่ามือที่ต้องคอยเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาบอกอย่างนั้น
“หมายความว่าอย่างไรที่ว่ายังไม่กลับมา”
“ทรงบอกว่าจะออกไปเดินเล่นเมื่อตอนเที่ยง ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสด็จกลับมาเลยเพคะ หม่อมฉันกลัวว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับพระองค์เข้า จึงบังอาจมาทูลขอให้ฝ่าพระบาทฮวางแทจาช่วยเพคะ”
แม่นมทรุดลงหมอบราบกับพื้น ไม่ว่าจะแม่นมหรือกโยซึลต่างก็เกรงกลัวบีพาอันกันทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็ยังกล้าที่จะมาพบเขา พร้อมกับเอ่ยจุดประสงค์ของตน ช่างเหมือนกันยิ่งนัก
“นี่มันก็ดึกมากแล้ว” บีพาอันมองออกไปด้านนอก ความรู้สึกเป็นกังวลและไม่สบายใจปะทุขึ้นมาเช่นเดียวกับแม่นม
“ไปเรียกทหารองครักษ์มาเดี๋ยวนี้!”
บีพาอันเอ่ยสั่งขันที หลังจากนั้นจึงลุกจากที่นั่ง
นางซุกซนถึงเพียงนั้น คงไม่ได้ไปเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่ไหนหรอกนะ
บีพาอันนึกถึงชันบีเมื่อ 11 ปีก่อน ที่เที่ยววิ่งเล่นไปทั่วเนินเขาดั่งกระต่ายน้อย อีกทั้งยังปีนขึ้นๆ ลงๆ ต้นไม้อย่างคล่องแคล่วเสียยิ่งกว่ากระรอก
ที่แรกที่บีพาอันมุ่งหน้าไปคือห้องหนังสือของวังตะวันออก ทว่าขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านหน้ากลับแจ้งว่าไม่พบเห็นกโยซึลมาที่นี่ เขายังคงไม่แสดงท่าทีอะไร มุ่งหน้าไปค้นหาที่ห้องหนังสือของวังฝ่ายนอก และสวนของที่นั่น ทว่าก็ไม่พบแม้แต่เงาของกโยซึล บีพาอันตามหาในทุกๆ ที่ที่คิดว่ากโยซึลจะไปแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้น เขากลับมาด้วยใจที่กระวนกระวาย และลงมาบัญชาการทหารองครักษ์ที่ค้นหาอยู่ด้วยตนเอง
หรือว่า…
ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง บีพาอันจึงเรียกแม่นมมาหาตนเงียบๆ
“จงไปดูที่วังใต้”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ”
แม่นมตื่นตระหนกตกใจ เห็นท่าทีของนางเช่นนี้แล้ว เห็นทีว่านางคงจะไม่ได้ไม่รู้อะไรเลย บีพาอันทำทีเป็นนิ่งเฉย แล้วออกคำสั่ง
“จงไปที่วังใต้ แล้วดูว่าฮวางเซจาอยู่ที่ใด”
สีหน้าของแม่นมเคร่งเครียด ริมฝีปากแห้งผากที่สั่นระริกของนางอ้าพะงาบไปมา
“ฝ่า ฝ่าพระบาท…”
“เร็วเข้า” บีพาอันไม่แสดงท่าทีอะไร เขาเอ่ยเร่งแม่นม หลังจากนั้นก็หันหลังให้นาง เขารับรู้ได้ถึงสายตาของแม่นมที่จ้องมองมา
ทรงรู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือเพคะ
ทรงทราบได้อย่างไรเพคะ
ทว่าเหตุใดถึง…
บีพาอันสัมผัสได้ว่านางกำลังพูดสิ่งเหล่านั้น แต่เขาก็เมินเฉยต่อมัน เขาไม่อยากจะตอบอะไร แม้แต่สิ่งที่ตนรับรู้อยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้อยากที่จะรับรู้มันเลย
ไร้ข่าวสารจากตำหนักดงบี และภายในราชสำนักเองก็ไม่พบว่ากโยซึลเข้าออกที่ใดเลย แม่นมที่ส่งให้ไปที่ตำหนังนัมชอนกลับมาในไม่ช้า สีหน้าของนางซีดเผือด นางลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ไม่สามารถเปิดปากพูดสิ่งใดออกมาได้
“ทางพระราชวังใต้แจ้งว่าไม่รู้ว่าฝ่าบาทฮวางเซจาประทับอยู่ที่ใดเพคะ”
ในคืนที่กโยซึลหายไป รูแฮเองก็ไม่อยู่ที่ตำหนัก คิ้วข้างหนึ่งของบีพาอันกระตุกขึ้น เป็นอย่างที่เขาคิด แต่ไม่ว่าเมื่อใดที่รับรู้ก็เจ็บปวดยิ่งนัก
“ตั้งแต่เมื่อใด”
“ราวๆ ตอนเที่ยงวันเพคะ…”
“แล้วชายาออกจากตำหนักไปเมื่อใด”
“…ราวๆ ตอนเที่ยงวันเพคะ…”
บีพาอันยืนนิ่งอยู่กับที่เงียบๆ แล้วเหม่อมองออกไปไกล
พระราชวังที่ส่องสว่างไปด้วยเปลวไฟสีแดง ข้ารับใช้กับทหารราชองครักษ์ที่เคลื่อนไหวอย่างไร้เสียงฝีเท้า อีกทั้งเหล่าสายตาที่จ้องมองอยู่หลังความมืด เขากลัวว่าสายตาเหล่านั้นจะทำให้กโยซึลต้องเจ็บปวด เขาต้องการที่จะปกป้องนางจากสายตาเหล่านั้น ทว่านางไม่ให้ความร่วมมือเลย
เหนื่อยล้านัก
อากาศยังคงเย็น สายตาของบีพาอันที่ยืนเหม่อลอยอยู่ในความมืด ที่ซึ่งจ้องมองไปยังเปลวเพลิงจากโคมไฟอยู่นั้นดูเศร้าสร้อยนัก สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้น และยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่มาปรากฏตัวในช่วงเวลานี้ที่เสนอตัวจะเข้ามาช่วยอย่างดึกวอลและโอรัน
“ทรงลองไปหาที่เขามกอักดูดีหรือไม่” อยู่ๆ ดึกวอลก็ออกความเห็น
“เท่าที่เคยได้ยินมา พระชายาฮวางแทจาเองถือได้ว่าเป็นองค์หญิงที่ซุกซนแห่งราชวงศ์เลยทีเดียว นางอาจจะค้นพบประตูลับโดยบังเอิญแล้วใจกล้าออกไปผจญภัย จากนั้นก็หลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่กระหม่อมบังเอิญคิดขึ้นมาได้ เพียงแค่คิดขึ้นมาได้เท่านั้น”
การสันนิษฐานนั้นละเอียดเกินไป เกินกว่าจะเรียกว่าเป็นเพียงสิ่งที่บังเอิญคิดขึ้นมาได้ บีพาอันสบตากับดึกวอล สายตาแข็งทื่อและเย็นชาของบีพาอันจ้องเข้าไปที่แววตาดำมืดที่ฉายแววออกมาจากดวงตาทรงพระจันทร์เสี้ยวคู่นั้น เขารู้ได้ในทันทีว่าความวุ่นวายทั้งหมดนี้เกิดจากเล่ห์กลของวังตะวันตก บีพาอันไม่รู้ว่า
กโยซึลกับรูแฮเข้าไปข้องเกี่ยวกับกลอุบายของวังตะวันตกได้อย่างไร กโยซึลนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่รูแฮน่ะหรือ คงจะมัวเมาอยู่ในห้วงแห่งความรักจนตาบอดเลยไม่สามารถประเมินสิ่งใดได้กระมัง ตอนนี้บีพาอันต้องตกอยู่ในชะตากรรมที่ต้องคอยตามเช็ดล้างเรื่องของคู่รักที่ตามืดบอดเสียแล้ว แม้จะสมเพชตัวเอง แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องราว ตามน้ำดึกวอลไป
ดึกวอลเดินนำทางโดยผ่านกำแพงฝ่ายในที่อยู่เลยวังฝ่ายนอกไป แล้วเดินตามแนวกำแพงฝ่ายนอกที่กั้นโลกภายนอกกับพระราชวังเอาไว้ พวกเขาค้นหาประตูลับบริเวณกำแพงนอกจนพบเข้ากับร่องลอยการซุกซ่อนประตูลับที่ถูกแหวกทิ้งไว้ จึงเดินผ่านมันมาจนถึงเขามกอักแล้วค้นหากันต่อ
“ตรงนี้มีร่องรอยคนเดินผ่านพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารราชองครักษ์ที่สืบค้นอยู่รายงาน เมื่อเจอร่องรอยแล้วการตามหาก็ไม่ยากนัก ไม่นานก็เจอเข้ากับเพิงกระท่อมที่ใกล้จะพังหลังหนึ่ง บีพาอันยกกำปั้นชูขึ้นเหนือศีรษะ เหล่าทหารที่ค้นหาอยู่ต่างพากันหยุดชะงัก เสียงฝีเท้าที่ขยับไปมาอย่างเร่งรีบที่ดังไปทั่วทั้งภูเขาเงียบลง บีพาอันจ้องมองเพิงกระท่อมอยู่ครู่หนึ่ง แม้บานพับของประตูจะพังลงแล้ว ทว่าประตูนั้นกลับถูกวางเข้ากับกรอบประตูอย่างพอดิบพอดี อีกทั้งยังไม่เห็นแม้แต่แสงไฟจากด้านในด้วย
“เอ่อ…”
ขณะที่ดึกวอลกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง บีพาอันก็ยกมือขวางไว้ ท่าทีนั้นของเขาทำให้แม้กระทั่งดึกวอลเองก็ยังต้องยอมปิดปากลง หัวใจของบีพาอันเต้นรัว ทั้งสองคนจะอยู่ในนั้นหรือไม่ ใจที่อยากจะให้ทั้งคู่อยู่ในนั้นเพราะความเป็นห่วง กับอีกใจที่ไม่อยากให้คนเหล่านี้พบเจอทั้งคู่อยู่ด้วยกันต่างขัดแย้งกันไปมา กโยซึลนั้นทำให้เขาลำบากใจเช่นนี้อยู่เสมอ