ตอนที่ 107-2 ความดึงดันของเนินเขา

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

แม้บีพาอันจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตรวจสอบให้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาเดินเข้าไปใกล้เพิงกระท่อมอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้า ลองแง้มประตูที่ถูกปิดไว้ ประตูบานนั้นถูกปิดเอาไว้แน่น ไม่ขยับเลยแม้แต่นิด บีพาอันที่มองสำรวจมันอยู่ ในที่สุดก็ยกเท้าถีบมันออก 

 

 

ปัง! 

 

 

ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงดังลั่น ในกระท่อมที่มืดมิดมีเพียงแสงสลัวๆ ที่ส่องเข้าไป แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ข้างในนั้นมีกโยซึลกับรูแฮกำลังนั่งอยู่ข้างกัน  

 

 

เฮือก หัวใจเจ็บแปล๊บราวกับถูกคมหนามทิ่มแทง บีพาอันใช้สายตาอันเยือกเย็นมองปราดลงไปที่พวกเขาทั้งสองคน กโยซึลใส่เสื้อคลุมตัวนอกของรูแฮอยู่ และมือของรูแฮก็กำลังโอบไหล่ของนางไว้ รูแฮโอบกโยซึลไว้จนแทบจะชิดแผ่นอกของเขา กโยซึลและรูแฮตกใจที่เจอบีพาอัน จนไม่ทันได้คิดว่าพวกเขาควรต้องแยกห่างจากกันก่อน 

 

 

“ชายา” บีพาอันเอ่ยเรียกกโยซึล 

 

 

วินาทีนั้นรูแฮจึงตั้งสติได้ เขารีบลดมือทีโอบไหล่ของกโยซึลไว้ แล้วรีบลุกขึ้นจากที่นั่งทันที 

 

 

“รูแฮ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” 

 

 

จากนั้นไม่รู้ว่าดึกวอลเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลังตั้งแต่เมื่อไร เขาเอ่ยเสียงดังเอะอะ แม้จะดูเหมือนตกใจแต่ในน้ำเสียงนั้นเจือเสียงหัวเราะเยาะอยู่ เสียงของเขาดังแทรกผ่ากลางบรรยากาศตึงเครียดราวกับถูกแช่แข็งภายในกระท่อม 

 

 

“พวกเราตามหาพระชายาฮวางแทจากันจนแทบพลิกวัง แถมไม่พอยังตามมาถึงเขามกอัก ทว่าพระองค์กลับอยู่กับรูแฮอย่างนั้นหรือ นึกว่าจะทรงหลงทางเสียอีก กลับมาอยู่กับรูแฮเสียได้ หรือว่าพวกท่านไม่ได้หลงแต่ตั้งใจมาที่ภูเขาแห่งนี้ด้วยกันตั้งแต่แรก”  

 

 

ดึกวอลกำลังอธิบายสถานการณ์ที่ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อันใด สุ้มเสียงตกใจนั้นเจือเสียงหัวเราะอยู่นิดๆ ทว่าบีพาอันก็เอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบเพียงประโยคเดียว ซึ่งมันสามารถหยุดความวุ่นวายทั้งหมดลงได้ 

 

 

“สมกับที่เป็นฮวางเซจา เจ้าหาชายาเจอก่อนเราสินะ”  

 

 

รูแฮคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะลงพลางตอบกลับ แม้จะไม่ได้มีการบอกกันล่วงหน้า หรือส่งสายตาเป็นสัญญาณอันใดก่อน แต่ในสถานการณ์นี้มีเพียงคำพูดเดียวที่เขาควรจะใช้ตอบกลับไป 

 

 

“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทฮวางแทจา” 

 

 

“ทำดีมาก เราจะตบรางวัลให้อย่างงาม” 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”   

 

 

บีพาอันขอบคุณรูแฮ ส่วนรูแฮเองก็ตอบรับอย่างมึนงง 

 

 

“เจ้าเจอชายาบนเขานี้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“นางคงจะข้อเท้าแพลงสินะ” 

 

 

รูแฮนั้นเฉลียวฉลาดและหัวไว เพียงแค่คำบอกใบ้ไม่กี่คำของบีพาอันเขาก็เข้าใจทั้งหมดได้ จากนั้นรูแฮก็ตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ 

 

 

“จากนี้เดี๋ยวเราจะดูแลชายาเอง” 

 

 

แม้ทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดง ทว่าภาพที่กโยซึลกับรูแฮโอบกอดกันอย่างอ่อนโยนนั้นไม่อาจลบเลือนไปได้เลย มันเป็นบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ 

 

 

เช่นนั้นนางเองก็ควรจะยอมให้กับการเอาแต่ใจนี้บ้าง 

 

 

บีพาอันที่เดินเข้าไปหากโยซึลยกตัวนางขึ้น แม้นี่จะเป็นสิ่งที่เขาวาดฝันมาตลอด ทว่าหัวใจกลับเอาแต่เจ็บจี๊ดขึ้นมา หญิงสาวในอ้อมกอดนั้นทั้งยังเด็กและตัวเล็กนัก นางนั้นคงจะไม่มีวันรู้ว่าเขาโอบอุ้มนางด้วยความรู้สึกเช่นไร และเขาเองก็ไม่อยากบอกให้นางรับรู้ด้วย เพราะฉะนั้นเขาจะขอเอาแต่ใจอีกเพียงแค่ครั้งเดียว อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น 

 

 

บีพาอันอุ้มกโยซึลมุ่งหน้าไปที่ตำหนักดงชอน ฝีเท้าที่โอบอุ้มพานางเดินไปที่ตำหนักของเขานั้นทั้งเบาและนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ บีพาอันรู้สึกว่าเขาสามารถเดินอย่างนี้ไปได้ตลอดชีวิต 

 

 

***  

 

 

บีพาอันนั่งเหยียดหลังตรงอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เขาพยายามจะจดจ่ออยู่กับฎีกา ทว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านในนั้นดึงความสนใจไปจนหมด หลังจากเหตุการณ์ที่เขามกอัก บีพาอันก็พากโยซึลมาที่ตำหนักดงชอน และยังไม่พานางกลับไปส่งที่ตำหนักดงบีเลย และเหตุผลที่ใช้เป็นข้ออ้างก็คือเขาต้องดูแลพระชายาฮวางแทจาอย่างใกล้ชิด ม่านที่ใช้กั้นระหว่างภายในห้องที่มีเตียงตั้งอยู่กับภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่ใช้แบ่งพื้นที่ของบีพาอันกับกโยซึล ทุกครั้งที่บีพาอันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านใน ริมฝีปากก็มักจะกระตุกอยู่บ่อยๆ และหากได้ยินเสียงลูบคลำผืนผ้าม่านเมื่อใด มือที่จับพู่กันอยู่ก็มักจะขยับช้าลงทุกที บีพาอันที่ไม่อาจอดทนกับอาการเหล่านี้ได้ จึงเปล่งเสียงถามออกไป 

 

 

“มีอะไรจะพูดอย่างนั้นหรือ”  

 

 

อีกแล้ว เขาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเช่นนี้อีกแล้ว และแน่นอนว่ากโยซึลตกใจถอยหลังกลับไปในทันทีราวกับกระต่ายน้อย 

 

 

“เหตุใดถึง…เหตุใดหม่อมฉันถึงได้มาอยู่ที่พระตำหนักดงชอน…เหตุใดถึงไม่ปล่อยให้หม่อมฉันกลับไปล่ะเพคะ แถมฝ่าพระบาทเองก็…เอาแต่อยู่ในพระตำหนัก” 

 

 

“เราบอกกับคนข้างนอกไปว่าเราต้องคอยดูแลชายา เพราะชายาเกิดข้อเท้าแพลงหลังจากที่ไปบนเขาครั้งนั้น” 

 

 

“อ้อ…”  

 

 

พอพูดถึงเรื่องบนเขาขึ้นมา กโยซึลก็หมดคำจะพูด แม้บีพาอันจะไม่ได้ตั้งใจเอ่ยถึงมันเพื่อตำหนินาง ทว่าดูเหมือนกโยซึลจะซึมลงเสียแล้ว ที่จริงแล้วเขาเองก็อยากจะพูดคุยกับนางอย่างอ่อนโยนเช่นกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาก็มักจะทำให้นางเสียขวัญอยู่ตลอด บีพาอันก็อึดอัดกับตัวเองเช่นกัน 

 

 

“ดูแล…ดูแลหม่อมฉันอย่างนั้นหรือเพคะ” 

 

 

“เป็นเช่นนั้น” 

 

 

“ทำไมล่ะเพคะ”  

 

 

บีพาอันไม่สามารถตอบสิ่งใดออกไปได้ หัวใจของเขาเต้นรัว จนกลัวว่านางจะได้ยินเข้า 

 

 

ควรจะตอบไปว่าอย่างไรดี หากตอบออกไปตามตรง นางจะยอมรับฟังหรือไม่ 

 

 

ทว่าขณะนั้นเองบีพาอันก็นึกถึงภาพที่กโยซึลกับรูแฮโอบกอดกันอย่างรักใคร่อยู่ในเพิงกระท่อมหลังนั้น เขาสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว แล้วเดินเข้าไปใกล้กโยซึล นางดูเหมือนจะประหม่าจึงขยำที่ชายผ้าแน่น และท่าทีเช่นนั้นก็กรีดลงที่ใจของบีพาอันอีกครั้ง เขาก้มหน้าลงสบตากับนาง หัวใจพลันสั่นไหวเมื่อได้สบเข้ากับดวงตาหวานของกโยซึลใกล้ๆ บีพาอันเอียงหัวเล็กน้อย กโยซึลสูดหายใจเข้าลึก หลังจากนั้นก็เอนหัวไปข้างหลัง ไม่สิ นางพยายามจะละหน้าออกห่าง เมื่อเห็นว่านางกำลังจะหลีกหนี บีพาอันก็ยื่นมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

อย่าไปเลย โปรดอย่าเกรงกลัวข้าเลย 

 

 

เขาได้แต่เอ่ยคำที่ไม่อาจพูดออกไปได้นั้นย้ำอยู่ในใจ บีพาอันยื่นมือออกไปประคองที่หลังคอของกโยซึล ปลายนิ้วสัมผัสเข้าที่ลูกผม ริมฝีปากของเขาคันยุบยิบขึ้นอีกแล้ว หากเขาดึงมือเข้ามาล่ะก็…ภายในหัวของบีพาอันว้าวุ่นไปหมด บีพาอันพยายามเกร็งมือของตนเอาไว้กับที่ เพื่อห้ามไม่ให้ดึงกโยซึลเข้ามาในอ้อมกอดของตน 

 

 

“เป็นการลงโทษ”  

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ” กโยซึลเบิกตาโพลง พร้อมกับห่อปากเข้าหากัน 

 

 

อันตราย บีพาอันรีบละสายตาจากนาง พร้อมกับหันหลังให้ มือที่ละออกมาอย่างรวดเร็วนั้นสั่นระริก ใบหน้าร้อนผ่าว ชั่วขณะที่เห็นริมฝีปากที่อ้าออกของกโยซึล เขาเผลอจินตนาการว่าอยากจะสัมผัสมันในหัว ความจริงที่ว่าเขาจินตนาการอะไรแบบนั้น ทำให้บีพาอันสับสนและงงงวย นี่เป็นครั้งแรก  

 

 

“ลงโทษที่มาทำให้เราสับสน” 

 

 

บีพาอันพูดด้วยเสียงที่แข็งกระด้างมากกว่าเดิมเพื่อปกปิดความว้าวุ่นของตัวเอง หลังจากนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับกโยซึลได้อีก การใช้เวลาอยู่กับนางเป็นเหมือนตัวกระตุ้นสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง นางมักจะนอนหลับอย่างสบายใจ ไร้การป้องกันตัวอยู่ข้างๆ เขา เพียงแค่ได้นอนอยู่บนเตียงเดียวกันเขาก็ปลื้มปริ่มเสียจนหายใจไม่ออกแล้ว ช่วงเวลาที่ได้นอนมองใบหน้าของกโยซึลที่นอนหลับใหล ซึ่งถูกแสงจันทร์สาดส่องอยู่นั้น นับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของบีพาอันแล้ว