ภาคที่ 4 บทที่ 82 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (6)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 82 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (6)

ในวันนั้น ประชากรเมืองกลืนธาราได้เห็นการกระทำที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่เคยพบ เรือเคลื่อนเมฆาลำหนึ่งลอยผ่านฟ้าไป พร้อมกับมีอสูรกลุ่มใหญ่ไล่ตาม

พวกมันทั้งคำรามทั้งคำรามฟองฟูมปากพลางไล่ตามเรือเหาะไปอย่างบ้าคลั่งไร้สติ

พวกมันรวมเป็นฝูง พุ่งเข้าใส่เรือเหาะราวกับเห็นอาหารอันโอชะ ไม่สนเป้าหมายอื่น ๆ

เบื้องหลังขบวนสัตว์อสูรนั่นคือผู้เชี่ยวชาญพลังจำนวนมากที่ไล่ตามมาและฆ่าสังหารมันอย่างดุดัน

เสียงการต่อสู้และเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น ตามมาด้วยเสียงย่ำของขบวนอสูรที่วิ่งไล่ล่าอยู่บนพื้น

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากลากพวกมันไปถึงนอกเมืองกลืนธาราโดยเร็ว เขาจะบินสูงไปหรือเร็วไปไม่ได้

หากสูงไป พวกมันก็เอื้อมไม่ถึง อาจยอมแพ้และกลับเข้าเมืองไป หากเร็วไป พวกมันก็ไม่ได้กลิ่นยาล่อสัตว์อสูร และเมื่อหลุดวงยาให้ผล พวกมันก็จะไม่ไล่ตามมาอีก

ดังนั้นเขาจึงต้องคุมทั้งความเร็วและความสูงให้ดี พวกมันจะได้เห็นเขาแต่ตามจับไม่ทัน

เขาขยับเคลื่อนไปมา ฝูงสัตว์อสูรก็ไล่ตามไปราวกับใบไม้ถูกลมแรง

พวกมันไม่ได้โง่ โดยเฉพาะอสูรกาย สติปัญญามันเฉียบแหลมไม่น้อย ไม่แพ้ของมนุษย์ทีเดียว

มันไม่ได้ไล่ตามเพียงเรือเหาะ มันยังทำอย่างอื่นได้ด้วย

ตู้ม !

แสงริ้วหนึ่งพุ่งเข้าปะทะลำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก

แม้มันจะไม่ได้มาจากราชันอสูรกายอสรพิษสายฟ้า แต่ก็ยังเกิดประกายไฟอยู่เหนือเกราะป้องกันของลำเรือเหาะ

เกราะของเรือเหาะยังไม่ถูกทำลาย แต่ก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย ทำให้เรือชนกับต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วค่อยดำเนินต่อ

ต่อมาก็มีกลุ่มหมอกดำพุ่งขึ้นมา

หมอกดำนี้ลอยต่ำมาก ประมาณสิบจั้งได้ หากแต่กลับหอบเอากลิ่นอายทำลายล้างน่าผวา มันลอยไปเหนือเรือเหาะแล้วปล่อยของเหลวสีเหลืองใส่ เมื่อมันหยดถูกเกราะก็เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะ ๆ ซูเฉินถูกบีบให้ต้องผลาญหินพลังต้นกำเนิดจำนวนมากเพื่อคงเกราะเรือเหาะไว้

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากนั้นเดินเครื่องด้วยพลังจากหินพลังต้นกำเนิด ตามทฤษฎีแล้ว หากมีหินมากพอย่อมไม่ถูกทำลาย

หากแต่นั่นก็เป็นแค่ทฤษฎี การโจมตีที่ทรงพลังมาก ๆ ก็สามารถเอาชนะอัตราการดูดซับพลังและฟื้นฟูตนเองของลำเรือได้ ทั้งยังมีหลายการโจมตีที่ทะลวงผ่านเกราะได้อีก ที่สำคัญที่สุด ซูเฉินเองก็ไม่ได้มีหินพลังต้นกำเนิดให้ใช้ไม่จำกัด

ใช่ว่าเขามีเงินมาก แต่ตอนนี้เขาเหลือแค่ 1.2 พันล้านก้อนเท่านั้น

ทว่าเขาก็ไม่อาจเก็บพวกมันทั้งหมดไว้กับตัวได้

หินพลังต้นกำเนิดส่วนมากถูกเก็บไว้ในคลังเก็บไม่ก็ในแดนฝัน หากมีเวลาพอเขาก็นำออกมาได้ และจะสู้กับพวกอสูรเหล่านี้นานเท่าไหร่ก็ได้

แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้น ตอนนี้เขาจึงผลาญหินพลังต้นกำเนิดที่มีในมือไปอย่างรวดเร็ว

“ดูท่าต่อไปคงต้องพกยาไว้มากกว่านี้ แล้วยังต้องมีหินพลังต้นกำเนิดให้มาก” ซูเฉินหัวเราะขื่น

เขาเหลือบมองด้านหลัง ฝูงสัตว์อสูรใกล้เข้ามาแล้ว

เมฆดำบนฟ้าสลายไปแล้วหลังจากใช้พลังไปจนหมด หากแต่มีลูกเพลิงยักษ์อีกลูกลอยมากระแทกเรือเหาะ

ลูกเพลิงนั้นมีขนาดใหญ่ราวกับบ้านหลังหนึ่ง ออกมาจากปากแรดไฟเกราะเหล็ก มันมาขยายใหญ่ตอนออกจากปากเจ้าแรดมาแล้ว สุดท้ายมันก็พุ่งเข้ามาราวกับฝนดาวตก ซัดเข้ายังเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก เรือเหาะโคลงรุนแรงและสั่นสะท้านซูเฉินด้านในก็หมุนคว้างโคลงเคลงไม่น้อย

พลังเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากถูกกลืนหายไปโดยเร็ว แต่พริบตาเดียวอสูรกายอีกสองตัวก็ใกล้เข้ามา

ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !

ริ้วสายฟ้าสีขาวเจ็ดแปดริ้วซัดเข้าเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากจนมันสั่นสะเทือนอย่างแรง ที่แย่กว่านั้นคือแรงโจมตีทะลุเกราะ ส่งผลให้เรือเหาะได้รับความเสียหาย

“บัดซบ !” ซูเฉินรีบคุมเรือเหาะให้อยู่ไม่สะเทือนอีกครั้ง และเพราะเขาใช้พลังจิตในการคุมมัน การโจมตีจิตหลายระลอกก็จึงโจมตีเข้ามาเรื่อย ๆ หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มมีพลังจิตเข้มแข็งมาก เขาก็คงหมดสติไปแล้ว

“ซูเฉิน ! รีบเหินขึ้นมาเร็ว !” เสียงเป็นกังวลของกู่ชิงลั่วดังขึ้น

ตอนนี้นางกำลังเหินร่างตามเขามาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

และเพราะมียาล่อสัตว์อสูร อสูรกายทั้งหลายจึงไม่ใส่ใจนาง ยังคงไล่ตามซูเฉินต่อไป

ซูเฉินเหลือบมองนางแล้วส่งยิ้มบางให้

เขารู้ว่ากู่ชิงลั่วต้องมาช่วยเขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็คงรั้งไว้ตลอดไม่ได้ แต่เขาก็ทิ้งทั้งเมืองและชาวบ้านทั้งหมดให้ตายไม่ได้เหมือนกัน

เขายังไม่ลืมสัญญาที่ตนเลยทำไว้

การปกป้องนับเป็นจุดมุ่งหมายของคำสัญญานั้น เป็นฐานมั่นของคำสาบาน

เมื่อถึงยามที่ถูกทดสอบ เขาจะละทิ้งคำมั่นได้อย่างไรกัน ?

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยิ้มน้อย ๆ แล้วขับเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากมุ่งหน้าต่อไป

อสูรกายและอสูรร้ายนับไม่ถ้วนไล่ตามเขามา ซัดการโจมตีมาไม่หยุด แต่ซูเฉินไม่คิดกลัว

เขาเห็นแล้วว่าเป็นเพราะเขา ผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งหลายจึงสังหารฝูงสัตว์อสูรได้ พวกมันลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจำนวนคนที่บาดเจ็บเองก็ลดน้อยลง

พวกชาวบ้านธรรมดาก็ปลอดภัย

ทั้งหมดเป็นเพราะเขา

เท่านั้นก็พอ

นับว่าคุ้มค่าแล้ว

ซูเฉินยิ่งยิ้มกว้างขึ้น

ปัง ปัง ปัง ปัง !

คลื่นพลังรุนแรงซัดเข้าลำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก ยิ่งทำให้ลำเรือสั่นสะท้านอย่างแรง

ปัง !

เกราะแตกออกแล้ว

เมื่อหินพลังต้นกำเนิดถูกใช้ไป เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากก็ไร้แหล่งพลังงานอีก

ไม่เพียงเท่านั้น แต่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากยังเริ่มลดระดับลงจากท้องฟ้าด้วย

ที่พื้นมีอสูรมากมายแยกเขี้ยวอ้าปากรอมันอยู่

และเมื่อเรือเหาะกำลังจะกระแทกพวกมัน ซูเฉินก็พุ่งออกจากเรือเหาะ

คนกับเรือเหาะแยกจากกัน

“กรรร !” อสูรกายขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกระโจนใส่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก

ยาล่อสัตว์อสูรนั้นเทราดเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากไว้ เป็นแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้

หากแต่ก็ยังมีอสูรร้ายบางตัวที่กระโจนใส่ซูเฉิน ตัวเขาอยู่ในเรือเหาะ จึงมีกลิ่นยาล่อสัตว์อสูรติดร่างมาด้วยเช่นกัน

แม้กลิ่นจะไม่แรงเท่าบนลำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก ทว่าก็มากพอจะดึงอสูรกายและอสูรร้ายจำนวนหนึ่งไปได้

“ซูเฉิน !” กู่ชิงลั่วร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังเมื่อเห็นเช่นนั้น

เผชิญหน้ากับอสูรมากมายเช่นนี้ กระทั่งด่านสู่พิสดารยังหนีไม่รอด นับประสาอะไรกับความแกร่งของซูเฉิน

คนอื่น ๆ ก็เป็นห่วงซูเฉินเช่นกัน

ทุกคนรู้ดีว่าหากไม่ได้ซูเฉิน พวกเขาก็คงบาดเจ็บหนักไปแล้ว

ในตอนนี้ ทุกคนได้แต่หวังว่าซูเฉินจะสามารถรอดกลับมาได้

ซูเฉินมองเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากตาละห้อย เขารู้ว่าคงจะรักษามันไว้ไม่ได้แล้ว

จากนั้นเขาจึงยื่นแขนออกมาแล้วออกคำสั่ง “ดาบจงมา !”

ดาบหั่นภูผาเปล่งแสงจ้า พุ่งเข้าหาซูเฉินเหมือนลูกศร ระหว่างทางก็กรีดผ่านร่างอสูรร้ายมาไม่ถ้วน

มันร่อนมาอยู่ข้างกายซูเฉินที่คว้ามันไว้ ร่างเขาพลันแผ่กลิ่นอายรุนแรงออกมา

ภาพมายาคล้ายมนุษย์ขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ราวกับเป็นยักษ์ที่คว้าถึงสวรรค์ รับน้ำหนักชั้นฟ้าไว้ไม่ให้กระทบดิน

เป็นตอนนั้นเองที่ร่างภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขยายใหญ่ขึ้นกว่าสามสิบจั้ง ดาบหั่นภูผาเองก็ขยายขนาดตามไปด้วย

“อยากกินข้าหรือ ? ได้ ! แต่ข้าน่ะตัวใหญ่เกินกว่าเจ้าจะกลืนไหว !” ซูเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

ดาบพลันซัดกรีดอากาศ !

ซูเฉินแผ่กลิ่นอายกระหายต่อสู้หนาแน่น แสงดาบสะท้านตาวาดผ่านฟ้า โลหิตอสูรหลั่งไหลดั่งสายน้ำร่วงลงสู่ดิน ตามมาด้วยเสียงร้องเจ็บปวดของพวกมันที่ดังให้ได้ยินไปไกล