บทที่ 83 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (7)
จังหวะที่ท่าดาบพุ่งเข้ามา ทุกคนก็พลันเห็นแสงสว่างวาบบนฟ้าเล็กน้อย
ราวกับเส้นโค้งสายฟ้า ส่องแสงจ้าตัดกับท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี
จากนั้นคลื่นสีแดงก็เริ่มซึมราวกับหมึกออกไปทั่วท้องฟ้า
ผู้ชมใกล้เคียงเห็นร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรและเริ่มลงมือทำลายล้าง ตวัดดาบยักษ์ไปมา คลื่นพลังกลั่นแน่นคมกริบตวัดซัดฝูงสัตว์อสูร เรียกเสียงคำรามโกรธจากพวกมันได้เป็นอย่างดี
อย่างไรคนด่านสู่พิสดารและขั้นสูงกว่าต่างก็เหินร่างขึ้นไปสู้กับราชันอสูรกายและเจ้าอสูรกายกันหมด ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด่านสูงที่สุดในเมืองย่อมเป็นคนด่านทะลวงลมปราณ
กระนั้นพวกเขาก็ได้เห็นคนที่แกร่งราวกับด่านสู่พิสดารปลดปล่อยท่าสังหารโชกเลือดใส่ฝูงสัตว์อสูรราวกับจะก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งหมดไป
การต่อสู้ไร้ขอบเขตแปรเปลี่ยนเป็นไอสังหารล้วน ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขนาดมหึมานั้นราวกับสิ่งมีชีวิตวิเศษที่ลงมาจากชั้นฟ้า ตวัดดาบใหญ่กรีดวิญญาณพวกอสูรที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุด
อสูรร้ายราวสิบตัวพร้อมทั้งอสูรกายสองสามตัวพุ่งเข้าใส่ซูเฉินพร้อมกัน
ซูเฉินโบกมือซ้าย คลื่นบุปผาคลื่นแล้วคลื่นเล่าพลันเข้ามาบรรจบเกิดเป็นหงส์เพลิง
หงส์เพลิงทะยานขึ้นฟ้า คลื่นเปลวเพลิงสะบัดเป็นวงออกจากปีก เข้ากลืนกินฝูงสัตว์อสูรทันใด
และเมื่อเปลวเพลิงเข้าลามเลีย อสูรร้ายก็ไหม้เหลือแต่ผุยผง
“เยี่ยม !”
คนที่เป็นห่วงเขาที่ตามมาด้านหลังร้องขึ้นเสียงยินดี
แม้รอบข้างจะมีแต่ศพกอง แต่สัตว์อสูรก็พากันเข้ามาทางเข้าอย่างไม่กลัวตาย
ยาล่อสัตว์อสูรนั้นล่อเอาเป้าหมายสองประเภทเข้ามาเป็นหลัก
อสูรกายที่แกร่งกว่าเก่าเข้าทำลายเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก ส่วนตัวที่อ่อนแอกว่าพุ่งใส่ซูเฉิน
มันอาจจะอ่อนแอกว่า แต่ก็มีจำนวนมากกว่า
ที่ด้านหลังคือผู้เชี่ยวชาญพลังกลุ่มใหญ่ที่กำลังไล่ฆ่าพวกสัตว์อสูร ดังนั้นจึงเหลือพวกมันไม่มากแล้ว อีกไม่นานก็คงถูกสังหารจนหมด
ทว่าซูเฉินเองก็ไม่ต่างกัน
พวกมันที่เหลือต่างพุ่งเข้าใส่เขา เขาไม่มั่นใจว่าตนจะรั้งไว้ถึงตอนนั้นและรอให้คนอื่น ๆ มาถึงได้หรือไม่
ตอนนี้จึงทำได้แค่สู้สุดฝีมือเท่านั้น
“ซูเฉิน อดทนไว้ !” กู่ชิงลั่วตะโกนเสียงดัง
นางโจมตีอย่างบ้าคลั่ง แต่มีอสูรร้ายมากเกินไปจนไม่อาจฝ่าไปหาเขาได้
นางได้แต่ภาวนาอย่างสิ้นหวังเท่านั้น
ภาวนาว่าซูเฉินจะรั้งได้อีกสักนิด ภาวนาว่าอสูรกายที่แกร่งกว่านี้จะไม่ไปหาซูเฉิน
หากแต่ชะตานั้นไร้เมตตา
เต่าหางโซ่ตัวหนึ่งพุ่งเข้าหาซูเฉิน
มันเป็นอสูรกายระดับกลาง นับเป็นตัวที่แกร่งในระดับของมัน เทียบได้กับด่านสู่พิสดารระดับต่ำทีเดียว
เดิมทีมันพุ่งใส่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก แต่ถูกกลิ่นปราณโลหิตของซูเฉินดึงดูดมา มันรู้ว่ากลืนมนุษย์นี่ได้ประโยชน์มากกว่า ดังนั้นจึงเคลื่อนตัวเข้ามาทางซูเฉิน หางมันสะบัดเป็นเส้นโค้งสูง กลิ่นอายโชกเลือดของมันแผ่ออกมาระหว่างที่มันกำลังพุ่งตัว ดาบเองก็เคลื่อนไหวตอบรับ ซัดเป็นคลื่นไร้รูปเข้าใส่หาง ส่งหางคล้ายโซ่ของมันกระเด็นไป มันร้องลั่นอยากหดหัวเข้ากระดองและถอย แต่คมดาบกริบกลับพุ่งเข้ามาอีก ซัดเข้าที่กระดองของมันอย่างแรง จนเกิดเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ก่อนกระดองจะแยกออก ตัวดาบฟันผ่าลงไปถึงเนื้อ อสูรกายทรงพลังเช่นมันถูกผ่าออกเป็นสองซีกทันที
ภาพนั้นทำเอาทุกคนตกตะลึง เจ้านี่แกร่งเท่าคนด่านสู่พิสดารระดับต่ำ แต่กลับถูกดายครั้งเดียวร่างแยกเลยหรือ ?
ซูเฉินหน้าซีดลงเล็กน้อย
ตัวเขาเองยังไม่คิดเลยว่าตนจะสามารถซัดท่าดาบที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้
“นี่น่ะหรือพลังที่ข้าสามารถสำแดงออกมาได้ยามอยู่ในจังหวะเป็นตาย ?” ซูเฉินเหมือนนึกได้
เขาอยากเข้าร่วมการต่อสู้เป็นตายเช่นนี้มาโดยตลอด เพื่อจะได้ลิ้มรสพลังพลุ่งพล่านที่ได้มาเนื่องจากสถานการณ์เช่นนี้
แต่ด้วยการกระทำของเขาจึงไม่เคยมีโอกาส เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนที่จะพาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นอย่างไร้เหตุ
หากแต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้แล้ว
สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเป็นตายที่ยิ่งเค้นเอาความสามารถในตัวเขาออกมา
นับเป็นพลังที่แฝงอยู่ในร่าง เป็นพลังกล้าหาญอันทรงพลังโดยแท้จริง
เขาเข้าใจมันแล้ว
เข้าใจแล้วว่าทำไมทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยถึงนำมาใช้แทนวิชาโบราณอาร์คาน่าและกลายเป็นวิชาหลักของเผ่ามนุษย์ไป
นั่นก็เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะเค้นเอาความสามารถในร่างมนุษย์ออกมาได้ !
เป็นสิ่งที่วิชาโบราณอาร์คาน่าไม่มีทางทำได้
“การต่อสู้กระหายเลือดเช่นนี้…… ดียิ่ง !” ซูเฉินถอนหายใจชม ทั่วร่างเขาเต็มไปด้วยพลัง ราวกับยินดีกับการเกิดใหม่ การเติบโต การพัฒนา และความรู้สึกต่าง ๆ ที่คล้ายกันของเขา
อย่างไรพลังที่พุ่งพรวดขึ้นมาเช่นนี้ก็เป็นผลมาจากความรู้ที่สะสมมาด้วย มันเผยกายออกมาก็ยามที่เขาเสี่ยงชีวิต นับเป็นรากฐานพลังของเผ่ามนุษย์
ซูเฉินเข้าใจแล้ว จากนั้นก็เริ่มหัวเราะยินดี
ดาบหั่นภูผาเริ่มเรืองแสงอีกครั้งหนึ่ง
คลื่นลมรุนแรงพุ่งออกมาทุกทิศ หยาดโลหิตกระจายทั่วด้าน
ซูเฉินเริ่มปลดปล่อยพลังในร่าง ความกระหายเลือดและความเกรี้ยวกราดผลักดันให้เขาใช้วิชาทุกอย่างที่มีในมือ ไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบอีก รู้สึกแต่เพียงเลือดในกายที่ร้อนรุ่ม กดดันมันจนถึงขีดสุดเท่านั้น
เขากำลังสัมผัสกับความรู้สึกการปลดปล่อยพลังอย่างอิสระ ดื่มด่ำกับการโจมตีไม่หยุดยั้ง
ปราณดาบกรีดผ่านอากาศ เฉือนร่างสัตว์อสูรเป็นชิ้น ๆ สัตว์อสูรทรงพลังตัวแล้วตัวเล่าพากันล้มตึง
คนที่ยืนมองอยู่เห็นซูเฉินเดินฝ่าฝูงสัตว์อสูรราวกับเทพแห่งความตายกำลังกรีดเอาชีวิต ดาบหั่นภูผาทั้งฟันทั้งเฉือนไปทั่ว เหลือเพียงรอยกรีดลึกไว้บนพื้น
เนินเขากลายเป็นพื้นที่ราบ พื้นที่ราบกลายเป็นหุบเขา คนคนนี้อยู่ด่านทะลวงลมปราณแน่หรือ ? เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยต้องด่านสู่พิสดารแล้ว
ไม่ ด่านสู่พิสดารอาจไม่มีวิชาใช้โจมตีได้รุนแรงเท่าเขาก็เป็นได้
คลื่นพลังเพลิงรุดหน้า ปราณดาบทะยานดุเดือด ขู่ขวัญจะเผาทุกอย่างให้วอด แม้จะมาแวบเดียวและหายไปก็ตาม ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนี้เหมือนจะใช้ประโยชน์จากความจริงอันลึกซึ้งของจักรวาลได้
พริบตานั้น ซูเฉินนั้นราวกับยักษ์ปักหลั่นที่เฉือนเอาโลหิตเจิ่งนองเป็นสายธาร
ไม่รู้ว่าตนตวัดดาบกี่ครั้ง ใช้วิชาไปกี่ครา รู้เพียงว่าระหว่างสู้ จำนวนฝูงสัตว์อสูรก็เริ่มลดน้อยลง ตัวเขาก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนใกล้จบ พลังต้นกำเนิดเขาหมดร่าง ซูเฉินไม่อาจใช้วิชาใดได้อีก ใช้เพียงกำลังตวัดดาบต่อสู้ไปเท่านั้น กระนั้นฝูงสัตว์อสูรก็ไม่กล้าเข้าใกล้
กระทั่งพวกอสูรไร้สมองพวกนี้ยังรู้จักความกลัว ไม่ว่ายาล่อสัตว์อสูรจะน่าดึงดูดเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความกลัวจากภายในได้
พวกมันเดินวนรอบเขา สุดท้ายก็ถอยไป
เหตุผลหลักเป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งหลายตามมาถึงแล้ว
พวกเขาเข่นฆ่าพวกอสูรมาตามทาง รุดหน้ามาจากด้านหลัง จากนั้นจัดการพวกอสูรกายที่เหลือ
นกอินทรีสามหัว แมงมุมแปดขา และต้นไม้เดินได้ต่างถูกกำจัดด้วยน้ำมือผู้เชี่ยวชาญพลังอย่างโหดเหี้ยม บางตัวยังตายไปทั้งที่ในปากยังมีซากเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอยู่ด้วยซ้ำ
ฝูงสัตว์อสูรถูกผลักดันจนถอยไปแล้ว
ซูเฉินนั้นไม่รู้ตัว ยังคงตวัดดาบไปเรื่อยอย่างกล้าหาญ
เมื่อกู่ชิงลั่วพุ่งเข้ามาถึงตัว ซูเฉินก็เมินนาง ยังคงตวัดดาบต่อ
กู่ชิงลั่วเกือบถูกดาบเขา ร้องลั่นออกมา “ซูเฉิน ข้าเอง !”
“ชิงลั่ว ?” ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนสายตาพร่ามัวจะพลันกระจ่าง เขาหยุดดาบ ก่อนภาพพร่ามัวอันคุ้นตาจะปรากฏสู่สายตา
“ชิงลั่ว เป็นเจ้า…… เช่นนั้นก็แปลว่าเราชนะแล้ว” เขายิ้มน้อย ๆ
“ใช่ เราชนะแล้ว” กู่ชิงลั่วร้องไห้แล้วสวมกอดเขา
ซูเฉินผ่อนคลายได้ในที่สุด จากนั้นก็ล้มคว่ำหน้าไป