ภาคที่ 4 บทที่ 84 ซูเฉินเป็นเด็กดี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 84 ซูเฉินเป็นเด็กดี

ซูเฉินตื่นขึ้นใน 2 วันให้หลัง

เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงไม้สน หลังคาผ้ามัสลินนุ่มคลุมอบู่เหนือเตียง ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ กลิ่นเช่นนี้ ทั้งยังเตียงสีชมพู และกระจกประดับด้วยเพชรพลอยในห้อง เห็นได้ชัดว่านี่มันห้องสตรี

เขาผุดลุกขึ้นนั่ง พยายามนึกเรื่องราว แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็ไม่อาจนึกเรื่องหลังจากที่หมดสติออกเลย จำได้เพียงว่าตนเองหมดสติอยู่ในอ้อมกอดกู่ชิงลั่ว

“ชิงลั่ว !” เมื่อนึกถึงกู่ชิงลั่ว ซูเฉินก็ร้องขึ้นโดยอัตโนมัติ

เสียงดังไปถึงด้านนอก คนผู้หนึ่งรุดเข้ามา จ้องซูเฉินด้วยสายตาดีอกดีใจ เป็นกู่ชิงลั่วนั่นเอง

นางโผเข้ากอดซูเฉินทันที “เจ้าฟื้นสักที !”

“ข้าสบายดี ! ตอนนี้รู้สึกดียิ่ง” ซูเฉินเอ่ยปลอบกู่ชิงลั่ว

คำพูดนี้ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ตอนนี้เขารู้สึกว่าจิตตนคมปลาบ ทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังยิ่งนัก

“ข้ารู้” กู่ชิงลั่วตอบพลางปาดน้ำตา “ท่านหมอบอกว่าเจ้าเพียงเหนื่อยเกินไป งีบสักหน่อยก็หายดี แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะหลับยาวถึง 2 วัน”

“2 วันหรือ ?” ซูเฉินพึมพำ “เช่นนั้นการต่อสู้เมื่อวานซืนเป็นอย่างไร ?”

กู่ชิงลั่วตอบ “ไม่ต้องห่วง เราชนะ เป็นเพราะเจ้า พวกสัตว์อสูรจึงไม่อาจสร้างความเสียหายได้มากนัก”

“แล้วราชันอสูรกายกับเจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้า ?”

กู่ชิงลั่วตอบ “เจ้าอสูรกายหมาป่าฟ้าถูกเจ้าโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายมันก็รับมือท่านพ่อกับคนอื่น ๆ ไม่ไหวแล้วหนีไป มันเร็วมากจนเราหยุดมันไม่ทัน แต่ราชันอสูรกายไม่รอด แม้มันจะทรงพลังมากแต่ความเร็วมันมีเพียงระดับธรรมดา ดังนั้นจึงไม่อาจหนีทัน กระนั้นจะสู้กับมันก็ยังน่าผวานัก เราจัดการมันเองไม่ได้ ต้องให้เมืองใกล้เคียงอีกสองเมืองช่วย พวกเขาได้รับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของเมืองเราแล้วส่งคนด่านผลาญจิตวิญญาณมาอีกสองสามคนเพื่อสังหารมัน”

ซูเฉินได้ยินว่าต้องให้คนด่านผลาญจิตวิญญาณจากเมืองใกล้เคียงมาช่วยสังหารราชันอสูรกายแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ไม่รู้ว่า ราชันอสูรกายแกร่งมากเพียงไหนกัน

ทั่วทั้งเมืองระดมพลมาจัดการราชันอสูรกาย ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากจักรพรรดิอสูรกายปรากฏตัวขึ้น ? มันยังมีราชันอสูรกายและจักรพรรดิอสูรกายในเผ่าสัตว์อสูรอยู่อีกมาก ไม่แปลกที่มนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันไม่ให้แทรกซึมผ่านพรมแดนมาได้ ทั้งหมดจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือของทั้งห้าเผ่าพันธุ์เพื่อปกป้องเขตแดนที่เป็นของตน

“ใช่แล้ว ข้าอยู่ที่ไหนกัน ?” ซูเฉินคิดบางอย่างแล้วถามขึ้น

“ก็ห้องข้าสิ” กู่ชิงลั่วบอก

ซูเฉินอึ้งไป “หมายความว่าข้านอนอยู่ในห้องเจ้าตลอด 2 วันหรือ ?”

กู่ชิงลั่วพยักหน้าจริงจัง

ซูเฉินเปลี่ยนสีหน้าทันที “แย่ล่ะ ! เช่นนั้นหัวหน้าตระกูลก็รู้ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าแล้วสิ ?”

ตามแผนของซูเฉิน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะปรากฏกาย !

ทว่ากู่ชิงลั่วจัดการให้เขานอนในห้องนาง คนอื่น ๆ ย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์แล้วเป็นแน่

“ท่านลุง ท่านไม่เข้าใจหรือ ? ทั้งหมดล้วนเป็นอุบาย !”

ภายในห้องโถงใหญ่ตระกูลกู่ โจวชิงขวงยืนอยู่ในนั้น จ้องกู่เซวียนเหมี่ยนด้วยความโกรธ

กู่เซวียนเหมี่ยนจืบชาดูสงบ “เข้าใจอะไร ?”

“ซูเฉิน !” โจวชิงขวงเอ่ยเสียงดัง “นี่มันเป็นแผนของซูเฉิน !”

เขาก้าวมาอีกสองก้าว “ใช้เงินมือเติบอะไร ? เครือข่ายเรือเหาะอะไรกัน ? มันเป็นอุบายทั้งนั้น ! จุดประสงค์ที่แท้จริงของซูเฉินคือชิงลั่วมาโดยตลอด เขาอยากแต่งกับชิงลั่ว จึงทำทีเป็นพ่อค้าและดองกับตระกูลกู่โดยใช้ผลประโยชน์ ข้าเองที่เจอเรื่องต่าง ๆ ทำให้มาถึงข้าก็ล้วนเป็นฝีมือซูเฉินแทรกแซงทั้งสิ้น”

กู่เซวียนเหมี่ยนนั่งเล่นกากชาในถ้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “อ้อ ? งั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าก็ปฏิบัติกับเจ้าผิดไปแล้ว”

“ทำไมท่านยังทำเมินเฉยเล่าท่านลุง ?” โจวชิงขวงเดินเข้ามาอีกสองก้าว “ท่านยังไม่เข้าใจหรือ ? ชิงลั่วกับเขารู้จักกันมานานแล้ว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ลับ ๆ มาตั้งนานแล้วด้วย ! กระทั่งหลงเฉ่าโหยวนั่นก็เป็นลูกน้องซูเฉิน ข้าสืบมาแล้ว หลงเฉ่าโหยวมาจากเมืองธารน้ำใส ก่อนมาที่นี่ซูเฉินก็เป็นผู้จัดการความรู้เมืองธารน้ำใส ! เขากับกู่ชิงลั่วยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นในสถาบันมังกรซ่อนเร้นอีก ! ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ? นี่มันแผนชั่วทั้งนั้น ! ซูเฉินเป็นมือมืดที่คุมทุกอย่างอยู่หลักฉาก !”

กู่เซวียนเหมี่ยนเหลือบมองโจวชิงขวงแล้วยิ้มบาง ๆ “ไม่คิดเลยว่าจะสืบมาถ้วนถี่เช่นนี้”

“ข้าไม่อาจแพ้โดยไม่รู้ว่าแพ้ให้แก่ใครได้ !” โจวชิงขวงตอบ “ข้ายอมรับว่าข้ารับมือกับหลงเฉ่าโหยวผิดไป แต่หลังจากนั้นข้าก็รู้สึกแปลก ๆ จึงส่งคนไปสืบอย่างลับ ๆ สุดท้ายก็พบความสัมพันธ์ระหว่างหลงเฉ่าโหยวกับซูเฉิน พอนำมาควบรวมกับการกระทำที่ผ่านมาของเขาก็เดาจุดมุ่งหมายได้ไม่ยาก ตอนแรกข้าไม่มั่นใจ แต่หลังจากการต่อสู้กับพวกสัตว์อสูร ท่าทีของชิงลั่วก็ทำให้ข้าเข้าใจ พอแยกเรื่องที่ซูเฉินกับชิงลั่วต่างก็มาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ หากยังไม่เข้าใจข้าก็คงเป็นคนโง่แล้ว !”

น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

กู่เซวียนเหมี่ยนลดถ้วยชาลง “เช่นนั้นเจ้าก็สืบมาไม่ครบเรื่องหนึ่ง”

“อะไรนะ ?” โจวชิงขวงชะงักไป

กู่เซวียนเหมี่ยนเอ่ย “ชิงลั่วกับซูเฉินไม่ได้พบกันครั้งแรกที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น”

“โอ่ว ?” โจวชิงขวงอึ้ง

กู่เซวียนเหมี่ยนกล่าว “ซูเฉินมาจากเมืองหลินเป่ย มณฑลสามเทือกเขา เป็นผู้สืบทอดตระกูลซู หนึ่งในสี่ตระกูลไร้สายเลือดใหญ่ในแถบนั้น แต่ดูเขาจะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลไป ไม่กลับไปเยี่ยมมานานแล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านั้นเขาเสียการมองเห็นไป ตระกูลไม่เคยดูดำดูดีเขา พอเขากลับมามองเห็นแล้วย่อมสะบั้นความสัมพันธ์ทิ้ง ในตอนนั้นชิงลั่วอยู่ที่ตระกูลหลินแห่งเมืองหลินเป่ย นางไปด้วยคำสั่งของข้าให้ฝึกอสรพิษทะยาน เขากับชิงลั่วพบกันที่นั่น ชิงลั่วยังสอนฝ่ามือดอกไม้บินและก้าวย่างหมอกอสรพิษให้เขาด้วย”

โจวชิงขวงได้ยินล้วก็ใจร่วง “ท่าน…… รู้มาโดยตลอดหรือ”

กู่เซวียนเหมี่ยนถอนใจ “หากกระทั่งเจ้ายังรู้สึกแปลกจนไปสืบค้น ข้าจะไม่ไปสืบมาอย่างดีได้หรือ ? เจ้าพูดถูกต้องแล้ว ซูเฉินวางแผนมาตั้งแต่ต้น อุปสรรค์เรื่องร้ายต่าง ๆ ที่เจ้าพบก็เป็นฝีมือเขาเพื่อทำให้ข้ายกเลิกเรื่องหมั้นเจ้ากับชิงลั่ว”

โจวชิงขวงเริ่มตื่นเต้น “ในเมื่อท่านลุงเข้าใจเช่นนั้นก็ยิ่งดีเลย ! เราควรจับตัวซูเฉินไว้แล้วส่งไปให้ทางการลงโทษ”

“จับเขา ? จับไปทำไม ?”

“ก็เพราะเขาวางแผนด้วยเจตนาร้ายใส่ข้า !”

กู่เซวียนเหมี่ยนมองโจวชิงขวงราวกับมองคนโง่ “เขาวางแผนด้วยเจตนาร้ายอะไรกัน ? ใช้หลงเฉ่าโหยวหรือ ? ใช่ เขาใช้หลงเฉ่าโหยวเป็นเหยื่อ แต่เขาบังคับให้เจ้าคิดสังหารหลงเฉ่าโหยวแล้วปล้นทรัพย์มาหรือ ?”

โจวชิงขวงชะงักไป “ร…… เรื่องนี้……”

กู่เซวียนเหมี่ยนเอ่ย “ไม่มีอะไรจะพูดกระมัง ? อย่าโทษคนอื่นว่าใช้ประโยชน์จากความละโมบของตนเองเลย เรื่องนี้เจ้าผิดตั้งแต่แรก จะไปโทษคนอื่นไม่ได้”

“แต่ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วรู้จักกันมานานแล้ว ทว่าก็ยังปิดเป็นความลับจากท่าน……”

กู่เซวียนเหมี่ยนเอ่ยขัด “เขาไม่เคยบอกว่าไม่รู้จักชิงลั่ว จริง ๆ วันแรกที่พบกัน เขาก็บอกแล้วว่ารู้จักชิงลั่วเพราะเป็นเพื่อนจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น เพียงแต่ตอนนั้นข้าคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงสหายร่วมสถาบันเท่านั้น ไม่รู้ว่าสนิทสนมกันถึงเพียงนี้”

“แล้วมีความสัมพันธ์ลับเช่นนี้ไม่ผิดหรือ ?”

“มีความสัมพันธ์ลับจึงผิดงั้นหรือ ?” กู่เซวียนเหมี่ยนมองโจวชิงขวงสายตาอ่อนใจ “เช่นนั้นใต้หล้านี้ก็มีแต่คนบาปแล้ว”

โจวชิงขวงมองกู่เซวียนเหมี่ยนด้วยความตกตะลึง หากไม่สัมผัสถึงความคิดที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายเขาก็โง่แล้ว

กู่เซวียนเหมี่ยนเอ่ย “ก็จริง ชิงลั่วไม่ได้บอกเรื่องความสัมพันธ์กับซูเฉิน แต่แล้วอย่างไรเล่า ? มีหนุ่มสาวที่ไหนไม่เคยมีช่วงเวลารัก ๆ ใคร่ ๆ บ้าง ? เด็กสาวมักมีใจอ่อนไหวมีใจเพ้อฝัน นางจะรักจะชอบผู้หนึ่งหรือสองคนไม่ใช่เรื่องแปลกหากนางยังรู้จักยับยั้งตนเอง ชิงลั่วยังบริสุทธิ์ ฉะนั้นนางไม่ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งที่ข้าขีดไว้ ข้าไร้เหตุผลให้ต้องลงโทษนาง อีกทั้ง……”

กู่เซวียนเหมี่ยนหยุดไป จากนั้นเอ่ยเหตุผลสำคัญที่สุดขึ้นมา “อีกทั้งซูเฉินก็เป็นเด็กดี”