ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิ้วอวี้เฟยเยียนจิ้มทะลุผ่านชุดที่เขาสวมใส่อยู่เข้าไปถึงในหัวใจ หรือน้ำเสียงนุ่มนวลที่นางกล่าวออกมากันแน่ ที่ทำให้หัวใจซย่าโหวฉิงเทียนเกิดความต้องการขึ้นมา
ความดี…
เขานั้นคิดมาตลอดว่าความดีงามกับเขานั้นไร้ซึ่งวาสนาต่อกัน
ความดีมีประโยชน์อะไร
คนดีมักจะถูกคนรังแก ม้าที่ดีมักจะถูกคนกดขี่
แค่เขาเป็นคนดีแม้เพียงน้อยนิด คงตายอยู่ริมทางตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ทว่า ในตอนนี้แมวน้อยใช้คำที่อ่อนโยนเช่นนี้มาบรรยายความเป็นเขา น้ำเสียงใสซื่อจริงใจของนาง เขาได้ยินมันชัดเจนโดยที่นางมิต้องเอื้อนเอ่ยบอกกล่าว ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดีว่านี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของนาง
เพราะเหตุใดกัน
เขาทำเรื่องเช่นนี้ เขาฆ่าคนไปตั้งมากมาย แต่นางยังคงรู้สึกว่าเขานั้นเป็นคนดี
“เพราะอะไร”
คิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเอ่ยปากออกมาเพื่อซักถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในใจ
“ข้าฆ่าคนไปตั้งมากมายเจ้าก็รู้!”
“ท่านฆ่าคนเหล่านั้นก็เพื่อช่วยให้คนอีกมากมายมีชีวิตรอด!”
อวี้เฟยเยียนจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง
แววตาซื่อตรงของนาง ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่สดใสบริสุทธิ์ของนาง ซย่าโหวฉิงเทียนก็สารภาพเหตุผลแท้จริงตั้งแต่แรกที่ทำให้เขากระทำการเช่นนี้ออกไปจนหมด
เขามิอาจปิดบังอวี้เฟยเยียนได้ มันทำให้หัวใจของเขาไม่สงบ
“เพื่อข้าอย่างนั้นหรือ”
คราวนี้ กลายเป็นอวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายตกตะลึงเสียเอง
ซย่าโหวฉิงเทียนดั้นด้นเดินทางนับพันลี้ไปถึงซีเย่ว์ ก็เพื่อที่จะลดทอนอุปสรรคที่ขวางกั้นอวี้จิงเหลยและอวี้เชียนเสวี่ย
มูลเหตุก็เพราะเกรงว่าพวกเขาจะบาดเจ็บ แล้วอวี้เฟยเยียนจะต้องเสียใจ…
เมื่อมองเห็นอากัปกิริยาที่คาดไม่ถึงของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็สีหน้าสลดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“แมวน้อย จริงๆ แล้วพี่ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เจ้าคิด พี่มันเห็นแก่ตัว…”
“คนโง่!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวยังมิทันจบ อวี้เฟยเยียนก็ยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาแดงก่ำน้ำตาปริ่ม
คนโง่ โง่จริงๆ เลย!
“ทึ่มเอ้ย!”
ต่อให้ท่านเก่งกาจสักเพียงไหน แต่การที่ท่านเดินทางจากต้าโจวไปถึงซีเย่ว์ แล้วยังรีบร้อนเดินทางกลับมาที่ต้าโจวอีก ให้ร่างทำจากเหล็กไหลก็ทานทนไม่ไหวหรอก!
นับเวลาดูแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนใช้เวลาเพียงแค่ห้าวัน
ท่านเป็นเทพหรืออย่างไรกัน
นึกถึงเมื่อรุ่งเช้าวันที่หก ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนมาหานางนั้น เสื้อผ้าเขาที่ปกติไม่มีแม้แต่รอยยับ แต่ในวันนั้นมันกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินเล็กน้อย คงจะเป็นเพราะรีบร้อนกลับมา เมื่อมาถึงก็ตรงมาที่หอซ่งเฮ่อจึงมิทันได้มีเวลากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใดๆ
คนโง่…โง่จริงๆ!
“แมวน้อย”
เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนเงียบไปไม่พูดไม่จา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเป็นฝ่ายร้อนใจขึ้นมา
หรือนางคิดว่าเขาไม่ดีพอ ไม่ต้องการเขาแล้ว ไม่ได้นะ!
“แมวน้อย เจ้าพูดสิ!”
“คนทึ่ม!”
อวี้เฟยเยียนมิได้โกรธเคืองอย่างที่ซย่าโหวฉิงเทียนกังวลใจ นางกลับต่อว่าต่อขานเขาด้วยท่าทีหยอกเย้า ทั้งยังส่งค้อนวงใหญ่ให้กับเขา
“เจ้าเป็ดทึ่มเอ้ย!”
เจ้าเป็ดทึ่มหรือ
นี่มันศัพท์อะไรกัน
ไม่รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนถามคำถามถัดไป จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็เขยิบเข้ามาใกล้แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตริมฝีปากเขาแผ่วเบา
“จุ๊บ…“
ความร้อนระอุพุ่งไปที่สมองซย่าโหวฉิงเทียนจนเขาหูอื้อ ในดวงตาเขาพราวไปด้วยดวงดาวชมพูระยิบระยับเต็มไปหมด เขารู้สึกว่ารอบกายของเขาโอบล้อมไปด้วยความอบอุ่นและชื่นใจ
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเขินอายแก้มแดงราวกับกุ้งก็ไม่ปาน อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะจนร่างเซไปอีกด้าน
“บ๊อก…บรู๊ว…”
ฮันจื่อมองดูฉากนั้นจากที่หน้าประตู ตาที่เดิมทีโตราวกับกระดิ่งของมันก็ยิ่งโตเท่าไข่ห่านไปอีก
จอมยุทธ์ผู้ไร้พ่ายอย่างนายท่านก็มีวันนี้ ถูกแม่นางน้อยลอบโจมตีเข้าให้แล้ว!
“ฮ่าๆ!”
ข้าเพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าเจ้านายก็หน้าแดงเป็นลูกผิงกั่วได้เหมือนกัน!
แม่นางน้อยนี่แน่จริงๆ!
“ฮันจื่อ! พวกเราไปกันเถอะ!”
อวี้เฟยเยียนเพียงแค่ตบเรียก ฮันจื่อก็รีบยักย้ายส่ายก้นเข้ามาหานางทันที
รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนได้สติกลับมา พบว่านี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ซึ่งในตอนนั้นอวี้เฟยเยียนได้หนีหายไปแล้ว
แมวน้อยจูบพี่แล้ว!
ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขายื่นมือขึ้นมาลูบที่ริมฝีปากของตนเองแผ่วเบา เวลาผ่านไปยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
เมื่อกลับถึงวังหลวง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังคงมีท่าทีสติไม่อยู่กับเนื้อเช่นเดิม บางเวลาก็ยิ้มออกมาคนเดียว ทำเอาฮ่องเต้และเซี่ยงจิ้นตกอกตกใจไปตามๆ กัน
เท่าที่เซี่ยงจิ้นจำได้ ยี่สิบกว่าปีมานี้ หลินเจียงอ๋องเคยยิ้มเพียงไม่กี่ครั้งเรียกได้ว่าใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วนับยังพอเลย
วันนี้ท่านอ๋องเป็นอะไรไป
มีอะไรมากระทบกระเทือนท่านอ๋องหรือเปล่า
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องไม่ได้ทรงล้มป่วยใช่หรือไม่”
“เหลวไหล!”
ซย่าโหวจวินอวี่หยิบเอาแท่งทับกระดาษฟาดไปที่เซี่ยงจิ้นโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ฝ่าบาททรงลงมือด้วยพระองค์เอง เซี่ยงจิ้นไหนเลยจะกล้าหลบเลี่ยง!
เซี่ยงจิ้นไม่เพียงไม่หลบเลี่ยง ยังยกมือรับแท่นทับกระดาษนั้นเอาไว้ มิอาจยอมให้มันตกกระแทกจะพังได้ สุดท้ายเขาต้องแสร้งทำว่าเจ็บจากการโดนแท่งนั้นกระแทกอีกต่างหาก เขากุมท้องร้องโอดโอย
เป็นคนโปรดต่อหน้าพระพักตร์ก็มิใช่เป็นกันง่ายๆ เลย!
“โอ๊ย…ฝ่าบาท บ่าวถูกแท่งนั่นกระแทกเข้าอย่างจัง เจ็บยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
จริงดังที่คาดไว้ ท่าท่างแสร้งเจ็บจริงจังของเซี่ยงจิ้นทำให้ซย่าโหวจวินอวี่บังเทิงเริงใจยิ่งนักในขณะที่พระหัตถ์ของพระองค์ก็ลูบที่เคราขเบาๆ แล้วก็ทรงอธิบายให้เซี่ยงจิ้นฟังด้วยความใจเย็น
แค่ดูก็รู้แล้วว่าหัวใจวัยหนุ่มกำลังเบิกบาน ตกอยู่ในห้วงความรัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เพราะนางคนไหนกันแน่!
ใครกันนะที่สามารถทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนกลายเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดูได้ถึงเพียงนี้
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติแดงระเรื่อ เขานั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าประตูมันช่างเป็นภาพที่น่ารักยิ่งนัก!
ซย่าโหวจวินอวี่ยิ้มล้อเลียนขณะที่มองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน ทว่าในใจเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
เป็นเพราะอวี้หลัวช่า
หรืออวี้เฟยเยียนกันแน่
หรือ…เป็นเพราะแมวน้อยผู้ลึกลับซับซ้อนกันแน่
พูดถึงแล้ว ลูกสะใภ้สองคนแรกเคยพบหน้ามาแล้ว ทั้งยังทรงพอพระทัยเป็นอย่างมากด้วย
สำหรับแมวน้อยที่แสนลึกลับ นางเป็นใครมาจากไหนซย่าโหวจวินอวี่สืบอย่างไรก็สืบไม่พบ! แม้กระทั่งฉู่อินก็สืบไม่พบคนคนนี้
ลูกเอ๋ย งานเก็บความลับของเจ้านี่ทำได้เป็นอย่างดีจริงๆ!
หรือแมวน้อยคือสุดรักสุดดวงใจของเจ้าอย่างนั้นหรือ
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร สามารถทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนมีความสุขได้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ซาบซึ้งทั้งนั้น
“ฉิงเทียนเอ้ย ฉิงเทียน!”
ฮ่องเต้ทรงตะโกนเรียกอยู่หลายครั้งซย่าโหวฉิงเทียนจึงรู้สึกตัว สีแดงระเรื่อบนใบหน้าเขายังมิทันจางหายไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันที
ใบหน้าเย็นชาเรียบเฉย แก้มทั้งสองข้างออกสีแดงระเรื่อ ใบหูที่เดิมทีใสราวหยกขาว ตอนนี้กลับกลายเป็นสีชมพูอ่อน ให้มองอย่างไรก็มีความน่ารักแบบขัดแย้งเสียเหลือเกิน!
ยิ่งทอดพระเนตรก็ยิ่งพอพระทัย
ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นผู้เป็นคนกับเขามากยิ่งขึ้น มีความรู้สึก ไม่ใช่ซย่าโหวฉิงเทียนที่เย็นชา เห็นทุกคนเป็นคนนอกอีกต่อไป นับเป็นเรื่องดี
“เสด็จพี่ มีเรื่องอะไรหรือ”
ฝันหวานถูกขัดกลางคัน น้ำเสียงซย่าโหวจวินอวี่เจือไว้ด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย
เขากำลังครุ่นคิดว่าจุมพิตของแมวน้อยเมื่อครู่มันหมายความว่าอะไรกันแน่!
“อะแฮ่ม!”
ด้วยรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ฝ่าบาทก็รีบตรัสชดเชยว่า
“ความหมายข้าก็คือ นี่ก็เดือนหกแล้ว ไม่แน่ว่าดอกบัวที่สวนคิมหันต์น่าจะบานแล้ว เจ้าสนใจจะไปเที่ยวชมสักสองสามวันหรือไม่ พาใครไปหลบเลี่ยงอากาศร้อนสักหน่อย…”
“พาใคร เสด็จพี่ ท่านหมายถึงใคร”
ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เดือนหก อากาศยังไม่ร้อนสักเท่าไหร่นี่นา!
ไปหลบร้อนในตอนนี้ รู้สึกแปลกประหลาดชอบกล…