บทที่ 121 กระบี่ทะลุตะวัน 

 

 

 

 

 

พิธีบวงสรวงอัญเชิญเทพเจ้าในครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่ต้องจัดเตรียมนั้นมีมากมายนัก คราวก่อนที่ถังเฉียนพูดเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องเส้นผมบนหน้าผากและเลือดจากนิ้วกลางของเด็กชายหญิงสี่สิบเก้าคู่ เวลานี้กลับมีบทบาทจริงๆ 

 

 

พิธีนี้พวกเขาต้องการหล่อเลี้ยงโลหิตของเทพมังกร จึงเลือกใช้ของดังกล่าว แล้วนำเอาเลือดของคนป่วยไข้ป่าระดับต่างๆ แปดสิบเอ็ดคนเทลงในหม้อทองคำที่ใช้สำหรับบวงสรวง เลือกงูมังกรวัยเด็กเป็นตัวแทนของเทพมังกรร่วมเซ่นไหว้ด้วยเจ็ดวัน เถิงเสวี่ยจัดให้ถังเฉียนถวายเลือดตนเองให้แก่เทพมังกรทุกวัน 

 

 

ถังเฉียนเพิ่งป้อนเลือดเลี้ยงเทพมังกรเสร็จ มองดูมันโตขึ้นทุกวัน บนหัวมีหงอนสีแดงงอกขึ้นมา ถังเฉียนหมอบอยู่ข้างหม้อทองคำมองดูมันกินเครื่องเซ่นไหว้อย่างตะกละตะกลาม แล้วอดพูดขึ้นไม่ได้ 

 

 

“ฉวยโอกาสรีบกินเสียตอนนี้เถอะ อีกไม่กี่วันหมอผีทั้งเจ็ดจะมารวมตัวกัน จะต้องส่งเจ้าขึ้นไปบนแท่นพิธี ถึงตอนนั้นเจ้าจะมีบทบาทสำคัญ” 

 

 

ถังเฉียนพูดถึงตรงนี้ เทพมังกรก็เชิดหัวขึ้น แล้วแลบลื้นให้ถังเฉียน 

 

 

“ปัดโธ่ ที่ข้าพูดทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ เจ้าไม่ใช่เครื่องสังเวยเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่พอใจเล่า” 

 

 

เวลาที่ถังเฉียนรู้สึกเบื่อก็จะมาพูดคุยกับมันที่นี่ คุยอยู่สักครู่ถังเฉียนก็จะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง แล้วเดินกลับไปตามทางเส้นเล็ก คิดว่าเวลานี้น่าจะไม่มีใคร แต่ที่ลานฝึกวิชายุทธ์ในสวนดอกไม้กลับมีเสียงอาวุธกระทบกันดังแว่วมา ถังเฉียนนึกอยากรู้อยากเห็น จึงแหวกกอดอกไม้ที่ขวางหน้าอยู่ เห็นคนกำลังร่ายรำกระบี่อยู่ใต้แสงจันทร์ 

 

 

ถังเฉียนดูท่ารำของคนผู้นี้ กระโดดไปมาราวกับกระเรียนเต้นรำ เท้าแตะพื้นอย่างมั่นคงราวกับแท่งศิลา ดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือ 

 

 

ขณะที่ถังเฉียนกำลังมองดูอย่างเพลิดเพลินนั้น ร่างของนางก็โน้มไปข้างหน้าอย่างทรงตัวไม่อยู่ แล้วเผลอทับลงบนกิ่งไม้ ทำให้กิ่งไม้หักอย่างไม่ตั้งใจ เกิดเสียงดังกรอบ ไม่เพียงทำให้นางสะดุ้งโหยง คนที่รำกระบี่พลอยได้ยินด้วย 

 

 

“ใคร? ยังไม่โผล่ออกมาอีก” 

 

 

พอถังเฉียนได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกผิด แต่กลับมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่า จึงค่อยๆ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ พอเดินเข้าไปจึงพบว่าเป็นฉู่จิ่งเหยา 

 

 

“ท่านอ๋อง อาหรูน่าไม่ตั้งใจจะแอบดู เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น” 

 

 

“อยากรู้อยากเห็น ก็เลยดูจนไม่ไปไหนอย่างนั้นหรือ” 

 

 

น้ำเสียงฉู่จิ่งเหยาเคร่งขรึมไม่น้อย ถังเฉียนยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ท่านอ๋องฝึกกระบี่ น่าชมเหมือนร่ายรำ แต่อาหรูน่าเข้าใจทันทีว่าเพราอะไรแผลของท่านอ๋องจึงมักจะปริออกเป็นประจำ ที่จริงไม่ใช่เพราะความผิดของพระชายารองที่กวนใจท่านอ๋อง” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาก้มหน้าแล้วหัวเราะ เขาสอดกระบี่ใส่ฝัก แล้วหันมาลูบศีรษะนาง 

 

 

“เด็กน้อย ไม่รู้ไปหัดพูดจาเหลวไหลเช่นนี้จากใครกัน” 

 

 

ถังเฉียนถูกเขากดศีรษะลง แล้วเหลือบมองดูแผลบนแขนเขาโดยไม่รู้ตัว นางถอนหายใจแล้วพูดว่า 

 

 

“เด็กน้อยย่อมเรียนมาจากผู้ใหญ่ อย่างเช่นใต้เท้าเจิ้ง เขาบอกว่าตอนนี้ห้ามรบกวนท่านอ๋อง แต่แม่นางจื่อเย่ว์ต้องไม่พอใจแน่นอน” 

 

 

ยิ่งฉู่จิ่งเหยาไม่ให้นางพูด นางก็ยิ่งอยากพูด แต่ไม่ได้ทำให้เขารำคาญ นางยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ท่านอ๋องควรระวังหน่อย แผลฉีกออกไม่ยอมหายเสียที คอยดูเถิดชั่วชีวิตท่านอ๋องจะไม่สามารถถือกระบี่ทะลุตะวันเข้าสนามรบ” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาแปลกใจที่ถังเฉียนพูดเช่นนี้ เขามองกระบี่ในมือแล้วถามว่า 

 

 

“เจ้ารู้ว่ามันชื่อทะลุตะวัน?” 

 

 

ถังเฉียนพยักหน้า 

 

 

“แม่นางจื่อเย่ว์เคยบอก กระบี่ทะลุตะวันเป็นสิ่งล้ำค่าของท่านอ๋อง ติดตามท่านบุกเหนือรบใต้สังหารคนมานับไม่ถ้วน กระบี่เล่มนี้ตีขึ้นจากเหล็กชั้นดีและเพิ่มหินอุกกาบาตรจากฟ้าที่ทั้งดำและแข็งแกร่ง ได้ยินว่าเจ้าทะลุตะวันสามารถแทงทะลุผ่านทุกอย่างได้ มันจึงมีชื่อเรียกว่าทะลุตะวัน”