ตอนที่ 672 การตัดสินใจของซูจิ่วซือ​​​​​​​ / ตอนที่ 673 หนีออกจากวัง

หวนแค้นชะตารัก

ตอนที่ 672 การตัดสินใจของซูจิ่วซือ​​​​​​​

 

 

ขณะที่ฟู่เฉินหรงได้ข่าวแล้วมาหานั้น ซูจิ่วซือนั่งบนเก้าอี้ในห้องทรงพระอักษรอย่างเหม่อลอย หันหลังให้ฟู่เฉินหรง

 

 

เนื่องจากมองจากด้านหลัง ฟู่เฉินหรงจึงไม่สามารถเห็นสีหน้าของซูจิ่วซืออย่างชัดเจน เขายื่นมือไปโอบซูจิ่วซือ ให้นางเอนกายลงซบอก

 

 

ซูจิ่วซือซบลงอย่างสงบ ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้น “เฉินหรง ข้าฆ่าปิงอวิ๋น”

 

 

“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว”

 

 

“นางเป็นคนของท่าน ข้าฆ่านางโดยไม่ได้ทูลถามก่อน ท่านคงไม่โทษข้า”

 

 

ซูจิ่วซือกล่าวเบามาก สุ้มเสียงแสดงความรู้สึกเหนื่อยล้า

 

 

“ปิงปิงมาหาข้า เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังแล้ว จิ่วซือ ขออภัย ข้าผิดเอง ข้าไม่ได้ปกป้องเจ้าให้ดี” ฟู่เฉินหรงกอดซูจิ่วซือไว้แน่น รู้สึกเสียใจมาก

 

 

“ท่านเข้าใจข้าก็พอแล้ว”

 

 

“ข้าไม่เข้าใจได้อย่างไร เพียงแต่ข้าปล่อยให้เจ้าลำบากมามาก” ฟู่เฉินหรงก้าวมาหาซูจิ่วซือ คุกเข่าเบื้องหน้านาง มือทั้งสองจับมือของซูจิ่วซือไว้แน่น “จิ่วซือ ข้า…”

 

 

ฟู่เฉินหรงอยากกล่าวบอก เขากับนางไม่อาจรักษาลูกไว้ แต่พอประสานสายตากับซูจิ่วซือ เขาก็ไม่อาจกล่าวออกมา ได้แต่เจ็บปวดใจ มือที่จับซูจิ่วซือไว้ยิ่งบีบหนักขึ้น

 

 

ถ้าเป็นยามปกติ ซูจิ่วซือคงรู้สึกเจ็บ แต่เวลานี้นางไม่รู้สึกแม้แต่น้อย ดึงมือของฟู่เฉินหรงมาวางที่ท้องของนาง สุ้มเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “เฉินหรง ลูกอยู่ในนี้ นี่เป็นลูกคนแรกของเรา เอาลูกไว้ดีไหม”

 

 

ตอนที่ฟู่เฉินหรงยังไม่มาที่นี่ ซูจิ่วซือนั่งที่ห้องทรงพระอักษรครู่หนึ่งแล้ว

 

 

นางรู้ว่าควรจะทำแท้ง แต่ไม่อาจตัดใจได้ ปรารถนาที่รักษาลูกไว้ แม้จะมีอันตรายถึงชีวิต แต่นางก็อยากทดลองสักครั้ง หลังจากกลับชาติมาเกิด ชีวิตของนางเต็มไปด้วยอันตราย

 

 

เมื่อรู้ว่าซูจิ่วซือปรารถนาที่จะรักษาลูกไว้ ฟู่เฉินหรงก็สั่นศีรษะ “จิ่วซือ เรื่องที่ข้าใส่ใจที่สุดคือสุขภาพของเจ้า ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่มีลูกก็ได้ แต่ไม่มีเจ้าไม่ได้”

 

 

“ข้าก็เตรียมตัวไว้แล้ว แต่ในเมื่อมีลูก ก็เป็นบัญชาสวรรค์ เฉินหรง บางทีอาจจะมีทางอื่น เรายังมีเวลาอีกนาน ต้องหาทางให้ได้”

 

 

“ไม่มีทางอื่นแล้ว จิ่วเอ๋อร์ เราไม่มีเวลาแล้ว เจ้ายังมีหลียวนกับชิงเฉิง อีกไม่นานชิงเฉิงก็จะมีหลาน ถ้าเจ้าชอบเด็ก วันหลังเรารับเลี้ยงสักสองสามคน จิ่วซือ ครั้งนี้เจ้าเชื่อข้า ได้หรือไม่”

 

 

ซูจิ่วซือกัดริมฝีปากไม่กล่าวคำ นางหดมือกลับ เบือนหน้าไปทางอื่น “เฉินหรง คืนนี้หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองความเห็นไม่ตรงกัน และเป็นครั้งแรกที่ซูจิ่วซือทูลอย่างเป็นทางการกับฟู่เฉินหรง ความห่างเหินในคำพูดทำให้เขายิ่งเจ็บปวด แต่ถึงอย่างไร ครั้งนี้เขาไม่ทำตามความเห็นของซูจิ่วซือแน่ เขาไม่อาจเอาชีวิตของซูจิ่วซือไปเสี่ยง

 

 

เรื่องนี้เขาตรวจสอบชัดเจนแล้ว หากตั้งครรภ์เกินสามเดือน หนอนไหมพิษในตัวซูจิ่วซือจะกำเริบ พอถึงตอนนั้นแม้แต่เทพก็ช่วยอะไรไม่ได้

 

 

เจ้าแม่มีผลเซียนหลิงเพียงลูกเดียว หากมีอีกลูกหนึ่งก็ไม่ได้ผล หนอนไหมพิษยังจะกำเริบ

 

 

แม้เสียดายลูก และอยากมีลูกด้วยกัน แต่เขาก็อาลัยอาวรณ์ซูจิ่วซือ ถ้าต้องเอาชีวิตของนางมาแลกกับลูก เขายินดีที่จะไม่มีลูกไปตลอดชีวิต

 

 

“จิ่วซือ…”

 

 

ฟู่เฉินหรงกล่าวเรียก ซูจิ่วซือกลับไม่กล่าวตอบ และไม่เหลือบตามองฟู่เฉินหรงแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 673 หนีออกจากวัง

 

 

ฟู่เฉินหรงลุกขึ้น เตรียมจากไป ขณะมาถึงหน้าประตู จู่ๆ เสียงของซูจิ่วซือก็ดังขึ้น “เฉินหรง หม่อมฉันอยากไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่ พี่สะใภ้ตั้งท้อง หม่อมฉันจะไปอยู่กับพี่สะใภ้สองสามวัน”

 

 

“ได้”

 

 

ฟู่เฉินหรงอนุญาต ขอแต่ให้ซูจิ่วซือสบายใจ นางอยากทำอะไรก็ทำได้

 

 

รุ่งขึ้น ซูจิ่วซือกลับจวนตระกูลมู่

 

 

สามวันต่อมา ขณะที่ฟู่เฉินหรงตรวจฎีกาที่ห้องทรงพระอักษร จู่ๆ ชิงซานก็เข้ามาทูล “ฝ่าพระบาท แย่แล้ว ฮองเฮาหายไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พอได้ยินว่าซูจิ่วซือหายไป ฟู่เฉินหรงวางฎีกาในมือลง ถามด้วยสีหน้าร้อนรน “ว่าอย่างไรนะ”

 

 

“เมื่อครู่คนของจวนโหวส่งข่าวมา บอกว่าเมื่อเช้าฮองเฮาไปไหว้พระที่วัดเหยียนหัว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา จวนโหวส่งคนไปตามหาฮองเฮาแล้ว”

 

 

ฟู่เฉินหรงลุกขึ้น ในใจสับสน เขารู้ความหมายของซูจิ่วซือ ที่นางทำอย่างนี้ก็เพื่อจะรักษาลูกในท้อง แต่เขาไม่อาจปล่อยให้นางทำอย่างนี้

 

 

“เมื่อเช้ามีคนไปวัดเหยียนหัวกับฮองเฮาหรือไม่”

 

 

“คนที่ไปด้วยมีฮูหยินกู้กับคุณชายกู้ พวกเขาบอกว่าฮองเฮาทรงแยกทางไป เวลานี้พวกเขายังตามหาฮองเฮาอยู่ข้างนอก”

 

 

ฟู่เฉินหรงไม่ได้ถามอะไรอีก สั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “รีบเตรียมม้า”

 

 

ชิงซานรู้ว่าฟู่เฉินหรงต้องเสด็จไปตามหาซูจิ่วซือด้วยพระองค์เอง ในเมื่อไม่อาจทูลทัดทาน พูดไปก็ไร้ผล เขาจึงไม่ทูลถาม รีบไปเตรียมม้า คนกลุ่มหนึ่งขี่ม้าทะยานออกจากวังหลวง

 

 

ซูจิ่วซืออยู่ที่เรือนเล็กโดดเดี่ยวนอกเมือง เรือนหลังไม่ใหญ่นัก แต่ตกแต่งอย่างดี รอบบริเวณเป็นป่าไผ่ ตัวเรือนตั้งอยู่ในป่าไผ่

 

 

ซูจิ่วซือนั่งที่บันไดเรือน แสงจันทร์สีเงินส่องต้องเรือนกาย นางนั่งที่บันไดเป็นเวลานาน

 

 

แม้อากาศอบอุ่น แต่ตกกลางคืนก็เริ่มเย็น อาหลานหยิบเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ให้ซูจิ่วซือ พร้อมกับทูลเตือน “ฮองเฮา ข้างนอกอากาศเย็น กลับไปประทับนั่งในห้องเถอะเพคะ”

 

 

“ไม่เป็นไร”

 

 

ซูจิ่วซือตรัสจบ จงมั่วเจียงก็ก้าวออกมา ขมวดคิ้ว “ผู้หญิงคนนี้ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง เพิ่งเป็นฮองเฮาไม่นานก็ทะเลาะกับฟู่เฉินหรงแล้ว โกรธจนหนีออกจากบ้านอย่างนี้ เรื่องราวเป็นอย่างไรแน่ บอกข้าดีๆ ข้าจะไปสั่งสอนฟู่เฉินหรงให้”

 

 

“ข้าแค่อยากออกมาพักให้สบายใจ”

 

 

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือ”

 

 

ซูจิ่วซือมาถึงตอนบ่าย แม้ไม่ยอมตรัสบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารับรู้ได้ชัดเจนว่าซูจิ่วซือไม่สบายใจ

 

 

ภายนอกมีเสียงร่ำลือเล่าขานถึงความรักอันงดงามระหว่างฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือ ราษฎรต่างอยากมีความรักอย่างนี้ พระชายารองคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลานี้ซูจิ่วซือเป็นผู้หญิงคนเดียวในวังใน

 

 

ตามเหตุผลแล้วนางน่าจะอยู่อย่างมีความสุข ทำไมจู่ๆ ก็ออกจากวังหลวงตามลำพัง

 

 

เขาเองไม่ใช่เพิ่งรู้จักซูจิ่วซือ รู้ว่านางไม่ใช่เด็กสาวที่เอาแต่ใจตัวเอง ถ้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร นางไม่มีวันออกจากตูเฉิงแน่

 

 

ซูจิ่วซือแย้มยิ้มอย่างเจื่อนๆ “จงมั่วเจียง ขอบใจ”

 

 

“ขอบใจข้าทำไม ก็แค่บังเอิญ ถ้าข้าไม่บังเอิญอยู่ที่ตูเฉิง เจ้าก็คงไม่เจอข้า”

 

 

แม้ปากจะบอกว่าเป็นความบังเอิญ แต่ในใจจงมั่วเจียงรู้ดี ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พอรู้ว่าซูจิ่วซือได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแล้ว เขาก็มาตูเฉิง ความจริงเพียงแค่อยากมองดูนางอยู่ห่างๆ สักครั้ง

 

 

เขาเดินทางมาถึงหลายวันแล้ว เดิมทีอยากแฝงตัวไปเข้าเฝ้าซูจิ่วซือในวัง นึกไม่ถึงว่าซูจิ่วซือกลับออกจากวัง พอเห็นนางเข้าไปในจวนตระกูลมู่ จงมั่วเจียงก็ประหลาดใจมาก สุดท้ายก็อดไม่ได้เข้าไปหาซูจิ่วซือ ปรากฏว่าซูจิ่วซือกลับขอร้องเขา