ตอนที่ 676 ยอมให้โกรธ / ตอนที่ 677 เป็นเพียงข้ออ้าง

หวนแค้นชะตารัก

ตอนที่ 676 ยอมให้โกรธ 

 

 

แม้รู้ว่าความหวังนั้นริบหรี่ แต่อาหลานก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง 

 

 

นางรับใช้ซูจิ่วซืออย่างใกล้ชิดมาหลายเดือนแล้ว รู้ว่าถ้าซูจิ่วซือตัดสินใจแล้วยากที่จะทัดทาน และนางก็เป็นคนปากหนัก จึงได้แต่อยู่กับซูจิ่วซือ ช่วยสืบหาวิธีแก้พิษหนอนไหม อย่างอื่นนางทำไม่เป็น 

 

 

นางนึกภาวนา ขอให้สวรรค์เมตตาซูจิ่วซืออีกสักครั้ง 

 

 

ขณะที่ซูจิ่วซือพักผ่อน ฟู่เฉินหรงกับกู้หลียวนยังคงตามหานางที่ข้างนอก ถ้าทั้งสองตามเจอ นับว่าเป็นความบังเอิญ 

 

 

กู้หลียวนขี่ม้าสีน้ำตาล เขารั้งเชือกไว้ “เราตามหาทั่วตูเฉิงแล้ว จิ่วซือออกไปนอกเมืองหรือไม่” 

 

 

“เราออกไปตามหานอกเมือง” 

 

 

ฟู่เฉินหรงก็รั้งม้า สีหน้าเคร่งเครียด ไม่เหลือท่าทางสนุกสนานเหมือนปกติ 

 

 

“พรุ่งนี้ไม่ออกว่าราชการ” 

 

 

“พรุ่งนี้ไม่มีงานอะไร หยุดว่าราชการสักวันไม่เป็นไร หลียวน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ! ข้าออกไปตามหาเอง จิ่วซือคงไม่ไปไกล” 

 

 

ฟู่เฉินหรงพูดจบก็ตวัดแส้ ตามหาซูจิ่วซือไม่พบ เขาไม่อาจสงบใจ เขาไม่มีวันปล่อยให้ซูจิ่วซือเสี่ยงอันตรายแน่ เรื่องอื่นยังยอมได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด แม้ซูจิ่วซือจะโทษเขา เขาก็ไม่ปล่อยให้ซูจิ่วซือทำอย่างนี้แน่ 

 

 

เขาไม่อาจสูญเสียนางไป ความคิดเช่นนี้แม้แต่จะคิดก็ไม่ได้ 

 

 

กู้หลียวนก็ตวัดแส้ตามมา “ข้าไปด้วย เพราะกลับไปก็นอนไม่หลับ เฉินหรง ถ้าพบซูจิ่วซือแล้วจะทำอย่างไร จะบังคับให้นางกินยา เวลานี้นางจากไปเพราะไม่ต้องการกินยา” 

 

 

“ซูจิ่วซือจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด” 

 

 

กู้หลียวนปกติเข้าใจความหมายของฟู่เฉินหรง เรื่องนี้เขาสนับสนุนฟู่เฉินหรง จึงพูดขึ้น “เวลานี้นางตัดสินใจแล้ว เจ้าบังคับนางให้สละลูก เกรงว่าจิ่วซือจะโกรธเจ้า 

 

 

จิ่วซือไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก ถ้าเจ้าทำให้นางโกรธ วันหลังเกรงว่าจะเข้าห้องไม่ได้” 

 

 

“โกรธได้ก็โกรธไป! ถ้าพิษหนอนไหมกำเริบ ด้วยนิสัยของซูจิ่วซือ นางไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอยู่อย่างนั้นแน่ นางต้องจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยขณะที่ยังมีสติ ข้ายอมสูญเสียทุกอย่าง แต่ไม่ยอมสูญเสียนางเด็ดขาด” 

 

 

ในใจของฟู่เฉินหรง ซูจิ่วซือมีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา 

 

 

เขาหวังว่าจะอยู่กับซูจิ่วซือไปตลอดชีวิต ถ้าไม่มีนาง ฟู่เฉินหรงก็ไม่ใช่ฟู่เฉินหรง ชีวิตของเขาคงไร้สีสัน 

 

 

เขามีความทะเยอทะยาน มีอุดมการณ์ แต่ทั้งหมดนี้ต้องมีซูจิ่วซืออยู่ด้วย ตลอดชีวิตอันยาวนาน เขาปรารถนาที่จะจูงมือซูจิ่วซือก้าวต่อไป 

 

 

กู้หลียวนรู้ว่าฟู่เฉินหรงตรัสมีเหตุผล เขารู้เรื่องหนอนไหมพิษจากเผยปิงปิงอย่างละเอียด ถ้าหนอนไหมพิษกำเริบจะเสียสติ ยังสู้เด็กอายุสามขวบไม่ได้ อยู่เหมือนคนบ้า 

 

 

ซูจิ่วซือเป็นคนที่เย่อหยิ่งโดยสันดาน นางจะปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าเป็นเขา เขาเองก็ไม่ยอม มีชีวิตอยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างจากตาย 

 

 

ฟู่เฉินหรงตวัดแส้อีกครั้ง กู้หลียวนตามหลังไป ทั้งสองพาองครักษ์ออกไปจากตูเฉิง 

 

 

รุ่งเช้า จงมั่วเจียงออกจากเรือนไปหาเผยปิงปิง 

 

 

เรือนของจงมั่วเจียงมีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน ทั้งพิณหมากล้อมหนังสือเครื่องเขียน รวมทั้งเสื้อผ้าของผู้หญิง 

 

 

ซูจิ่วซือถือพิณไปเล่นที่ในป่าไผ่ เสียงพิณไพเราะดังออกจากปลายนิ้วของนาง 

 

 

นางในชุดสีขาว เกล้าผมง่ายๆ ไม่ทาแป้งร่ำ ท่ามกลางทัศนียภาพรอบตัว มองห่างๆ เหมือนเทพธิดาบนสวรรค์ 

 

 

จงมั่วเจียงกลับมาเห็นซูจิ่วซือในเวลานี้พอดี เขาไม่ได้เข้าไปรบกวน ได้แต่มองห่างๆ มุมปากผุดรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นซูจิ่วซือดีดพิณ และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าซูจิ่วซือสวยมาก 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 677 เป็นเพียงข้ออ้าง 

 

 

จงมั่วเจียงไม่เข้าใจเรื่องดนตรี แต่ฟังออกว่าซูจิ่วซืออารมณ์ไม่ดี เสียงพิณไม่ร่าเริง แต่ทำให้รู้สึกกดดัน 

 

 

ฟังครู่หนึ่ง เสียงพิณก็หยุดกะทันหัน จงมั่วเจียงจึงสะกดใจเดินเข้าไป 

 

 

ลมพัดโชยมาวูบหนึ่ง ในป่าไผ่มีเสียงดังซ่าๆ จงมั่วเจียงยื่นมือออกไป รับใบไม้ที่กำลังจะตกลงบนผมของซูจิ่วซือพอดี 

 

 

“ฝืมือเล่นพิณของเจ้าล้ำเลิศจริงๆ เพราะมาก ข้ายืนอยู่ใกล้ๆ ฟังจนเคลิ้ม” จงมั่วเจียงสีหน้าชื่นชม ลุ่มหลงในตัวซูจิ่วซือ 

 

 

“เจ้าสำนักจงชมเกินไป ฝีมือเล็กน้อย” 

 

 

ซูจิ่วซือผละจากพิณ ยิ้มเจื่อนๆ ให้จงมั่วเจียง 

 

 

“จิ่วซือ เราห่างเหินกันถึงขั้นนี้เชียวหรือ” 

 

 

พอได้ยินซูจิ่วซือเรียกเจ้าสำนักจง จงมั่วเจียงก็ไม่ค่อยพอใจ กว่าจะได้ใกล้ชิดซูจิ่วซือช่างยากเย็น พูดเล่นแค่นี้ก็ทำให้ความสัมพันธ์กลับเป็นเหมือนเมื่อก่อน ผู้หญิงคนนี้ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ 

 

 

“ข้าแต่งงานแล้ว อะไรที่ควรเลี่ยงก็ต้องเลี่ยง เป็นผลดีทั้งต่อเจ้าและข้า” 

 

 

จงมั่วเจียงยักไหล่ “ข้าไม่ใส่ใจ คนวงการนักเลงไม่มีแบบแผนมากอย่างนั้น 

 

 

เมื่อเช้าข้าไปที่ตูเฉิง ที่นี่ไม่มีอะไรกิน ข้าเอาของกินมาให้ วางบนโต๊ะ ยังร้อนอยู่ เจ้ารีบกินตอนร้อนๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชอบอะไร ซื้อมาไม่มาก” 

 

 

ซูจิ่วซืออยู่ที่สำนักวิหคเขียวหลายวันแล้ว แต่ไม่เคยแสดงออกว่าชอบอะไรเป็นพิเศษ จงมั่วเจียงเตรียมอะไรให้ก็กิน เขาจึงไม่รู้ว่าซูจิ่วซือชอบกินอะไร 

 

 

“เจ้าเจอปิงปิงหรือไม่” 

 

 

ซูจิ่วซือถาม 

 

 

แววตาของจงมั่วเจียงลุกวาวขึ้นแวบหนึ่ง แล้วพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ปิงปิงไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลมู่ ข้าไม่เจอนาง ทุกคนในตูเฉิงพากันตามหาเจ้า ฟู่เฉินหรงไม่ได้บอกว่าเจ้าหายไป แต่วางท่าวางทางไม่น้อย” 

 

 

ซูจิ่วซือไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้า “ขอบใจ จงมั่วเจียง” 

 

 

“รีบกินเถอะ ข้าจะไปฝึกเพลงกระบี่ที่ป่าไผ่สักครู่” 

 

 

ซูจิ่วซือออกไปพร้อมกับอาหลาน จงมั่วเจียงมองตามคนทั้งสอง สีหน้าของเขาเริ่มสงบลง ท่าทางหนักแน่น เขาชักกระบี่ที่ติดตัวออกมา ฟันลำไผ่ทีเดียวขาด ลำไผ่ส่งเสียง แล้วล้มลงเบื้องหน้าจงมั่วเจียง 

 

 

เวลานี้เขาไม่มีใจจะฝึกกระบี่ การฝึกกระบี่เป็นเพียงข้ออ้าง 

 

 

ซูจิ่วซือไปที่ห้องอาหารในเรือน บนโต๊ะมีอาหารไม่น้อย ส่วนใหญ่เป็นขนมหลากหลาย และเห็ดหูหนูขาวต้มกับพุทราจีน 

 

 

พอเห็นเห็ดหูหนูขาวต้มพุทราจีน อาหลานก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าสำนักจงเดาสุ่มจนเจอของโปรดของฮองเฮาอย่างหนึ่ง” 

 

 

ซูจิ่วซือกินเห็ดหูหนูต้มพุทราจีนเป็นประจำ เป็นของหวานที่นางชอบเป็นพิเศษ 

 

 

นางให้อาหลานนั่งลงกินด้วยกัน ที่นี่ไม่ใช่วัง อาหลานเองก็ไม่เกรงใจ ยกเห็ดหูหนูต้มพุทราจีนมาให้ซูจิ่วซือ นางไม่ชอบของหวานต้ม คนวงการนักเลงไม่คุ้นเคยกับอาหารอย่างนี้ 

 

 

อาหลานหยิบขนมมากิน และหยิบให้ซูจิ่วซือด้วย ทั้งสองกินด้วยกัน 

 

 

คงเป็นเพราะความหิว ซูจิ่วซือจึงกินขนมสามสี่ชิ้น และเห็ดหูหนูต้มพุทราจีนจนหมด ส่วนอาหลานกินขนมหกเจ็ดชิ้น และข้าวต้มหนึ่งถ้วย 

 

 

พอกินเสร็จ อาหลานก็เก็บโต๊ะ ซูจิ่วซือไม่มีอะไรทำก็ช่วยเก็บด้วย ขณะที่เก็บของ จู่ๆ นางก็กุมท้อง 

 

 

“ฮองเฮา เป็นอะไรไป” 

 

 

พอเห็นซูจิ่วซือกุมท้อง อาหลานก็ร้อนใจวางของในมือลงแล้วเข้าไปประคองซูจิ่วซือ