ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงทางนั้นก็หายไป ยู่ยี่ปล่อยเขา พร้อมกับตีอกเขาเบาๆ พอผู้ชายที่นิ่งสงบและมั่นคงขนาดนั้นหุนหันพลันแล่นขึ้นมา ก็ชวนให้คนตกใจจริงๆ
ติ่งหูของเธอนั้นเป็นสีแดงระเรื่อ ฉันทัชเห็นมันอย่างชัดเจน ยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา เวลาก่อนจะเริ่มประชุมนั้นเหลือไม่มากนัก
“ลิปสติก” เขาเอ่ย
แม้จะยังมึนงงสับสน หากแต่ยู่ยี่ก็หาลิปสติกยื่นให้เขา
ฉันทัชใช้มือซ้ายประคองคางของเธอไว้ ส่วนมือขวาเปิดลิปสติกออก วางมันลงที่ริมฝีปากของเธอ แล้วเริ่มวาดตามรูปปากอย่างช้าๆ
เธอนั้นเพิ่งทาลิปสติกไป ทว่าเมื่อสักครู่นี้ที่จูบแบบนั้น ทำให้ลิปสติกของเธอถูกกลืนกินไปเกินครึ่ง พอมองดูส่วนที่ขาดหายไปนั้นก็ชวนให้รู้สึกเขินอาย
ขณะที่เขากำลังทาลิปสติกให้เธอนั้น ลูกกระเดือกของเขาก็ขยับขึ้นลง ยู่ยี่เห็นมันได้อย่างชัดเจน ส่วนลึกในจิตใจเธอก็สั่นไหว ไม่กล้ามองหน้าเขา
ยามจะเดินออกจากห้องน้ำนั้น ยู่ยี่ก็ไปสำรวจสถานการณ์ก่อน เมื่อเห็นไม่มีคนอื่นแล้ว จึงให้เขาออกมาอย่างระมัดระวัง ทำตัวเหมือนกับเป็นขโมย
ฉันทัชดูไม่ได้กังวลเหมือนเธอขนาดนั้น เขามีท่าทีสงบเหมือนปกติ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงสูท ทุกย่างก้าวดูสง่างามและโดดเด่น
ทั้งสองคนคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลังเดินเข้าห้องประชุม หากแต่ไม่มีใครสนใจ ยู่ยี่นั่งที่นั่งข้างหลัง ส่วนเขานั่งตำแหน่งบุคคลระดับสูง
เพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างๆ กระทบแขนเธอเบาๆ ถามเธอว่า ไปแต่งหน้ามาเหรอ?
ยู่ยี่หน้าแดง พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ไม่นานหลังจากนั้นสายตาก็หลุบต่ำลงไปแสร้งทำเป็นอ่านเอกสาร
ยังไงซะงานภายในโปรเจกต์นี้ เธอก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยอยู่ดี เวลาพูดเกี่ยวกับงานก็วนมาไม่ถึงเธอ เธอนั่งอยู่ตรงนี้ ความคิดของเธอทั้งหมดสามารถลอยไปคิดเรื่องอื่นได้
ได้ยินว่าถึงตาคุณฉันทัชขึ้นพูด เธอจึงเงยหน้าขึ้น ฉันทัชยกยิ้มเล็กน้อย เพิ่งพูดไปได้ประโยคหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ในเวลานี้ก็ดังขึ้นมา
เขาใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสูท เหลือบมองโทรศัพท์ แล้วกล่าวขออภัยกับทุกคน พร้อมรับโทรศัพท์ เดินออกไปจากห้องประชุม
ยู่ยี่จ้องมองไปยังประตูห้องประชุมที่เปิดออก สามารถมองออกได้ว่า โทรศัพท์สายนี้เป็นสายสำคัญ
ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ยังไม่เดินเข้ามา แต่เป็นโก๋เดินเข้ามาแทน เขาคุยอะไรสักอย่างกับนายกเทศมนตรี แล้วก็กลับออกไปอีก
นายกเทศมนตรีกล่าวว่า คุณฉันทัชมีธุระด่วนจำเป็นต้องออกจากที่ประชุมไปก่อน และกล่าวขออภัยกับทุกคนอีกครั้ง การประชุมนี้เริ่มกันต่อเถอะ
ยู่ยี่คิด เธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นธุระด่วนอะไร
ครึ่งชั่วโมงต่อมา การประชุมก็จบลง เธอกลับไปที่แผนก เมื่อวานนี้ทีมรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเร่งทำงานกันทั้งคืน พรุ่งนี้ก็สามารถรื้อถอนสิ่งก่อสร้างทั้งหมดลงมาได้แล้ว
ดังนั้นแผนงานของเธอยังมีพิมพ์เขียวที่ต้องทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพราะอีกไม่นานงานก็จะเริ่มแล้ว
เธอมุ่งมั่นตั้งใจและจมจ่อมเข้าสู่กองงานอีกครั้ง ตั้งใจและจริงจัง โปรเจกต์นี้เธอไม่อาจจะสะเพร่าได้
เมื่อใกล้เวลาเลิกงาน หัสดินก็มาหาอีกครั้ง เธอติดอยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการ เขาบอกกับเธอว่า “ ผมและเรนนี่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กันแล้ว”
ยู่ยี่กล่าว “นี่มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
“ผมคิดว่าคุณจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจน”
มือของยู่ยี่นวดคลึงหน้าผาก “ถ้าอย่างนั้น ฉันรับรู้เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว คุณไปได้แล้ว”
หัสดินอยากไปส่งเธอหลังเลิกงาน ยู่ยี่รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก เธอไม่ให้ความสนใจเขาอีก แต่เขากลับไล่ตามเธอไปถึงชั้นล่างต่ออย่างไม่ลดละ
เธอเป็นหวัดอยู่เล็กน้อย ร่างกายนั้นอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงให้เขามารบกวนไม่หยุดที่นี่ ยู่ยี่เอ่ย “ ฉันหิวน้ำ ไปซื้อชานมร้อนสักแก้วให้หน่อยสิ”
ยู่ยี่ในที่สุดก็เปิดปากคุยกับเขา หัสดินนั้นแน่นอนว่าดีใจมาก เขาไปที่ร้านชานมฝั่งตรงข้าม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเดินฝ่ากลับมาพร้อมกับถือชานมอุ่นร้อนนั้น ทางเข้าบริษัทก็ไร้คนตั้งนานแล้ว ยู่ยี่ขึ้นรถแท็กซี่แล้วจากไปอย่างไม่ต้องคิด
หัสดินขมวดคิ้ว แผงอกกระเพื่อมขึ้นลง ดื่มชานมไปอึกหนึ่งซึ่งมีรสหวานมันและร้อนจัด ปากเขาจึงถูกลวก เขาโยนชานมเข้าไปในถังขยะ
เขาคิดว่า ยู่ยี่นั้นนับวันยิ่งฉลาดขึ้น และนับวันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อสักครู่เธอเพิ่งบอกว่าอยากดื่มชานม นึกไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อเธอจริงๆ!
เมื่อยู่ยี่กลับมายังบ้าน ก็รู้ว่าฉันทัชไม่อยู่ มีแต่อาคิระที่อยู่บ้าน เธอไม่ได้สนใจนัก จัดการทำบะหมี่หน้าไข่มะเขือเทศ 1 ถ้วยด้วยตัวเอง แล้วนั่งทานอยู่ที่โต๊ะอาหาร
อาคิระที่ยังไม่ได้ทานอะไร ได้กลิ่นหอมก็รู้สึกหิวขึ้นมา เขาลุกขึ้นมองดูข้างในหม้อ สะอาดหมดจด ไม่เหลือเส้นบะหมี่ไว้สักเส้น
ยู่ยี่ดูเหมือนจะไม่เห็นการกระทำของเขา ยังคงทานอาหารอยู่คนเดียว อาคิระโทรหาร้านอาหาร มาส่งอาหารพร้อมข้าว
ทั้งสองคนไม่มีใครคุยกับใคร จนสุดท้ายเหมือนคิดอะไรได้ขึ้นมา ยู่ยี่เงยหน้าขึ้น “คุณเมื่อวานตอนค่ำนั้นจงใจใช่ไหม?”
อาคิระที่กำลังทานอาหารเย็นนั้นยักไหล่ ปิดปากเงียบไม่บอกอะไรสักคำ ปล่อยให้เธอว่ามันเป็นมายังไง
“อะไรจะเกิดสุดท้ายก็ต้องเกิด คุณคิดว่าจะขัดขวางไว้ได้อย่างนั้นเหรอ?”
อาคิระเงยหน้าขึ้น สายตามองออกไปอีกครั้ง ไม่แสดงท่าทีใดๆ “ตอนที่เจอกันครั้งแรก คุณไม่ได้น่ารำคาญขนาดนี้นะ”
“เหมือนกัน ในที่สุดพวกเราก็มีความคิดตรงกันสักครั้งหนึ่ง” ยู่ยี่ไม่เห็นด้วย กินน้ำซุปคำหนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วไปที่ห้องนอน
เธอทำงานถึง 4 ทุ่ม แล้วไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน ฉันทัชยังคงไม่กลับ ทั้งยังไม่โทรศัพท์หาเธอ หรือส่งข้อความมาหา
ยู่ยี่เปิดสมุดรายชื่อ ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่โทรไป ไม่แน่ว่าเขาตอนนี้อาจจะกำลังยุ่งมากอยู่
เธอนอนหลับอย่างสบาย และในเช้าตรู่วันต่อมา ก็ตื่นขึ้นตั้งแต่เช้า ในเวลา 6 โมงตรง วันนี้ฉันทัชไม่อยู่ เธอจึงจำเป็นต้องไปทำงานด้วยตัวเอง
ตอนที่เขาอยู่นั้น เธอสามารถนอนต่ออย่างขี้เกียจได้อีก 20 นาที ตอนนี้เขาไม่อยู่ เธอจำเป็นต้องตื่นแต่เช้า ไม่อย่างนั้นจะไปขึ้นรถไม่ทัน
เมื่อเธอเดินมายังห้องนั่งเล่น อาคิระกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ทั้งยังอ่านอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย ส่วนกาแฟถูกวางไว้ข้างหน้า ยู่ยี่กลอกตาเล็กน้อย อุ่นชานมมาแก้วหนึ่ง
“ในตอนแรกก็คิดว่าความรู้สึกของคุณกับสามีไม่เข้ากันถึงได้หย่า ที่แท้ก็ถูกผู้หญิงคนอื่นขโมยสามีไปนี่เอง” อาคิระมองมาที่เธอ แล้วเอ่ยขึ้น
ยู่ยี่ขมวดคิ้ว รู้สึกบางอย่างดูแปลกไป มือของเธอหยิบหนังสือพิมพ์ พลิกเปิดดู หลังจากนั้นก็เห็นหัวข้อข่าวหน้าหนึ่งที่กล่าวถึงเธอ หัสดิน และเรนนี่
ขอบเขตข่าวทั้งหมดนั้นกว้างมาก แต่ในเนื้อหากลับกล่าวถึงเธอน้อย เนื้อความส่วนใหญ่นั้นโจมตีไปที่เรนนี่ วิจารณ์ว่าเธอทำผิดศีลธรรม ทำตัวเป็นเมียน้อย ขโมยสามีของคนอื่น และสุดท้ายก็พบจุดจบที่เลวร้ายถูกทอดทิ้ง ไม่ได้อะไรทั้งนั้น เสียทั้งความสวยเสียทั้งผู้ชาย ทั้งยังแปดเปื้อนไปด้วยชื่อเสียงฉาวโฉ่……
เนื้อหานั้นยาวจริงๆ เกิอบกินพื้นที่หน้ากระดาษหนังสือพิมพ์นี้ไปหนึ่งในสามส่วน คุณหัสดินในฐานะประธาน อาถรรพ์รัก 7 ปี ที่แต่งงานกับคนรักในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย สุดท้ายก็ไม่สามารถหนีพ้น
เธอมองดูหนังสือพิมพ์อีกครั้ง เป็นหนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุดในเมือง S พาดหัวข่าวแบบนี้ กลัวว่าจะรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองไปแล้วน่ะสิ……
ยู่ยี่คิด ชื่อเสียงของเรนนี่ ครั้งนี้ยิ่งดังกระฉ่อนขึ้นไปอีก เพียงแต่ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ทั้งไม่ยินดียินร้าย ทั้งไม่หาปัญหาให้ตัวเอง เธอนั้นแอบภูมิใจในตัวเอง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดไม่จำเป็นต่อเธอเลย
ทำได้แค่บอกว่าคน 1 คนมีเส้นทางเป็นของตัวเองเส้นหนึ่ง ทุกคนเดินในทางที่ไม่เหมือนกัน พบเจอทิวทัศน์ก็ไม่เหมือนกัน
หนังสือพิมพ์ถูกวางไว้บนโต๊ะอาหารตามใจชอบ ยู่ยี่ไม่ได้สนใจมันมากนัก วันนี้แม่บ้านขอลาหยุด และอาหารเช้าของอาคิระจะไปมีส่วนของเธอได้อย่างไร เธอรู้ตัวเธอดีอยู่แล้ว
ระหว่างทางไปทำงาน เธอซื้ออาหารเช้าตามใจตนเอง มีน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ เดินไปกินไป เพื่อประหยัดเวลา
เธอถึงบริษัทในเวลา 7 โมง 50 นาที ยู่ยี่คิดว่าตัวเธอนั้นรักษาเวลาได้อย่างดีมาก
แต่ว่า ตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในตึกของบริษัท เธอก็สามารถรู้สึกได้ว่าสายตาของพนักงานที่ผ่านไปมารอบข้างตัวเธอนั้นพุ่งเป้ามาที่เธอ
ยู่ยี่ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่า เป็นเพราะหนังสือพิมพ์ที่รายงานข่าวนั้นถูกแพร่ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะดึงดูดสายตาได้มากขนาดนี้จากที่ไหน?
ข้อเท็จจริงถูกพิสูจน์แล้ว การคาดเดาของเธอไม่ผิดไปตามที่คาด ตอนที่เดินเข้าที่ทำงานนั้น ก็สามารถเห็นได้ว่ามือของทุกคนถือหนังสือพิมพ์ไว้เกือบจะทั้งหมด ทุกคนดูอ่านอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะผู้จัดการ แคะขี้มูกไปพลาง นั่งไขว่ห้างอ่านหนังพิมพ์ไปพลางด้วยท่าทีสนอกสนใจ
เป็นไปตามที่คาด ที่ทำงานนั้นเป็นสถานที่ซุบซิบนินทาเยอะที่สุด