ตอนที่ 680 ขอเพียงให้นางมีความสุข
“เจ้าสำนักจง เสียดายที่จิ่วซือแต่งงานแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้านางแต่งงานกับเจ้าสำนักจง คงจะมีความสุขตลอดชีวิต นึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักจงจะเป็นห่วงซูจิ่วซืออย่างนี้”
กู้หลียวนพูดอย่างชื่นชม
เมื่อก่อนตอนถูกจับมาที่สำนักวิหคเขียว เขามีอคติต่อจงมั่วเจียงมาตลอด รู้สึกว่าจงมั่วเจียงเป็นมือสังหารที่ใช้วิธีต่ำช้าไร้ความปรานี ต่อมาพอเห็นจงมั่วเจียงทำเพื่อซูจิ่วซือลับหลัง เขาจึงเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อจงมั่วเจียง มือสังหารคนนี้ลุ่มหลงในความรัก ความรักที่เขามีต่อซูจิ่วซือไม่ได้น้อยกว่าฟู่เฉินหรง
แต่ความรักเป็นเรื่องของวาสนา ทั้งสองพบกันแต่ไม่มีวาสนาต่อกัน ไม่เช่นนั้นจงมั่วเจียงคงเป็นทางเลือกที่ดี
“ชาตินี้ซูจิ่วซือคงไม่ให้อภัยข้า ช่างเถอะ จำข้าด้วยวิธีนี้ก็ได้ จะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไร หลังจากนี้หลายปีคงนึกไม่ออกแล้วว่าข้าเป็นใคร”
จงมั่วเจียงยิ้มอย่างขมขื่น
“เวลานี้จิ่วซือกำลังโกรธ วันหลังนางคงเข้าใจเจตนาของเจ้า วางใจเถอะ นางไม่โกรธเจ้าไปตลอดชีวิตแน่”
เผยปิงปิงพูดปลอบใจ
“คงไม่อยากเจอหน้าข้าอีก เอาละ พวกเจ้าไปเถอะ! ข้าเองก็จะกลับสำนัควิหคเขียว”
จงมั่วเจียงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงออกปากส่งแขก เผยปิงปิงสั่งเสียสองสามคำแล้วตามกู้หลียวนออกจากเรือน
พอทุกคนจากไปแล้ว จงมั่วเจียงจึงแบมือออก ในมือมีปิ่นทองเปื้อนเลือด เป็นปิ่นที่ซูจิ่วซือดึงออกมาจากผม รูปทรงเรียบง่าย มีลายดอกบัว
จงมั่วเจียงหาผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาเช็ดรอยเลือดออก ทำอย่างระมัดระวัง ราวกับว่าปิ่นนี้เป็นของล้ำค่าที่สุดในโลก พอเช็ดรอยเลือดแล้ว ก็ลูบปิ่นบนฝ่ามือเบาๆ
ตอนที่เขารู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของเผยปิงปิงนั้น เขาแทบไม่ลังเลที่จะให้หมอปรุงยาขับประจำเดือน เพื่อลดผลกระทบต่อร่างกายของซูจิ่วซือ เขาไปที่โรงหมอที่ดีที่สุดในตูเฉิง กำชับให้หมอในโรงหมอ ใช้ยาที่ออกฤทธิ์ไม่รุนแรง ไม่เป็นผลร้ายต่อร่างกาย
เขารู้ว่าการทำอย่างนี้ไม่มีโอกาสย้อนกลับไปใหม่ ซูจิ่วซือต้องโกรธเขาแน่
ถ้าเขาไม่ทำ เขาเดาว่าฟู่เฉินหรงก็คงทำอย่างนี้ เพราะความรักที่มีต่อซูจิ่วซืออย่างล้ำลึก ย่อมต้องใส่ใจชีวิตของนาง ไม่มีวันปล่อยให้นางตาย พอถึงเวลานั้นความรักของฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือย่อมสั่นคลอน เขาสามารถถือโอกาสเข้าไปแทรกได้
ขณะที่ความคิดนี้เข้ามาในสมอง เขาก็รีบปฏิเสธทันที เขารู้ว่าซูจิ่วซือรักฟู่เฉินหรงมากเพียงไร ไม่อยากให้ทั้งสองทะเลาะกันอย่างนี้ คนที่เจ็บปวดก็คือซูจิ่วซือ ในเมื่อจำเป็นต้องมีคนเล่นบทคนร้าย เขาขอแสดงเอง
เขาเพียงแต่อยากให้ซูจิ่วซือมีความสุข
ถ้าไม่ทำ เขาคงไม่รู้ว่าตนสามารถทำเพื่อผู้หญิงได้ถึงขั้นนี้
ตลอดชีวิต ซูจิ่วซือคือคนที่เขาห่วงไยไม่มีวันสลัดพ้น
เมื่อสลัดไม่พ้น ก็ต้องเอามาใส่ไว้ในหัวใจ สุดท้ายเขาก็ก้าวบนเส้นทางเดิมของอาจารย์
เมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์จึงหลงงมงาย และรู้สึกว่าอาจารย์บ้าไปแล้ว เวลานี้เขาเข้าใจ เขากับอาจารย์เป็นคนประเภทเดียวกัน
แม่นาง เจ้าต้องอยู่ให้มีความสุข ปิ่นนี้ข้าจะเก็บไว้ ถือว่าเป็นของที่ระลึกที่เจ้ามอบให้ข้า
ฟู่เฉินหรงพาซูจิ่วซือไปส่งที่วังเจาหยาง หมอหลิวรอซูจิ่วซืออยู่ก่อนแล้ว
พอเห็นฟู่เฉินหรงกับซูจิ่วซือกลับมา เขาก็จับชีพจรให้ซูจิ่วซือและจัดยาทันที นางกำนัลรีบช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ซูจิ่วซือ ระหว่างนี้ ซูจิ่วซือไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้คนอื่นทำกับนาง
ตอนที่ 681 เจ้าไม่ใส่ใจข้าจริงหรือ
ฟู่เฉินหรงเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด ไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน สีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังเป็นห่วงซูจิ่วซือ
ปิงซินยกยาที่ต้มเสร็จเข้ามา ฟู่เฉินหรงรับยาจากมือปิงซิน ทำท่าให้นางออกไป แล้วนั่งที่ขอบเตียงซูจิ่วซือ
ฟู่เฉินหรงยกชามยา ใช้ช้อนคนน้ำต้มสีดำ มาชิมเองคำหนึ่งแล้วบอก “จิ่วซือ ยาหายร้อนแล้ว กินหน่อย คนดี”
ซูจิ่วซือมีหมอนพิงข้างหลัง สีหน้ายังคงซีดเซียว นางหันมามองฟู่เฉินหรง เห็นฟู่เฉินหรงดูแลใกล้ชิดอย่างนี้ ในใจรู้สึกซาบซึ้ง แต่พอนึกถึงลูกที่จากไป ก็ปวดร้าวใจขึ้นมา
ชาติก่อน นางป่วยตลอดเวลา ถูกพรากลูกไป ตายตาไม่หลับ ไม่ได้เห็นหลียวนกับชิงเฉิงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นเรื่องที่นางเสียดายมาก
ชาตินี้นางพบกับความเจ็บปวดของการถูกพรากลูกอีกครั้ง เห็นลูกกลายเป็นเลือดกองหนึ่ง แม้จะเพื่อนางเอง แต่ชั่วเวลานี้นางไม่อาจยอมรับและเผชิญหน้าได้
ฟู่เฉินหรงยื่นมือไปลูบหัวของซูจิ่วซือ พูดเบาๆ น้ำเสียงเหมือนปลอบเด็ก “ยานี้ข้าชิมแล้ว ไม่ขม จิ่วซือ รีบกินตอนที่ยังอุ่น เวลานี้เจ้ากินของเย็นไม่ได้”
ซูจิ่วซือรับชามยาจากมือฟู่เฉินหรง แหงนหน้าดื่มรวดเดียวหมด
ฟู่เฉินหรงนั่งข้างๆ พอเห็นซูจิ่วซือเป็นอย่างนี้ สายตาก็เต็มไปด้วยความห่วงใย เข้าใจการตัดสินใจของซูจิ่วซือ เขาเองก็อยากตามใจซูจิ่วซือ แต่หลังจากสอบถามความเห็นจากหลายคน ก็ได้รับคำตอบว่าพิษหนอนไหมต้องกำเริบแน่ เรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้
พอได้ยินอย่างนี้ ฟู่เฉินหรงก็ไม่กล้าเสี่ยง
ถ้าเป็นเรื่องอื่น เขาไม่กลัว แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของซูจิ่วซือ เขากลัว
ฟู่เฉินหรงรับชามที่ซูจิ่วซือยื่นคืน แล้วลุกขึ้นเอาชามวางบนโต๊ะ เห็นซูจิ่วซือไม่อยากพูด จึงยื่นมือไปจับมือซูจิ่วซือ มือของนางเย็นเยียบ
“จิ่วซือ เจ้าไม่ใส่ใจข้าแล้วหรือ”
โอรสสวรรค์ผู้องอาจ ยามนี้กำลังพูดกับซูจิ่วซือด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร
ซูจิ่วซือกวาดตามองฟู่เฉินหรงแวบหนึ่ง เห็นตาของเขาเขียวคล้ำ ในใจรู้สึกเป็นห่วง แต่น้ำเสียงกลับห่างเหิน “หม่อมฉันง่วงแล้ว เชิญฝ่าพระบาทเสด็จกลับ ช่วงนี้หม่อมฉันสุขภาพไม่ดี ไม่อาจถวายการรับใช้ฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทตรวจฏีกาเสร็จไม่จำเป็นต้องเสด็จมานี่ หม่อมฉันจะนอนเร็วหน่อยเพคะ”
ฟู่เฉินหรงยังไม่ทันตอบ ซูจิ่วซือก็นอนหลับตา ฟู่เฉินหรงห่มผ้าให้ แล้วออกไปจากห้อง
ทันทีที่ฟู่เฉินหรงออกไป ซูจิ่วซือก็ลืมตาขึ้น เวลานี้นางไม่ง่วงแม้แต่น้อย เหมือนฝันร้าย ไม่กล้าหลับตา เกรงว่าพอหลับตาแล้วจะเห็นลูกที่ยังไม่เกิด
นางเบิ่งตากว้างมองมุ้งเหนือศีรษะ น้ำตาไหลออกมา หยดบนหมอน นางไม่ได้ยกมือขึ้นเช็ด ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานในที่สุดก็ระบายออกมา
หลังจากนั้นซูจิ่วซือก็อยู่แต่ในวังเจาหยางไม่ออกไปไหน ฟู่เฉินหรงมาหาซูจิ่วซือทุกวัน แต่ซูจิ่วซือแทบไม่พูดสอะไรกับเขา ส่วนใหญ่ฟู่เฉินหรงเป็นคนพูด ซูจิ่วซือได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ
ไม่นานคนทั่ววังหลวงก็รู้ว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาขัดแย้งกัน เนื่องจากเดิมทีฟู่เฉินหรงจะอยู่กับซูจิ่วซือทุกวัน เวลานี้ตกกลางคืนจะกลับมาอยู่ตามลำพังที่วังเฉิงเฉียนกง