… จวนสกุลลี่ …

ลี่โย่วหลานอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง  มีภาพวาดบุคคลขนาดเล็กเบื้องหน้า

ผู้ที่อยู่ในภาพมีดวงตาเปล่งประกายและฟันสีขาว  สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คือภาพรอยยิ้มองค์หญิงหลิงเมิง  ลี่โย่วหลานควรค่าเพียงพอขนานนามว่าปราดเปรื่องในท่ามกลางคนรุนเดียวกันใน อาณาจักรเทียนเชียง  เขาวาดภาพองค์หญิงหลิงเมิงราวกับมีชีวิตด้วยตัวเอง  ซึ่งยึดตามภาพที่ลึกซึ่งของนางซึ่งเขาจดจำไว้ในใจ

แต่กระนั้น ดวงตาของลี่โย่วหลานตรึงไว้ด้วยความเจ็บปวด …

เป็นไปได้ว่า …. ปฏิบัติการเพิ่งเริ่มขึ้น ….

หลิงเมิง ….

ลี่โย่วหลาน มองขึ้นไป และหลับตาลงเด็ดขาด  ทันใดนนั้น เสียงร่ำร้องปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก … ซึ่งมันมาจากก้นบึ้งหัวใจ  เสียงดังประหนึ่งสัตว์ที่เห่าหอนอย่างเจ็บปวดเจียนตาย น้ำเสียงแหบห้าวและโศกเศร้า  จากนั้นเขาต่อยกำแพงอย่างบ้าคลั่งด้วยกำปั้นที่ปวดร้าว

กำปั้นอันทรงพลังปะทะเข้ากับผนัง  ไม่นานมันปกคลุมไปด้วยเลือด และเริ่มหยดลงธรณี

ดูคล้ายลี่โย่วหลานมิได้หลับนอน แท้จริง เขาท่าทางว้าวุ่น  ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ขณะหลับตา และน้ำตาหยดลงจากดวงตาอย่างเงียบงัน …

ข้าขอโทษ !  ที่รักข้า !

…. เพื่อเพิ่มอิทธิพลของเขา และทำให้อาจารย์พึงพอใจ … ข้าต้องเสียสละเจ้า … !  ข้าไร้ซึ่งทางเลือกอื่นใด …

จวินโม่เซี่ย และ จวินวูอี้เคลื่อนออกห่างจาก หอชนชั้นสูง อย่างเชื่องช้า  พวกเขาเตือนถังหยวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ซื้อสมุนไพรที่เอ่ยไว้ และจัดเก็บไว้ในสถานที่เหมาะสม  ดูเหมือนพวกเขาพึงพอใจเมื่อจบวันที่วุ่นวาย และเริ่มเดินทางกลับจวน

เมื่อคำนึงถึงเรื่องวันนี้ โดยรวมแล้วน่าพึงพอใจ … เว้นแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝัน  ราคาระหว่างการประมูลสุราแสนพิเศษนี้สูงส่งไปถึงจุดที่แม้จวินโม่เซี่ยก็มิอาจคิดฝัน  อาจบอกได้ว่า พวกเขากลับบ้านพร้อมด้วยรางวัลแห่งความพยายาม

องค์ชายสามใช้ตำแหน่งทรงอำนาจของเขากระทำชั่วร้ายในตอนท้าย  แต่กระนั้น ก็มิได้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้าย เมื่อนายน้อยจวินได้ใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นั้น และสำเร็จในการฝังเมล็ดพันธ์ลงไปในความคิดและจิตวิญญาณของหยางมู่น้อย  เขาสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อปลุกระดม หรือกำจัดเป้าหมายมากมายได้

และย้อนกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง … ชุดสุดท้ายของสุราหลายร้อยโถนั้นเป็นส่วนของ องค์รัชทายาท ดังนั้น พวกมันจึงเป็นส่วนหนึ่งในส่วนแบ่งของ องค์รัชทายาท จึงดูเหมือนว่า สกุลจวินและ หอชนชั้นสูง  มิได้เกี่ยวพันโดยตรง แม้นจะคิดเช่นนั้นจักไร้สาระ แต่มันคือความจริง ….

องค์ชายมิได้ปฏิบัติต่อ ฝ่ายองค์รัชทายาทในระดับเดียวกับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเป็นไปได้ที่จวินโม่เซี่ยจะออกโรงช่วยเหลือพวกเขา  เพราะว่า … มันไม่คู่ควร !

จวินโม่เซี่ยมิได้แสวงหาเพียงผลกำไรอย่างเลวทราม  แต่กระนั้น เขามิเคยติดตามเรื่องที่เขาเองมิได้รับสิ่งใดตอบแทน  นี่คือ จรรยาบรรณแห่งมือสังหาร  และนี่คือสิ่งที่จวินโม่เซี่ยปฏิบัติตาม ในชีวิตก่อนและชีวิตนี้

วีรบุรุษ … ข้าปล่อยให้หน้าที่นั้นเป็นของผู้อื่น  ข้าจักทำในสิ่งที่ต้องการ … สิ่งที่หัวใจปรารถนา … สิ่งที่ข้ารัก  ข้าตัดสินในสิ่งที่ข้ารัก ข้าตัดสินในสิ่งที่ข้าทำ … ไม่มีผู้ในใโลกอันเลวทรามนี้ควบคุมข้าได้ !

อิสระที่แท้จริง !  นี่คือเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของจวินโม่เซี่ย สิ่งที่เขาแสวงหาในชีวิต

จวินโม่เซี่ยเคยกล่าวก่อนที่หอชนชั้นสูงจะเปิด

” ข้าจักนำพา หอชนชั้นสูง ไปถึงวันที่มันสามารถขายของได้เพียงพอจะค้ำจุนสกุลไปได้สามปี ! “

แต่กระนั้น วันแห่งความสำเร็จมิอาจกาวข้ามเป้าหมาย ?  บางที ทั้งสกุลอาจกินอยู่ได้ตลอดชีวิตด้วยเงินมหาศาลนี้ …

ไฮ่เฉินเฟิง ผู้ที่ตอนนี้รู้จักในนาม ผู้นำก๊กไฮ่ มิได้รับสุราพิเศษนั้นแม้แต่โถเดียว  แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ยได้ส่งมอบให้เขาไปห้าสิบโถโดยปราศจากค่าใช้จ่ายใดๆ การปฏิบัติเช่นนี้จะต้องมีสำหรับผู้ที่อยู่ฝ่ายเขา

” ข้าเสอนราคาหนึ่งล้านตำลึง “

… ลูกค้า สวรรค์เชวียน ยกระดับราคาประมูลขึ้นหลากหลายครั้ง  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับสุราห้าสิบโถและกลับไปยังที่กบดานของเขาอย่างรื่นรมย์  เขาป่าวประกาศว่าเขาได้รับมันมาในระหว่างการประมูล เนื่องจากเขาคือ ชนชั้นสูง  ….

จวินโม่เซี่ยกำลังขี่ม้า ในขณะที่ จวินวูอี้นั่งอยู่ในเกี้ยว  ทั้งสองเก็บมือไว้ในปลอกแขน  อารมณ์ของพวกเขาร่างเริงแต่จริงจัง  ทั้งสองคิดถึงแผนการณ์ในอนาคต และการเตรียมกำลังพลที่จำเป็น ทั้งคู่ต่างคิดคำนวนตลอดเส้นทางกลับจวน  น่าแปลกที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา

น้าหลานรู้ว่า ยุทธการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นยากยิ่ง  แต่กระนั้น พวกเขามิอาจพ่ายได้ และจักต้องชนะเท่านั้น  พวกเขาจำต้องชนะ แต่พวกเขาประสงค์จะชนะอย่างสวยหรู พวกเขาต้องการมีชัยอย่างไร้ที่ติ

อย่างไรก็ตาม ศัตรูมีความแข็งแกร่งเกินกว่าพวกเขา

ควรจะต่อสู้ในครั้งหน้าเช่นไร ?

เรื่องราวของผู้ที่อ่อนแอเอาชะผู้ที่แข็งแกร่งถูกเล่าขานมาเนิ่นนาน แต่กระนั้น พวกเขามิได้เพียงแต่ใช้ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแกร่ง แต่พวกเขาชนะสงครามโดยไร้ซึ่งความเสียหาย  และชะตากรรมเช่นนี้จะเป็นเรื่องยากเนื่องด้วยนี่คือชีวิตจริง … มิใช่เรื่องเล่าจินตนาการ

ขบวนของสกุลจวินเดินทางไปได้ไม่ไกล ในตอนที่จวินโม่เซี่ยเห็นเข้ากับเงาในที่ห่างไกล  เงาร่างนั้นพุ่งเข้าใส่เขาประหนึ่งสายฟ้า  เขามิอาจจดจำสิ่งใดได้ แต่เงาสีขาวขนาดเล็กนั้นเข้ามเกาะร่างของเขาแล้ว  มันร้องอย่างรีบเร่งขณะคร่ำครวญเสียงแหลม  กรงเล็บดึงรั้งจวินโม่เซี่ยไม่หยุดหย่อน ดวงตาของมันเปียกปอนไปด้วยความกังวล

” เกิดอันใด ? “

จวินโม่เซี่ยสังเกตุเห็นเศษผ้าสีเขียวอ่อนที่ผูกติดกับข้าเจ้าขาวน้อยอย่างรวดเร็ว  เขาจดจำลักษณะของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ ได้ชัดเจนก่อนางจากไป นางสวมชุดสีเขียวอ่อน  และตอนนี้เศษผ้านั้นมีสีเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น มันเปรอะเลือด

ตู่กู้เซี่ยวอี้ กำลังประสบปัญหา !

จวินโม่เซี่ยตึงเครียดขึ้นทันที  เขารู้สึกราวกับหัวใจโดนบางสิ่งบีบรัด  กลิ่นอายที่มั่นคงของเขาบัดนี้สับสน  รอยยิ้มที่น่ารัก งดงามดั่งบุปผา ..และประสงค์ร้ายของ ตู่กู้เซี่ยวอี้ บัดนี้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา …

ข้าเริ่มห่วงใยเด็กสาวผู้นี้เมื่อใดกัน ?

จวินโม่เซี่ยไม่มีเวลาให้คิดสิ่งนี้  มีเพียงความคิดเดียวในหัวของเขา

ข้าจักต้องช่วยนาง !

” ท่านน้าสาม ตู่กู้เซี่ยวอี้ อยู่ในอันตราย ข้าจักไปตรวจสอบ ! “

จวินโม่เซี่ยกดขาเข้าด้านข้างของม้า และมันร้องลั่นขึ้นตอบรับ ขาคู่หน้ายกชูขึ้นในอากาศขณะที่มันยืนด้วยขาหลัง  พวกมันมิได้ประทับลงเลยขณะที่ขาหลังของมันก้าวไปข้างหน้า  จากนั้น มันกระโจนขึ้น และ พุ่งห่างไปดั่งเกาทัณฑ์  กีบเท้าของม้าหมุนวนและก้องสะท้อนอย่างบ้าคลั่งดั่งพายุ ขณะจวินโม่เซี่ยติดตามเงาของเจ้าขาวน้อยไป ด้วยความเร็วอันยอดเยี่ยม

สายลมหวีดหวิวขณะม้าเลี้ยวตรงมุมถนน ราวกับมีเมฆดำลอยลงมายังอานม้าของจวินโม่เซี่ย  แต่กระนั้น ดูเหมือนว่าผู้มาใหม่นี้จะไร้น้ำหนัก  ความจริงแล้ว ม้าที่แข็งแกร่งนี้ดูเหมือนจะเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อมันบ้าคลั่ง

คนผู้นั้นคือ จวินวูอี้ !

ใบหน้าของขุนพลเลือดเย็นนี้เต็มไปด้วยประกายเย็นชา

จวินโม่เซี่ย มอง ตู่กู้เซี่ยวอี้  ด้วยเสน่หา  เหตุใดผู้ที่มากประสบการณ์เช่นจวินวูอี้จักดูไม่ออก ?  สำหรับเขา ตู่กู้เซี่ยวอี้ ดีพอจะเป็นภรรยาของหลานชายเขา เขาจักปล่อยให้มีผู้ใดทำอันตรายนางได้อย่างไร ?

เขาไม่ปล่อยให้ผู้ใดคุกคามนางได้เแม้เพียงเส้นขน

นี่คือกรอบความคิดของสกุลจวิน  เช่นเดียวกับ กวนเซียงฮั่น และสาวน้อยผู้นี้เช่นกัน

จวินวูอี้ไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเศร้าขึ้นในชีวิตของเขาอีกครั้ง  หากจำเป็น เขาจักทำลายทุกสิ่งเพื่อปกป้องภรรยาของหลานชายไว้

ดังนั้น จวินวูอี้ จะนิ่งเฉยหลังได้ยินเรื่องนี้ได้อย่างไร ?

ม้าที่แข็งแกร่งร้องออกมาอย่างดุร้ายขณะควบเต็มกำลังดั่งสัตว์บ้าคลั่ง  ราวกับเสียสติไป  มันเลี้ยวตรงมุมหนึ่งหลังจากมุมหนึ่ง และหายไปในที่ห่างไกล

ทิ้งไว้เพียงลมฝุ่นเบื้องหลัง ซึ่งจางหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางลมในสาทรฤดู

ตู่กู้เซี่ยวอี้  และ ซุนเซี่ยวเหม่ย คิดเห็นเช่นเดียวกัน คือส่งเจ้าขาวน้อยออกไปยังสกุลตู่กู้เพื่อขอความช่วยเหลือ  มีเพียงยอดฝีมือจากสกุลตู่กู้ที่คาดว่ามีโอกาสต่อกรกับภัยเช่นนี้ได้  ผู้อื่นอาจจะไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญกับยอดฝีมือสวรรค์เชวียนชั้นสูงห้าคนเช่นนี้

แม้นจะสอดคล้องกัน … ความคิดของพวกเขาไร้เดียงสา … ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าขาวน้อยยังเล็กนัก และมิอาจเข้าใจคำพูดของพวกนางได้อย่างชัดเจน  แต่กระนั้น มันยังเข้าใจว่า เจ้านายของมันประสบกับอันตราย และมันเข้าใจว่าเจ้านายส่งมันไปเพื่อหากำลังเสริม

แต่ มันจะมองหาผู้ใด ?

ธรรดา มันจะต้องมองหาผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังที่สุดที่มันคิดออก …

เจ้าขาวน้อยปราดเปรื่องนัก แต่กระนั้น มันเพียงสองผู้ในโลกที่อยู่ใกล้ที่สุด ผู้หนึ่งคือเจ้านายของมัน ตู่กู้เซี่ยวอี้  และอีกผู้คน คนดี ผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในความคิดของเจ้าขาวน้อย จวินโม่เซี่ย !

คนผู้นี้ช่วยมันพัฒนาระดับขั้นในวัยเด็ก เหตุใดเขาจึงมิใช่ผู้ที่แข็งแกร่ที่สุด ?  เช่นนั้นจะมีผู้ใดอีกที่มันจะมองหา เมื่อเจ้านายของมันประสบภัยคุกคาม และต้องการกำลังเสริม ?

ดังนั้น เจ้าขาวน้อยจึงมองหาจวินโม่เซี่ย  อย่างไรก็ตาม มันไม่ประสงค์จะไปยังสกุลตู่กู้เพื่อขอความช่วยเหลือ

พวกเครายาวป่าเถื่อนเหล่านั้นมีประโยชน์อันใด ?  พวกเขาอาจะเทียบชั้นกับ ชายผู้เลิศล้ำผู้นั้นได้กระนั้น ?

เจ้าขาวน้อยดูถูกพวกเขา

แต่กระนั้น … หากมันไปขอความช่วยเหลือที่สกุลตู่กู้ … เหล่ายอดฝีมืออาจจะมาถึงไม่ทันเวลา  ดังนั้น เจ้าขาวน้อยจึงตัดสินใจได้ถูกต้องโดยที่ไม่ตั้งใจและไม่รู้

เจ้าขาวน้อย มิอาจเอ่ยวาจาใดได้  ดังนั้น การพยายามของมันจักไร้ประโยชน์หากไปยัง จวน สกุลตู่กู้  พวกเขาจักต้องส่งทหารของพวกเขามา หากตัดสินว่า ตู่กู้เซี่ยวอี้ อยู่ในอันตราย  แต่กระนั้น มันไม่ง่ายที่พวกเขาจะสามารถเตรียมการมาเพื่อรับมือกับ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนห้าคนนี้  คนเหล่านั้นคงจะถูกกำจัดไปไม่ช้านานหรอกหรือ ?

กระบี่ร่วงลงหล่งลง ปราณเชวียนซึ่งอยู่ที่ฝ่ามือของเขาถูกส่งออกไปแล้ว

อยี่กู้ฮั่น ถูกศัตรูปิดล้อมทุกทิศทาง  เขาคงจะรีบถอยร่นอย่างรวดเร็วแล้วหากมิใช่เพราะความปลอดภัยของหลิงเมิ่ง มันคงจะยากเย็นมิใช่น้อย   เขาสามารถล่าถอยได้หากใช้กำลังที่เหลืออยู่  เขาสามารถใช้เคล็ดเพื่อเหาะหนีไปไกลได้อย่างรวดเร็ว  เขาอาจได้รับบาดเจ็บมากมาย … แต่การพุ่งหนีไปอาจเป็นไปได้

แต่กระนั้น องค์หญิงหลิงเมิงยังหนีไปได้ไม่ไกลพอ  ด้วยเหตุนี้ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนทั้งห้าสามารถจับตัวนางได้อย่างไม่ต้องสงสัย หากเขาตัดสินใจล่าถอยไปในตอนนี้  เขาไม่รู้เหตุใดพวกเขาประสงค์จะจับตัวนาง  ทั้งหมดที่รู้คือ เขาเลือกตายแทนที่หลิงเมิงจะตกในเงื้อมมือของพวกเขา

เขามิได้เสแสร้ง แต่เขาแค่กระทำตามหน้าที่

ข้ารู้ว่าจักต้องตายเป็นแน่แท้  แต่ข้าจักต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่มี

ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ข้าจักกลัวสิ่งใด ?!

อยี่กู้ฮั่น ยืนตัวตรงตระหง่านประหนึ่งภูผา กระบี่ปรากฏขึ้นข้างร่างของเขาทันที  มันโค้งเข้าหาขณะเขาหลบหลีก  แต่เมื่อมันถอยไป กระบี่อีกเล่มพุ่งเข้ามาแทนที่  จากนั้น มีกระบี่อีกเล่มปรากฏขึ้นพร้อมด้วยประกายสีครามแพรวพราว และเปล่งประกายพร้อมจะเจาะทะลุร่างศัตรู

ฉึบบ !

กระบี่เสียบเข้าไปในท้องส่วนล่างของ อยี่กู้ฮั่น  กระบี่อีกสองเล่มแฉลบไปทั่วร่างของเขา พวกมันฉีกเสื้อผ้าเป็นชิ้นๆ  ตามมาด้วยเลือดที่พุ่งดั่งสายน้ำ  สองฝ่ามือทีทรงพลังดั่งสายฟ้าปะทะเข้าใส่อกเขา

” ตุบ !  ตุบ ! “

เสียงบดฟันดังก้องขณะซี่โครงเขาแตกหักภายใน  เลือดพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ดของเขาในทันที

อย่างไรก็ตาม คล้ายกับว่า อยี่กู้ฮั่น มีสีหน้าที่ร่าเริง  เขายิ้มอ่อนโยน … หรืออาจชั่วร้าย … แต่แลดูขื่นขมยิ่งบนใบหน้าเปื้อนเลือดของเขา

เพราะว่า ….