ตอนที่ 138 มาหาถึงที่ / ตอนที่ 139 เขาได้รับบาดเจ็บ

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 138 มาหาถึงที่ 

 

 

 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกว่าพอตนเองคิดเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เจ็บแผลแล้ว รู้สึกเหมือนเข็มที่เถิงเฟิงแทงเข้ามาที่ร่างนางนั้นไม่ได้แหลมคม พอนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหงื่อหยดลงจากหน้าผากเถิงเฟิง เขาคงเหนื่อยมาก 

 

 

“อย่าขยับ อย่าขยับ ใกล้เสร็จแล้ว” 

 

 

พอนางได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ค่อยๆ หลับตาลง ทนรับความเจ็บปวดอย่างเงียบๆ น้ำรอบๆ ตัวเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ ค่อยๆ แห้งเหือดลง นางมองดู หายใจหอบ ค่อยๆ ลืมเลือนไปทีละน้อย 

 

 

เมื่อถังเฉียนตื่นขึ้น นางยังคงนอนอยู่บนเตียง พอตื่นจิตใจก็รู้สึกปลอดโปร่ง ไม่มีส่วนไหนที่นางรู้สึกไม่สบาย ราวกับภายในร่างกายได้ผ่านการชำระล้างจนสะอาด แม้แต่วิญญาณก็พลอยใสบริสุทธิ์ไปด้วย 

 

 

ถังเฉียนลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แล้วโคจรพลังทิพย์ในร่าง รู้สึกว่าต่างจากที่ผ่านมา ราวกับไม่เพียงได้ขับพิษแมลงปีศาจออกไปจากร่างกาย แต่ยังทำให้ทั้งร่างพัฒนาขึ้น 

 

 

ถังเฉียนอดประหลาดใจไม่ได้ วิชาเร้นลับและยาของเผ่าพีส่าช่างล้ำเลิศจริงๆ 

 

 

“โครม!” 

 

 

ถังเฉียนไม่ทันได้พูดขอบใจเถิงเฟิง ประตูก็ถูกผลักเปิดออกจากข้างนอก นางเห็นหมอผีหญิงสวมหน้ากากบุปผาทองสามดอกในชุดสีแดงยืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าคือคนที่นางเห็นก่อนจะหมดสติในวันนั้นนั่นเอง 

 

 

“เจ้าเป็นใคร” 

 

 

ถังเฉียนไม่โง่ถึงขั้นที่ดูไม่ออกว่านางไม่ใช่ศิษย์พี่ถงถงเอ๋อร์ 

 

 

“อาหรูน่า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงชื่ออาหรูน่า รู้หรือไม่เจ้าทำร้ายเถิงเฟิงขนาดไหน เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากเขา” 

 

 

ถังเฉียนไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงโกรธเคือง แต่นางตวัดแส้ในมือฟาดใส่ใบหน้าถังเฉียน นางว่องไว เอี้ยวตัวหลบแส้ในชั่วพริบตา แต่เรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้ล่วงหน้าถึงทิศทางของแส้ ทำให้หลบหลีกได้อย่างแม่นยำ 

 

 

“บัดซบ บัดซบ!” 

 

 

ถังเฉียนมองดูแส้ของนาง จะปล่อยให้นางอาละวาดในห้องของตนเช่นนี้ไม่ได้ จึงจับแส้สีแดงเลือดไว้ กำไว้แน่น สองฝ่ายประจันหน้ากัน ถัดจากนั้นหงหลิงเอ๋อร์ก็ดีดนิ้ว ในห้องมีหมอกสีดำหนาทึบแผ่กระจายออกทันที ถังเฉียนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกร้อนใจ นางรู้ว่าหมอกของหมอผีนั้นส่วนใหญ่ใช้เพื่อกำบังตัว มักจะมีพิษร้ายแรง หรืออาจจะพิษแมลงปีศาจที่ร้ายแรงโผล่ออกมา 

 

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงต้องคอยจ้องทำร้ายข้า ข้าไม่เคยทำผิดอะไรต่อเจ้า” 

 

 

ถังเฉียนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหงหลิงเอ๋อร์จริงๆ ตั้งแต่แรกหงหลิงเอ๋อร์ก็คร้านที่จะพูดกับนาง จงใจทำตัวลึกลับ 

 

 

“เจ้ามันต่ำช้า ก็แค่บ่าวไพร่ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใครหรอก ขอเพียงเจ้าตายก็พอ” 

 

 

ทันใดนั้นแส้ในมือหงหลิงเอ๋อร์ก็อ่อนนุ่มลื่นไหลเปลี่ยนเป็นเหมือนงูตัวหนึ่ง เดิมที่ถูกถังเฉียนคว้าจับไว้ในมือ ชั่วพริบตาแส้ก็ย้อนกลับมาทิ่มใส่นาง มันแทงไปที่แขนถังเฉียนอย่างแรง จากนั้นก็หลุดออกจากมือนางและเลื้อยหนีไป แล้วมุดเข้าไปในแขนเสื้อของหงหลิงเอ๋อร์ 

 

 

“บังอาจ!” 

 

 

มีอีกคนมาที่หน้าประตู ถังเฉียนรู้สึกชาที่แขน ชุดเสื้อคลุมหมอผีขอบขลิบสีทองและดำ ช่างคุ้นตาอย่างยิ่ง  

 

 

“อาจารย์ นางเป็นใครกัน แส้ของนางกัดคนได้” 

 

 

ถังเฉียนมองแขนตัวเอง รู้สึกปวดแสบ เถิงเสวี่ยเดินเข้ามา เหลือบมองหงหลิงเอ๋อร์แล้วพูดว่า 

 

 

“หลิงเอ๋อร์ ยังไม่เอายาถอนพิษออกมาอีกหรือ จะรอให้อาจารย์ลงมือหรืออย่างไร” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 139 เขาได้รับบาดเจ็บ 

 

 

 

 

 

พอหงหลิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นดวงตานางแดงก่ำขึ้นทันที 

 

 

“นางเกือบทำให้เถิงเฟิงตาย นางเป็นปีศาจ เป็นนางจิ้งจอก อาจารย์ เถิงเฟิงเป็นหลานท่าน ท่านไม่เอ็นดูเขาหรือ ถึงได้ปล่อยให้เขาทุกข์ทรมาน” 

 

 

คำพูดหงหลิงเอ๋อร์ทุกคำเข้าหูถังเฉียนหมด ที่แท้นางโผล่มาก็เพราะเถิงเฟิง แต่เขาแค่ช่วยรักษานาง เหตุใดนางต้องโกรธเกรี้ยวเช่นนี้” 

 

 

“นั่นเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจเอง เจ้ากับข้าไม่มีสิทธิ์แทรกแซง ในเมื่อเขามอบพรให้อาหรูน่าแล้ว เท่ากับยอมรับฐานะของนางแล้ว เวลานี้นางมีฐานะสูงส่งกว่าเจ้า ถงเอ๋อร์ เอายาถอนพิษออกมาจากตัวนาง เอาให้อาหรูน่า และพานางกลับไป ลงโทษตามกฎสำนัก” 

 

 

“ลงโทษตามกฎสำนัก? อาจารย์ การทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ต้องถูกขับออกจากสำนัก อาจารย์ ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ชอบคุณชายเถิงเฟิงมาตั้งแต่เล็ก ครั้งนี้คงเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อาจารย์โปรดเมตตาด้วยเถอะ” 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกทั้งร้อนและคันที่มือ ยังเจ็บปวดลึกถึงกระดูก ดูเหมือนในร่างกายมีพลังสายหนึ่งกำลังต่อต้านกับมัน 

 

 

“เจ้าเตือนได้ทันเวลา” 

 

 

เถิงเสวี่ยร้องอืม แล้วหันมามองถงถงเอ๋อร์พลางพูดว่า 

 

 

“เช่นนั้นส่งนางกลับไปสำนึกผิดที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาเซิง เจ้าพานางไปส่ง หากข้าไม่อนุญาต ห้ามนางออกจากห้องแม้แต่ครึ่งก้าว” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” 

 

 

อาเซิงคว้ามือหงหลิงเอ๋อร์อย่างไม่ลังเล แต่นางขัดขืนเล็กน้อย เล็บมือของอาเซิงงอกยาวขึ้นทันที ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หงหลิงเอ๋อร์มองดูอาจารย์ ดูจะโกรธจริงๆ แล้วหันมามองถงถงเอ๋อร์พลางพูดว่า 

 

 

“ศิษย์พี่ ช่วยข้าฆ่านางด้วย ฆ่านางซะ!” 

 

 

ถงถงเอ๋อร์นิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไร หงหลิงเอ๋อร์ถูกคุมตัวออกไป ในห้องเหลือเพียงถังเฉียนซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว ถงถงเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น รวมทั้งเถิงเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ  

 

 

“อาจารย์ ที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร เถิงเฟิงล่ะ” 

 

 

เถิงเสวี่ยยื่นมือออกไป วางลงบนบ่าถังเฉียนเบาๆ ถังเฉียนเหมือนรู้สึกได้ว่าพลังทิพย์รอบๆ สั่นไหว 

 

 

“พรแห่งผู้บวงสรวงแห่งเผ่าพีส่าชั่วชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เป็นการมอบให้คู่ชีวิตแห่งดวงวิญญาณของเขา ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกเขาเลือก พลังทิพย์จะสูงขึ้น พรสวรรค์ก็สูงขึ้น จะมีแรงต้านทานและป้องกันตัวเองต่อหมอผีดำ เด็กอย่างเขาวู่วามเกินไป แต่ว่า สำหรับเจ้าแล้วกลับเป็นเรื่องที่ดีมาก ไม่ได้มีข้อเสียใดๆ” 

 

 

เถิงเสวี่ยพูดจบก็ถอนหายใจแล้วเตรียมผละจากไป แต่ถังเฉียนกลับรู้สึกว่าอาจารย์ยังมีคำพูดที่ยังพูดไม่หมด 

 

 

“อาจารย์ แล้วเถิงเฟิงจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้บวงสรวงอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ เขาเป็นอย่างไรกันแน่ เขาแค่รักษาโรคให้ข้าไม่ใช่หรือ”  

 

 

“เด็กโง่เอ๋ย เจ้าควรรู้เพียงว่าเวลานี้เขาจำเป็นต้องกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อพักฟื้น เมื่อคืนข้าจัดคนส่งเขาไปแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านเขาก็จะไม่เป็นไรแล้ว” 

 

 

พอถังเฉียนได้ยินว่ากลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็รู้สึกหวั่นใจทันที 

 

 

“เขาบาดเจ็บใช่หรือไม่ แล้วข้าจะไปเยี่ยมเขาได้หรือไม่” 

 

 

ขณะที่ถังเฉียนถาม สายตานางมองไปที่ถงถงเอ๋อร์ที่พื้น ขณะที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน นางรู้สึกว่าคุ้นเคย ส่วนดวงตาถงถงเอ๋อร์ฉายแววประหลาดใจออกมา 

 

 

“ถ้าเจ้าอยากไปก็รอหลังพิธีอัญเชิญเทพก่อนแล้วตามข้าไป แต่สิ่งที่เจ้าอยากได้ ข้าสามารถใจกว้างต่อเจ้าได้ แต่เผ่าพีส่าไม่ได้ใจกว้างอย่างเช่นที่เจ้าคิดหรอก” 

 

 

ถังเฉียนก้มหน้าลง นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า บาดแผลนางจะค่อยๆ ดีขึ้นใช่หรือไม่ เถิงเสวี่ยไปแล้ว ถงถงเอ๋อร์ตามออกไปทันที ก่อนจากไปนางหันมามองถังเฉียนแว่บหนึ่ง สายตานั้นดูซับซ้อนมาก 

 

 

เมื่อเหลือเพียงถังเฉียนคนเดียวในห้อง อาห่าวมาอยู่ตรงหน้านาง ท่าทางลึกลับ 

 

 

“เจ้านาย ท่านอ๋องเชิญไปที่ห้องหนังสือ”