Dual Cultivation บทที่ 592 สุดยอดวิชากระบี่
ทั้งซูหยางกับเจ้าสํานักทองจ้องมองกันพร้อมกับส่งพลังวิญญาณออกไปรุนแรงขึ้นทุกขณะ
“ข้ามิคิดว่าสักวันหนึ่งจักมีมดในเขตอัมพรวิญญาณกล้ากางเขี้ยวเล็บต่อข้า…” เจ้าสํานักทองเผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า แต่กระแสพลังของเขานั้นยิ่งพวยพุ่งออกมาจนทําให้เกิดริ้วคลื่นกวาดไปทั่วบริเวณนั้น
ลึกลงไปในดวงตาของซูหยางนั้นมีประกายลึกล้ํา และเขาก็ได้ปลดปล่อยปราณเทพหยดหนึ่งออกมาจากร่างของเขา จนทําให้กระแสพลังของเขานั้นแผ่ออกไปอย่างทวีคูณจนกระทั่งมันเทียบได้กับกระแสพลังของเจ้าสํานักทอง
เมื่อเจ้าสํานักทองเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“เป็นไปไม่ได้ ทําไมคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณจึงมีกระแสพลังทัดเทียมกับข้าได้ เขามิได้อยู่ในระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณเสียด้วยซ้ํา เขาต้องใช้สมบัติวิญญาณเพื่อที่จะให้ได้บรรลุผลเช่นนี้เป็นแน่” เขาร่ําร้องในใจ
“ใครก็ตามที่พยายามที่จะแย่งชิงหญิงของข้า…ตาย” ซูหยางเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหวก่อนซึ่งเขาก็พุ่งเข้าไปหาเจ้าสํานักทองอย่างฉับพลันพร้อมกับแมงปองดําในมือ
เจ้าสํานักทองซึ่งปกติจะต่อสู้ด้วยหมัดของตนเอง สามารถรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ร้ายจากแมงปองดํา ดังนั้นเขาจึงนําเอาสนับมือสีทองสองอันออกมาสวมก่อนจะปะทะกับซูหยาง
บูม
ทะเลหยกแยกเป็นสองซีกเล็กน้อยขณะที่พวกเขาสองคนนั้นปะทะกัน
“เจ้าช่างเต็มไปด้วยความน่าแปลกใจจริงๆ เจ้าเด็กบ้า ยามเมื่อข้าฆ่าเจ้าแล้ว ข้าจักยึดครองความลับทุกอย่างของเจ้ามาเป็นของตัวข้าเอง” เจ้าสํานักทองกล่าวขณะที่เขาต่อยซูหยางด้วยความแข็งแกร่งที่ล้นหลาม
“สายฟ้าทอง”
สนับมือของเจ้าสํานักทองเกิดประกายสายฟ้าขณะที่มันพุ่งตรงมายังซูหยาง
“ฟาดฟ้ากลืนสวรรค์”
ซูหยางตวัดแมงปองดําที่ปกคลุมไปด้วยไฟสีดําเข้าใส่เขา
บูม
ไฟสีดําระเบิดออกทุกทิศทางจากการปะทะ และเจ้าสํานักทองก็ต้องถอยกลับไปอีกหลายก้าวจากการปะทะครั้งนี้
“ช่างเป็นวิชาที่แข็งแกร่ง” เจ้าสํานักทองสามารถรู้สึกได้ว่ามือของตัวเขาสั่นสะท้านหลังจากการปะทะ รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเพิ่งใช้มือเปล่าต่อยไปโดนผนังเหล็ก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะรู้สึกตกใจ เจ้าสํานักทองก็ยังรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขาอดใจไม่ไหวที่จะฆ่าซูหยางแล้วเรียนรู้ความลับของอีกฝ่าย
“ลองมาลิ้มรสวิชาของสํานักสุวรรณสิงห์ดู เปลี่ยนร่างสวรรค์”
ร่างของเจ้าสํานักทองเริ่มขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ กระทั่งขนของเขาเองก็ยังยืดยาวออก
สองสามอึดใจให้หลัง ขนหนาสีทองก็ปกคลุมร่างของเจ้าสํานักทอง และนิ้วของเขา ก็เปลี่ยนไปแบบเดียวกับสัตว์ร้ายคล้ายคลึงกับสิงโต
“วิชาประเภทไหนกันนี้ เขาเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ร้ายแล้ว” ซีหวังมองดูเขาเปลี่ยนร่างด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“โฮกกกกกก”
เจ้าสํานักทองคํารามเสียงดังลั่นหลังจากที่เขาเปลี่ยนร่างไปแล้ว และพลังการฝึกปรือของเขาก็พุ่งทะยานเข้าสู่ระดับใหม่
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูหยางก็เปลี่ยนแมงปองดําไปเป็นกระบี่วิญญาณระดับธรรมดา
“กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อกระบี่เริ่มเรืองแสงสีทอง ซูหยางก็โยนกระบี่ขึ้นฟ้าไปในทันที
วืด
กระบี่เริ่มขยายขนาดขึ้นหลายเท่า จนกระทั่งมันมีขนาดเท่ากับเจดีย์สิบชั้น และมีขนาดที่ใหญ่กว่าเรือที่เจ้าสํานักทองใช้ท่องทะเลมา
กระบี่ขนาดยักษ์นี้ยังคงปลดปล่อยกระแสพลังที่เหนือโลกออกมาจนทําให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากําลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจหยั่งวัดได้ ทําให้พวกเขารู้สึกถึงความไร้ค่าอย่างหาที่เปรียบของตนเอง ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็สูญหายไปสิ้นราวกับว่าถูกดูดหายไปด้วยพลังอันลึกลับ
“นี่มันบ้าอะไร” เจ้าสํานักทองตื่นตระหนกเมื่อเขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถควบคุม การเปลี่ยนร่างของตนเองได้ภายกระแสพลังเหนือโลกนี้ จนทําให้เขาต้องคืนร่างกลับมาเป็นร่างเดิม แต่ทว่ายังไม่จบแค่นั้น กระทั่งพลังการฝึกปรือของเขาเองก็เริ่มถดถอย
“เจ้าทําบ้าอะไรกับข้า” เจ้าสํานักทองตะโกนใส่ซูหยางหลังจากนั้น
“…..”
ซูหยางเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วพูดว่า “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสุดยอดวิชากระบี่ และมันก็เป็นวิชากระบี่ที่ทรงอํานาจที่สุดที่มีมาด้วยเช่นเดียวกัน กระทั่งเซียนและเทพยังต้องก้มหัวให้ และทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้ามันก็ต้องถูกจํากัดขอบเขตไว้ แม้กระทั่งพลังการฝึกปรือ แม้ว่าข้าเพียงสามารถใช้ได้เพียงแค่ขี้ผงของพลังของมันในตอนนี้ มันก็เกินพอที่จะจัดการกับมดเช่นเจ้า”
“กระบี่ที่ทรงอํานาจที่สุดที่เคยมีมางั้นรึ…อย่ามากวนประสาทข้าแล้วมาสู้กันอย่างยุติธรรม” เจ้าสํานักทองคํารามด้วยใบหน้าที่กริ้วโกรธ
“สู้กับเจ้าอย่างยุติธรรมนั้น นั่นช่างเป็นเรื่องน่าขันที่ออกมาจากคนที่กําลังรังแกคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณในขณะที่ตนเองอยู่ในเขตราชันวิญญาณอย่างภาคภูมิใจ” สายตาของซูหยางยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่เขากล่าวต่อไปอีกว่า “ถ้าเจ้าต้องการความยุติธรรม เช่นนั้นข้าก็จักกดพลังการฝึกปรือของเจ้าไว้ที่เขตอัมพรวิญญาณ”
กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าพลันสั่นสะท้าน เติมเต็มพื้นที่บริเวณนั้นด้วยกระแสพลังอันล้ําลึก
สองสามอึดใจให้หลัง เจ้าสํานักทองก็สามารถรู้สึกได้ว่าพลังการฝึกปรือระดับราชันวิญญาณของตนเองนั้นถอยลงไปอยู่ที่ระดับของคนในเขตอัมพรวิญญาณ
“น-นี่…” เจ้าสํานักทองจ้องมองฝ่ามือที่เปียกชื้นของตนเองโดยมีร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความกลัว เขาไม่เคยได้รับประสบการณ์การต่อสู้ที่บ้าคลั่งเช่นนี้ รวมทั้งไม่เคยรู้สึกไร้พลังแบบนี้มาก่อน
“นี่ยังมินับว่าได้มีการต่อสู้เกิดขึ้นมานับตั้งแต่แรก” เสียงของซูหยางพลันดังขึ้นมาตรงหน้าเขา
เมื่อเจ้าสํานักทองเงยหน้าขึ้น ซูหยางก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับสีหน้าเย็นเยียบ
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าอยู่ต่อหน้าคนที่จะพยายามที่จะล่วงเกินผู้หญิงของข้า มันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข้าจะต้องกลายเป็นคนพาลที่จักคอยเหยียบย่ําศัตรูของข้าจนสิ้นซาก”
“…..”
ภายใต้สายตาเย็นชาของซูหยางเจ้าสํานักทองที่ปกติแล้วจะกร่างและกําแหงหาญรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองนั้นเล็กกระจ้อยร่อยประดุจมด
“อาาาาา”
เจ้าสํานักทองไม่มีความคิดต่อสู้เหลืออยู่อีกต่อไป เขาพลันหันกายรีบวิ่งหนีไปในทันที
“เซี่ยวหรง” ซูหยางพึมพัมชื่อของเธอ
และก่อนที่เจ้าสํานักทองจะทันได้วิ่งหนีไปไกลนัก ร่างเล็กๆที่มีความสวยประดุจสวรรค์สร้างก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาเหมือนภูตผีปิดกั้นทางหนีของเขาไว้
เมื่อเจ้าสํานักทองมองเห็นหน้าของเซี่ยวหรง ต่างจากความรู้สึกตื่นกระหายและกําหนัดก่อนหน้านั้น ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความตกใจหวาดกลัว
“จ-จ-จ-เจ้าคือ” เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่สํานักสุวรรณสิงห์ขึ้นมาได้ในทันที และบาดแผลที่เขาได้ลืมไปนานแล้วนั้นก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง