EG บทที่ 679 ถูกฟ้องอีกครั้ง

 

ตัวแทนบริษัทญี่ปุ่นพากันออกจากสำนักงานใหญ่ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างหัวเสีย พวกเขาเป็นตัวแทนบริษัทที่มีชื่อเสียงและควรได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุด พวกเขาไม่เคยโดนดูถูกขนาดนี้มาก่อน พวกเขาถูกไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตไล่ออกมา!

หยิ่ง! ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทระนงในตัวเองเกินไปแล้ว!

คุณคิดว่าบริษัทของเราจะปล่อยผ่านเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ? พวกคุณเป็นแค่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นมีอะไรให้ต้องมาหยิ่ง? เราต้องสอนบทเรียนให้กับไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและผู้จัดการเกาจะต้องถูกไล่ออก!

วันรุ่งขึ้นมีข่าวรายงานในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตเหยียดบริษัทญี่ปุ่นและกำลังจะถูกฟ้องร้องจากพวกเขา ในข่าวอ้างว่าไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนและญี่ปุ่น พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลจีนแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วย!

ฟู่เกิงเฉิงและหลี่เซ่อเค่ยอยู่ที่มณฑลอื่นเพื่อหาทำเลดีๆในการตั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มเติม เมื่อพวกเขาทราบข่าวก็โทรหาเฝิงหยู่ทันทีเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้จัดการเกาได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เฝิงหยู่ฟังซึ่งเฝิงหยู่รู้สึกว่าผู้จัดการเกาไม่ได้ทำอะไรผิด หากนี่คือการทำสัญญาธุรกิจทั่วๆไปมันไม่สำคัญว่าจะเป็นบริษัทจากญี่ปุ่นหรือไม่แต่พวกเขากลับทำตัวกร่างและหยิ่งผยองเกินไป การไล่พวกเขาออกจากสำนักงานถือว่าเบาไปด้วยซ้ำหากเฝิงหยู่อยู่ที่นั่นล่ะก็เขาจะให้รปภ.ลากตัวพวกเขาออกไป!

เฝิงหยู่บอกฟู่เกิงเฉิงและหลี่เซ่อเค่ยว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองและจะไม่ให้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

พ่อของจางฮั่นก็โทรมาสอบถามเฝิงหยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน เขารู่ว่าเฝิงหยู่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นข้อพิพาททางธุรกิจเท่านั้นแต่มันถูกยกระดับไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง

“มันไม่มีอะไรเลยครับอาแปะจาง พวกเขาต้องการนำสินค้ามาวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเราแต่ถูกพวกเราปฏิเสธไปก็เลยโกรธ พวกเขามีไม่กี่บริษัทเท่านั้นคงไม่สามารถสร้างปัญหาอะไรให้กับเราได้หรอกครับ”

[“เสี่ยวเฝิง..ถ้าเรื่องมันลามไปใหญ่กว่านี้ฉันก็ไม่รู้จะช่วยเธอยังไงนะ เช้านี้มีการประชุมในคณะรัฐบาลและผู้ใหญ่หลายๆท่านก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งนี้มันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนะเสี่ยวเฝิง เอาเป็นว่าฉันจะพูดเรื่องดีๆของเธอก็แล้วกันแต่มันก็คงจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”]

“ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับแปะจาง ผมจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองและจะไม่นำปัญหามาให้รัฐบาลอย่างแน่นอน! ผมจะทำให้พวกเขารู้ว่าไม่สามารถมาเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีมูลความจริงเช่นนี้ได้!”

เฝิงหยู่ตอบพร้อมกับแต้มยิ้มชั่วร้าย

ฟ้องไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างนั้นหรือ? อย่ามาโทษเราแล้วกันถ้าจะตอบโต้พวกคุณอย่างหนัก!

โซนี่ โตชิบา ไพโอเนียร์และชาร์ป ทั้งสี่บริษัทนี้ต้องการฟ้องร้องเราอย่างนั้นรึ? พวกคุณคิดว่าตัวเองเป็นบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่และจะใช้อิทธิพลที่มีเพื่อกดดันไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตและดูถูกประเทศจีนในเวลาเดียวกันได้งั้นหรือ?

ถ้านั่นคือสิ่งที่พวกคุณคิดอยู่ต้องบอกว่าพวกคุณคิดผิดแล้ว! จีนสามารถอยู่ได้หากไม่มีญี่ปุ่นแต่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะไม่สามารถเติบโตได้หากไม่มีตลาดจีน หากความสัมพันธ์ของสองประเทศแย่ลง ญี่ปุ่นก็ต้องแพ้ให้กับสงครามนี้อย่างแน่นอน

เฝิงหยู่หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาและต่อสายไปยังหมายเลขที่เขาไม่เคยโทรมาก่อน

“สวัสดีครับคุณฝาง! ผมเฝิงหยู่จากบริษัทเครื่องจักรเมืองปิงนะครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย คุณคงทราบข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วใช่มั้ยครับ? ผมต้องการเข้าพบรัฐมนตรีจู้เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้ท่านฟัง….ตกลงครับผมจะรอสายจากคุณ!”

10 นาทีต่อมาเฝิงหยู่ก็ได้รับสายจากผู้อำนวยการฝางและให้เขาไปพบที่จงหนานไห่ในเวลา 12.30 น. แล้วเจ้าหน้าที่ที่อยู่ที่นั่นจะพาเฝิงหยู่ไปพบกับรัฐมนตรีจู้เอง

มือที่บังคับพวงมาลัยรถของหลิวจีฉวนสั่นเล็กน้อย

“พวกเราจะไปพบรัฐมนตรีจู้ที่จงหนานไห่อย่างนั้นหรือครับ?” [1]

“มองถนนสิ! คุณกำลังขับรถอยู่นะแล้วก็เป็นผมคนเดียวที่ได้เข้าพบท่าน..คุณเข้าไปด้วยไม่ได้หรอก”

ในการประชุมครั้งนี้เฝิงหยู่ไม่ได้รับอนุญาตในนำผู้ติดตามเข้าไปด้วย

หลิวจีฉวนรู้สึกผิดหวังก่อนจะกลับไปจดจ่อกับการขับรถต่อ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าพบรัฐมนตรีจู้แต่ก็ยังได้เข้าไปเหยียบจงหนานไห่อย่างใกล้ชิด มันคงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจไม่น้อยที่เขาสามารถเข้ามาในจงหนานไห่ได้ทั้งๆที่โอกาสที่จะได้เข้ามามีน้อยมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมเฝิงหยู่ถึงเดินทางไปที่นั่นและไม่รู้ว่าเฝิงหยู่สามารถติดต่อเข้าพบรัฐมนตรีจู้ได้อย่างไร? แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องหากคำตอบเพราะเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

หลิวจีฉวนพอใจกับงานที่ทำในปัจจุบัน เขาไม่ได้ทำอะไรมากนักและเงินเดือนก็สูงมากทีเดียว เขาไม่จำเป็นต้องกังวลหรือต้องไปคิดกับเรื่องต่างๆ ใช้เวลาน้อยกว่า 2 ปีเขาจะสามารถเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านสักหนึ่งหลังในเมืองใหญ่ๆให้กับพ่อของเขาได้

รถค่อยๆแล่นเข้ามาถึงที่หมาย การรักษาความปลอดภัยค่อนข้างเข้มงวดและรถก็ถูกตรวจค้นอย่างละเอียด

เฝิงหยู่ต่อสายไปหาคนผู้หนึ่งก่อนจะมีเจ้าหน้าที่พาเขาเข้าไปด้านในอาคาร

ก่อนที่เฝิงหยู่จะได้ก้าวเข้าไปในอาคาร บอดีการ์ดร่างยักษ์ 2 คนก็เดินเข้าหาเขาเพื่อทำการค้นตัวเขา

“ท่านรัฐมนตรีแจ้งไว้ว่าไม่จำเป็นต้องค้นตัวเขา”

บอดี้การ์ดทั้ง 2 พยักหน้ารับก่อนจะหยุดยืนอยู่ข้างๆเฝิงหยู่  แน่นอนว่าเขารู้สึกดีขึ้น เขาไม่ชอบให้ใครก็ตามมาค้นตัวเขาแม้ว่ามันเป็นขั้นตอนในการเข้าพบรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีก็ตาม เขาไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกสงสัยและไม่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน

“ขอบคุณครับ”

เฝิงหยู่กล่าวออกไป

หลังจากเข้าไปในห้องทำงานของรัฐมนตรีจู้แล้วเฝิงหยู่ก็เห็นว่าเขากำลังอ่านเอกสารอย่างเคร่งเครียดแม้ว่ามันจะเป็นเวลาพักเที่ยงแต่เขาก็ยังคงนั่งทำงานอยู่

รัฐมนตรีเงยหน้าขึ้นมอง

“อ้าว! มาถึงแล้วเหรอเสี่ยวเฝิง เชิญนั่งก่อนสิ ขอฉันอ่านเอกสารนี้ให้จบก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกัน”

เฝิงหยู่นั่งลงที่โซฟารับแขกก่อนจะมีเจ้าหน้าที่นำชาเข้ามาเสิร์ฟและขอตัวออกไปจากห้องทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้อำนวยการฝางเดินสวนเข้ามาในห้อง มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เหลืออยู่ในห้องนี้คือเฝิงหยู่ รัฐมนตรีจู้และผู้อำนวยการฝาง

5 นาทีต่อมา รัฐมนตรีจู้ก็วางเอกสารลงและนวดขมับตัวเองเบาๆ เขาเดินเข้ามาหาเฝิงหยู่และทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆเฝิงหยู่

“เสี่ยวเฝิง..นายมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตใช่มั้ย?”

เฝิงหยู่ตอบอย่างใจเย็น

“ผมต้องการอธิบายให้ท่านทราบกับข้อกล่าวหาที่บริษัทญี่ปุ่นฟ้องร้องเรา แต่จะว่าไปแล้วถึงผมไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้ผมก็มั่นใจว่าทางเราจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร ผมเชื่อว่าทางรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้บริษัทญี่ปุ่นเหล่านั้นมารังแกไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตได้”

รัฐมนตรีจู้ค้านในสิ่งที่เฝิงหยู่กล่าว

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ? ถึงอย่างไรบริษัทเหล่านั้นก็ต้องมีทางใดทางหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลญี่ปุ่น พวกเขายื่นฟ้องไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วและประเด็นนี้มันถูกยกระดับให้เป็นข้อพิพาทระหว่าง 2 ประเทศแล้วด้วย นายมั่นใจได้อย่างไรว่าคนจากรัฐบาลจะสนับสนุนนายทุกคน”

“เพราะเราเป็นบริษัทจีนและเราก็เป็นคนจีน! นอกจากนี้ไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยครับ!”

เฝิงหยู่ตอบอย่างมั่นใจ

“โอ้? พวกนายไม่ได้ทำอะไรผิดงั้นหรือ? นายกำลังจะบอกฉันว่าบริษัทพวกนั้นกล่าวหาพวกนายใช่มั้ย?”

รัฐมนตรีจู้ยิ้มอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปถามเฝิงหยู่อีกครั้งแต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจกับคำตอบของเฝิงหยู่

“พวกเขาไม่ได้กล่าวหาเราหรอกครับ เราเหยียดพวกเขาจริงๆ!”

ผู้อำนวยการฝางที่นั่งฟังอยู่ข้างๆก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่น นั่นหมายความว่าบริษัทญี่ปุ่นเป็นฝ่ายถูกในการยื่นฟ้องร้องไท้หัวซุปเปอร์มาร์เก็ต ถ้าอย่างนั้นเฝิงหยู่มาที่นี่ทำไม? เขามาที่นี่เพื่อให้รัฐบาลปกป้องพวกเขาอย่างนั้นรึ?

ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ความสัมพันธ์ทางการทูตจีนและญี่ปุ่นกำลงไปได้ดี ต้องใช้ปัจจัยหลายๆอย่างและทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เฝิงหยู่กำลังสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลจีนหรือไม่?

“ทำไมนายถึงเหยียดพวกเขาล่ะ? มีเหตุผลอะไรหรือเปล่าที่นายทำแบบนั้น?”

รัฐมนจรีจู้ไม่ได้ตำหนิเฝิงหยู่เพียงแค่ถามหาสาเหตุจากเขาเท่านั้น

“เราไม่ได้แค่เหยียดพวกเขาเท่านั้นแต่เรายังดูถูกพวกเขาอีกด้วย บริษัทเหล่านั้นไม่มีทางเติบโตได้หากไม่มีตลาดจีนรองรับ นั่นหมายความว่าพวกเขามาที่จีนก็เพื่อหาเลี้ยงชีพของพวกเขา หากไม่มีเราเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เลย ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกือบล่มสลายแต่เราเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ บริษัทเหล่านั้นเคยอยู่ในจุดที่ตกต่ำและกำลังไต่บันไดขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วทำไมพวกเราจะดูถูกพวกเขาไม่ได้ล่ะครับ?”

 

[1] จงหนานไห่ (จีน: 中南海; พินอินZhōngnánhǎi; “ทะเลใต้(และทะเล)กลาง”) เป็นชื่ออดีตราชอุทยานในเขตพระนคร (皇城) ของเป่ย์จิง (北京) ประเทศจีน อยู่ใกล้กับวังต้องห้าม (紫禁城) ปัจจุบัน เป็นกองบัญชาการกลางของพรรคสังคมนิยม (共产党) และเป็นที่ทำการของเลขาธิการพรรคนายกรัฐมนตรี, และสภารัฐกิจ (國務院) ของประเทศจีน