การฝ่าด่านวรยุทธของวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ
ครู่ต่อมา จางเซวียนก็มาถึงอาคารหลังโอ่อ่า
มีป้ายติดอยู่หน้าอาคาร ตัวอักษรขนาดใหญ่เปล่งประกายอยู่บนนั้น – คลังหนังสือตระกูลเจียง!
คงเป็นที่นี่จางเซวียนคิด
ถึงเขาจะเคยลักลอบเข้าไปถ่ายโอนหนังสือในห้องสมุดที่ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อขึ้นเป็นหัวหน้าสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำแบบนั้นอีก
แต่สำหรับตอนนี้ ในเมื่อตระกูลเจียงเลือกที่จะทรยศมวลมนุษย์ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จางเซวียนจะต้องยึดถือหลักการหรือใช้คุณธรรมกับพวกเขา
จางเซวียนเดินไปที่ประตูและแตะมันเบาๆ ประตูบานนั้นเปิดออกสู่ทางเดินเล็กๆของค่ายกลที่อารักขาอาคารไว้ เขาเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
หลังจากเชี่ยวชาญศาสตร์การปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 4 แล้ว ฉนวนและค่ายกลส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นปัญหากับจางเซวียนอีก
“ที่นี่มีหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่มากมายจริงๆ” จางเซวียนพึมพำอย่างดีใจขณะรีบกวาดสายตาไปยังบรรดาหนังสือที่อยู่ในชั้นแรก
แต่หนังสือส่วนใหญ่ในชั้นแรกไม่ได้ลึกซึ้งนัก จางเซวียนจึงไม่อยากเสียเวลาถ่ายโอนพวกมัน เขารีบเดินไปยังชั้นถัดไป
หนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณในชั้น 2 มีระดับขั้นสูงกว่าชั้นแรก ด้วยการกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว จางเซวียนก็พบว่าพวกมันมีเนื้อหาที่ตื้นเขินเกินไปสำหรับระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ จึงเดินขึ้นไปรวดเดียว 5 ชั้น และหยุดอยู่ที่ชั้น 7
จำนวนหนังสือที่ชั้น 7 นี้มีน้อยลงมาก รวมแล้วก็มีชั้นหนังสือไม่กี่สิบชั้นซึ่งมีหนังสืออัดแน่นอยู่หลายหมื่นเล่ม
จางเซวียนกวาดสายตาทั่วชั้นหนังสืออย่างรวดเร็วและถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าก่อนจะพลิกดู
เขาขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก ทำไมถึงมีหนังสือเกี่ยวกับผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอยู่มากมายนัก*?*
ด้วยความประหลาดใจ จางเซวียนพบว่าหนังสือส่วนใหญ่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่ควรจะเป็นเทคนิคเฉพาะของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ
มีความแตกต่างโดยพื้นฐานระหว่างเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณฝึกฝนกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่นักรบทั่วไปฝึกฝนกันอยู่ในทุกวันนี้
เทคนิควรยุทธสมัยใหม่ที่นักรบส่วนใหญ่ฝึกฝนกันอยู่ในปัจจุบันเป็นการฝึกฝนเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ ขณะที่เทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณฝึกฝนนั้นเกี่ยวข้องกับหุ่นโลหะไร้วิญญาณ พิธีกรรมของจิตวิญญาณ และอื่นๆที่เป็นทำนองเดียวกัน
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ถ้าเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณสมัยใหม่เปรียบได้กับนายแพทย์ เทคนิควรยุทธของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็คือกูรูยาพิษ
แม้จะมีความชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเทคนิควรยุทธทั้ง 2 แบบมีเป้าหมายอยู่ที่จิตวิญญาณ แต่กรรมวิธีในการฝึกวรยุทธของเทคนิคทั้ง 2 รูปแบบนี้ก็แตกต่างกันมาก
ในฐานะหนึ่งในสามตระกูลชั้นนำ ตระกูลเจียงได้รับการยกย่องอย่างสูงจากชาวโลก แต่ทำไมพวกเขาถึงมีหนังสือเทคนิควรยุทธของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอยู่มากมายขนาดนี้?
หรือว่า*…ผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ?* จางเซวียนกระพริบตาปริบๆเมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณถูกกำจัดไปแล้ว และมรดกตกทอดของพวกเขาก็หายสาบสูญไปจากโลก สิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ตระกูลเจียงกลับมีหนังสือมากมายที่เกี่ยวข้องกับมรดกตกทอดของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…ยากที่จะเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน!
ด้วยความสงสัยมากมายที่อยู่ในใจ จางเซวียนเดินขึ้นไปยังชั้นถัดไป
ที่ชั้น 8 มีหนังสือน้อยกว่าเดิมอีก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเกี่ยวข้องและมีรากฐานมาจากมรดกตกทอดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ
ถ้าตระกูลเจียงสืบเชื้อสายมาจากผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ**นั่นก็อธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกทรยศมวลมนุษย์…จางเซวียนคิดพร้อมกับหรี่ตา
วิธีการอันโหดร้ายของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สภาปรมาจารย์ตัดสินใจกำจัดพวกเขา แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเลือกที่จะทรยศมวลมนุษย์ด้วยการไปเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!
มรดกตกทอดของกูรูยาพิษก็มีหลายอย่างที่โหดเหี้ยม แต่สภาปรมาจารย์เลือกที่จะโดดเดี่ยวพวกเขาแทนที่จะใช้กำลังเข้าสังหาร
ถ้าจางเซวียนเข้าใจไม่ผิด เรื่องนี้ก็อธิบายได้ว่าทำไมตระกูลเจียงถึงมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้น
หลังจากถ่ายโอนหนังสือแล้ว จางเซวียนก็ขึ้นไปชั้นบนสุดของคลังหนังสือตระกูลเจียง
ชั้นนี้มีหนังสือน้อยลงไปอีก เพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น
ด้วยการกวาดสายตาเพียงแวบเดียว เขาก็ถ่ายโอนพวกมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้หมด
ประมวล*!*
จางเซวียนรีบประมวลหนังสือที่เขาถ่ายโอนมาเข้ากับเทคนิควรยุทธที่ลู่ชงถ่ายทอดให้
วิ้ง!
หนังสือสองเล่มปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนแตะมันอย่างแผ่วเบา เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น
เราได้เทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น1การพักฟื้นภายในและขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติมาแล้ว!มันยังคงมีข้อบกพร่องอยู่บ้างแต่อย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถแก้ไขได้แล้วเป็นส่วนใหญ่*…*
สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 นั้น วรยุทธของพลังปราณและวรยุทธของจิตวิญญาณจะมีความแตกต่างกัน สำหรับวรยุทธของพลังปราณ ไม่มีสูตรสำเร็จพื้นฐานตายตัวที่นักรบจะต้องทำตามในการฝ่าด่านวรยุทธ ดังนั้นแต่ละคนจึงต้องค้นหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง
ส่วนวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ เนื่องจากไม่มีทางเดินพลังปราณหรืออะไรทำนองนั้นอยู่ในจิตวิญญาณ การฝ่าด่านวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 จึงมีเงื่อนไขว่านักรบจะต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณของตัวเองให้แข็งแกร่งและสามารถควบคุมพลังจิตวิญญาณของตัวเองได้
เราจะฝ่าด่านวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ*!* จางเซวียนคิด
เขารีบสร้างปราการขึ้นที่มุมหนึ่งของห้องก่อนจะเข้าสู่รังนางพญามด
หลังจากหาพื้นที่โล่งๆได้แล้ว จางเซวียนก็วางทรัพยากรสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไว้รอบๆ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก่อนจะศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ที่อยู่ในสมอง
ครู่ต่อมา จางเซวียนก็ถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากหว่างคิ้ว แล้วทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธก็ลอยเข้าหาเขา
ฟู่!
ทรัพยากรเหล่านั้นแหลกสลายไปพร้อมๆกัน พลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นพวยพุ่งออกไปโดยรอบ จางเซวียนรีบซึมซับพลังจิตวิญญาณเหล่านั้นเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาอย่างรวดเร็ว
เขาได้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธเหล่านี้จากขุมสมบัติของตระกูลหลัว นอกจากจะใช้ในการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณแล้ว ยังมีมากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณไปสู่การเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ด้วย
วันคืนที่เขาต้องลำบากลำบนพึ่งพาการทดสอบสายฟ้าเพื่อรวบรวมพลังงานสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธได้ผ่านไปแล้ว!
ด้วยการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณเข้มข้น จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันฝ่าด่านคอขวดไปได้อย่างรวดเร็วและก้าวเข้าสู่อาณาเขตที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
วิ้ง!
ขณะที่จางเซวียนบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดด้วยพลังจิตวิญญาณที่เขาซึมซับไว้ มันก็โปร่งแสงและใสกระจ่างขึ้นเรื่อยๆ ใสสะอาดกว่าแต่ก่อน แสงสีรุ้งเปล่งประกายอยู่รอบตัวเขาราวกับเทพเจ้าแห่งการหยั่งรู้
จิตวิญญาณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณโดยทั่วไปจะยังคงเย็นเยือกและมีสิ่งปนเปื้อนอยู่แม้จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว แต่เทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณที่จางเซวียนฝึกฝนนั้นคือศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณของเขายังผ่านการบ่มเพาะจากการทดสอบสายฟ้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้มันเติบโตอย่างมีคุณภาพ ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาปราศจากรังสีพลังหยินอันเย็นเยือกอย่างที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณโดยทั่วไปมี
ต่อให้ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจากสภาปรมาจารย์มาเห็นภาพนี้ ก็จะไม่มีใครคิดเลยว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนเกี่ยวข้องกับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ
เมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณต้นกำเนิด จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น
ในที่สุด*…วรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น1การพักฟื้นภายในก็สำเร็จแล้ว**!*
การมาเยือนตระกูลเจียงของเขาถือว่าได้ผลตอบแทนอย่างงาม ถ้าไม่ใช่เพราะหนังสือที่เขาได้ถ่ายโอนไว้ ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฝ่าด่านวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณได้?
ไปต่อ*!*
แม้จะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว จางเซวียนก็ยังรู้สึกได้รางๆว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเข้าสู่ร่างของศพเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวนั้น
เขาจึงซึมซับพลังจิตวิญญาณต่อโดยไม่ลังเลและผลักดันตัวเองเข้าสู่ขั้นต่อไป
4 ชั่วโมงต่อมา…
จางเซวียนหยุดการซึมซับพลังจิตวิญญาณ เขาลืมตาขึ้นช้าๆ
เราเข้าถึงขั้นโลกจารึกของวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว*…*
ไม่เหมือนกับวรยุทธระดับเซียน วรยุทธแต่ละขั้นของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะแบ่งออกเป็น 6 ขั้นย่อย คือขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสูงสุด ขั้นสมบูรณ์แบบ และขั้นโลกจารึก
การเข้าถึงขั้นโลกจารึกก็หมายความว่าเขาได้สำเร็จขั้นสูงสุดของวรยุทธขั้นนี้
การฝ่าด่านวรยุทธของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นยากกว่ากันมากหากเปรียบเทียบกับวรยุทธระดับเซียนสมัยก่อนเวลา 2 ชั่วโมงก็เพียงพอให้เรายกระดับวรยุทธได้แล้วแต่ตอนนี้ต้องใช้เวลานานกว่านั้น…
จางเซวียนไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงเพื่อยกระดับวรยุทธ 1 ขั้น
ดูเหมือนว่ายิ่งปีนสูงขึ้นไปก็ยิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ…
จางเซวียนตัวสั่นเมื่อจินตนาการถึงวันที่เขาจะต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการยกระดับวรยุทธเพียงขั้นเดียว…น่าสะพรึงเหลือเกิน!
วรยุทธไม่ใช่เรื่องง่าย*…ขนาดผู้ปราดเปรื่องอย่างเราก็ยังต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงในการยกระดับวรยุทธขั้นเดียวแล้วนักรบคนอื่นๆล่ะจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน**?* จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ ช่างมันเถอะ*!ต่อให้เหนื่อยยากอย่างไรเราก็จะต้องผ่านไปให้ได้อย่างน้อยที่สุดเราจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ**–โลกจารึกก่อนพระอาทิตย์ตก**…*
ขณะที่กำลังรำพึงว่านับวันการยกระดับวรยุทธก็ยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ จางเซวียนก็ยังคงดำเนินการต่อไป
ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ใครใช้ให้เขาเลือกเส้นทางนี้ล่ะ? ในเมื่อเลือกแล้ว ถึงจะเหนื่อยยากแค่ไหน ก็ต้องกัดฟันและอดทนให้ได้!