Dual Cultivation บทที่ 595 ศพที่หายไป
ย้อนกลับไปที่นิกายกุสุมาลย์พันพิสัย หลังจากที่ซูหยางกลับไปถึงศาลาหยินหยางแล้ว เขาก็ได้พบเข้ากับโหลวหลานจี ซึ่งก็ได้กล่าวกับเขาว่า “เจ้ามีแขกที่ห้องของเจ้า”
“แขกรึโอ ข้าพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร” ซูหยางพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ
“อีกอย่างหนึ่ง คนตระกูลซีได้กลับคืนสู่บ้านของตนเองแล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธออีกครั้ง
“จริงรึ ขอบคุณสวรรค์” โหลวหลานจีถอนหายใจโล่งอกหลังจากที่ได้ยินคําพูดของเขา และเธอก็พูดต่อไปอีกว่า “ข้านอนไม่หลับจากความกังวลมานับตั้งแต่พวกเขามาถึง ข้าคงมิเป็นไรหากว่าเป็นเพียงซีซิงฟางที่มาเยี่ยม แต่เมื่อมาคิดว่ากระทั่งบรรพชนของพวกเขาก็มาปรากฏตัวที่นี่ด้วยนับเป็นเรื่องที่กดดันมากจริงๆ”
“ผู้เฒ่านั่นมีชื่อเสียงถึงเช่นนั้นเลยรี” ซูหยางเลิกคิ้ว
โหลวหลานจีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แน่นอน ก่อนที่เจ้าชีจะกลายมาเป็นผู้ปกครอง บรรพชนได้ปกครองทวีปตะวันออกนี้ด้วยหมัดเหล็ก ทุกอย่างแตกต่างออกไปเป็นอย่างมากในตอนนั้น อีกทั้งยังมีเรื่องราวของความหาญกล้าของเขามากมายนับไม่ถ้วน
“อย่างงั้นรี เห็นชัดว่าเขามิได้มีพฤติกรรมเหมือนกับคนที่เจ้าอธิบายเลย” ซูหยางยิ้ม
“ข้าเดาว่ากาลเวลาคงเปลี่ยนไปแล้ว ยังมีคําร่ําลือว่าเป็นซีซิงฟางที่เปลี่ยนเขา”
“อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้พวกเขาจากไปแล้ว ข้าก็จะไปหลับบ้าง อา ก่อนที่ข้าจะลืมข้าต้องการ “เติมเต็ม” ครั้งใหม่เร็วๆนี้” โหลวหลานกล่าวกับเขาขณะที่ชี้ไปยังท้องของเธอด้วยสีหน้าชวนให้ไฝ่ฝัน
ซูหยางพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจักเติมให้เจ้าที่หลัง”
หลังจากที่โหลวหลานจีกลับไปที่ห้องของเธอเองแล้ว ซูหยางก็ทําอย่างเดียวกัน
“หือ สุดท้ายเจ้าก็กลับมา เจ้าไปไหนมาช่วงสองสามวันให้หลังนี้” ถังหลิงซีทักทายเขาในขณะที่กําลังนอนอยู่บนเตียงเขาสีหน้าและสายตาที่ผ่อนคลาย
“ข้ามีธุระบางอย่างกับตระกูลซี” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปหาถังหลิงซี ก่อนที่จะนอนลงบนเตียงอย่างสบายข้างตัวเธอ
ถังหลิงซูยิ้มให้กับการกระทําของเขาแล้วค่อยกอดเขาอย่างอ่อนโยน
“เจ้าดูค่อนข้างหมดแรง เจ้าใช้ปราณเทพของเจ้าอีกแล้วรึ” เธอถามเขา
“ช่าย ข้าต้องต่อสู้กับคนที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ”
“โอ มีคนอื่นอีกนอกจากบรรพชนของตระกูลชีที่อยู่ในเขตราชันวิญญาณ เล่าให้ข้าฟังหน่อยซิ”
ใช่ แต่ว่าเขามิได้อยู่ในทวีปตะวันออก เขามาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”
“ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง ทําไมเขาจึงเดินทางไกลมาถึงที่นี่”
ซูหยางทําการอธิบายตลอดทั้งเรื่องราวให้กับเธอฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“อืมมมม…รู้สึกว่าข้าเคยได้ยินเรื่องราวประเภทนี้มาก่อน อีกทั้งยังมากกว่าหนึ่งครั้ง” ถังหลิงซีกล่าว
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามิได้ขาดแคลนผู้ชายที่มิสามารถที่จะเก็บมือไว้ข้างตัวหรือแค่เพียงของของตัวเอง” ซูหยางถอนหายใจ “ข้าคิดสงสัยว่ามีคนมากมายเพียงใดที่ข้าจักต้องฆ่าครั้นเมื่อข้ากลับคืนไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่”
“ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อก็บอกให้ข้ารู้ ข้าชอบฆ่าคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ชายชั่วช้าสามานย์” ถังหลิงชีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าเองก็ค่อนข้างวิปลาศ เจ้ารู้ไหม” ซูหยางหัวเราะเบาๆ
“เจ้าบางที่อาจจะเป็นคนวิปลาสที่สุดที่ข้ารู้จัก แต่ขากลับมิได้เกลียด ตามจริงแล้วนอกจากครอบครัวของข้าแล้ว เจ้าก็เป็นชายเพียงคนเดียวที่ข้าสามารถทนอยู่ใกล้ชิดได้โดยมิอยากจะฆ่าเจ้า” ถังหลิงซีกล่าวขณะที่เธอโอบกอดเขาแน่นขึ้น
“โอ ข้าอยากจะกลืนกินเจ้ามากมายแค่ไหนกันนะในตอนนี้” ถังหลิงซีพึมพัมด้วยเสียงกระซิบอยู่ข้างหูเขา
“ หรือว่ามิมีทางอื่นอีกแล้ว”
“นั้นควรจะเป็นจริงหากว่าเจ้าอยู่ในร่างเดิมของเจ้า แต่ด้วยร่างปัจจุบันของเจ้า เจ้าย่อมมีอาจจะอยู่ได้ถึงชั่วโมงกับตัวจริงของข้า” ถังหลิงซีกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าคาดว่าคงเป็นเช่นนั้นจริง”
เวลาถัดไป ซูหยางก็กล่าวด้วยเสียงครุ่นคิดว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องร่างเดิมของข้าแล้ว นั่นทําให้ข้าคิดสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างนั้น…”
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพของข้า”
“เอ่อ…” ถังหลิงชีแสดงท่าทางลังเลก่อนที่จะกล่าวว่า “เดิมที่ข้าต้องการที่นําร่างของเจ้าไปฝังในพื้นที่ของเผ่าเทพอาชูร่าของข้า แต่กลับมีบางคนปรากฏตัวในวันสุดท้ายของงานศพของเจ้าและ ได้ขโมยศพของเจ้าไป”
“ด-เดี๋ยวก่อน…มีคน…ขโมยศพของข้างั้นรึ” ซูหยางมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง โลกนี้เกิดอะไรขึ้นจึงได้มีคนมาเอาศพเขาไป
ถังหลิงซีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พวกเรายังคงมิรู้ว่าใครเป็นคนทํา แต่ใครก็ตามที่ขโมยศพเจ้าต้องทรงอํานาจเป็นอันมาก ทรงอํานาจเสียจนกระทั่งมิมีใครในงานศพสามารถที่จะหยุดเขาได้กระทั่งจักรพรรดิ์สวรรค์ผู้ที่อยู่ในงาน”
“กระทั่งจักรพรรดิ์สวรรค์ก็มิอาจจะหยุดยั้งเขาได้งั้นรี มีคนไม่มากนักในโลกที่สามารถต่อกรกับจักรพรรดิ์สวรรค์ได้” ซูหยางพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มันเป็นสิ่งที่กระทันหันเกินไป และคนส่วนใหญ่ก็มัวแต่โศกเศร้าจนเกินไปกว่าจะทันได้สังเกตเห็นขโมยจนกระทั่งมันสายเกินไป”
“เฮ้อออ… ข้าเพียงหวังว่าใครก็ตามที่ขโมยศพของข้าไปจะไม่ทําอะไรแปลกๆกับศพ นั่นจักต้องเป็นปัญหาแน่ถ้าพวกเขาใช้สําหรับทําเรื่องอะไรแปลกๆ” ซูหยางถอนใจ
“มันมีความหมายอะไรจริงๆรกับสิ่งที่พวกเขาจักทําอะไรกับศพของเจ้า ข้าหมายความว่าตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในร่างอื่นแล้ว” ถังหลิงซีกล่าวกับเขา
“มันอาจจะมิมีความหมายนักหากว่าพวกเขามิได้ทําอะไรกับศพ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากว่า พวกเขาปลุกร่างของข้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยวิชาต้องห้าม เจ้าจําสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 50000 ปีก่อนมิได้ เมื่อมีคนปลุกร่างของศพผู้ฝึกยุทธโบราณที่แข็งแกร่งมากขึ้นมาและทําให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นนั่นจักต้องเป็นปัญหามากหากว่าเกิดขึ้นกับร่างกายของข้าเช่นกัน”
ถังหลิงซีหัวเราะคิกคักกับคําพูดของเขาแล้วกล่าวว่า “ทําไมจะมีคนใช้ศพของเจ้าสําหรับเรื่องนั้น มีคนนับไม่ถ้วนซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าและได้ตกตายไปก่อนเจ้าซึ่งต้องให้ผลประโยชน์แก่พวกเขามากกว่าผู้ฝึกยุทธคู่คนหนึ่ง”
“ถ้ามีใครจักปลุกร่างของเจ้าขึ้นมา ข้ามั่นใจว่าต้องเป็นพวกหญิงคลั่งที่มีรสนิยมแบบนั้น” ถังหลิงชีหัวเราะเสียงดังลั่น
“ว่ายังไงเจ้ารู้จักหญิงคนใดที่อาจจะบ้าพอที่จะทําเรื่องพรรณนั้นหรือไม่” เธอถามเขาหลังจากนั้น
ซูหยางพูดไม่ออก แต่ไม่ใช่เพราะคําพูดของถังหลิงซี เขาพูดไม่ออกเพราะว่าเขาสามารถพูดชื่อหญิงที่อาจจะบ้าพอที่จะใช้ศพของเขาในการกระทําเรื่องประเภทนั้นออกมากว่าสิบคนได้อย่างง่ายดาย
“ข้าในตอนนี้มีความคิดอีกอย่างหนึ่งกับการกลับไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพวกหญิงคลั่งนั่นรู้ถึงสถานการณ์ของข้า ใครจะรู้ว่าพวกเธอจะทําอะไรกับข้า ตัวข้าในตอนนี้อ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องตัวเองจากพวกเธอ” ซูหยางสั่นสะท้านด้วยความกลัว
แต่ทว่าแทนที่จะปลอบเขา ถังหลิงซีทําเพียงแต่หัวเราะใส่เขา “อย่ากังวล ที่รัก ถ้ามีใครกล้าที่จะพยายามทําอะไรสนุกๆกับเจ้า ข้าจักรับมือกับพวกเธอให้เจ้าเอง”