บทที่ 986 เขาคือคนผู้นั้นใช่หรือไม

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ทันทีที่เห็นสายตางุนงงของหลี่เคิ่นวู๋หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าหลี่เคิ่นวู๋ไม่ได้พูดโกหกอย่างแน่นอน..
  ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างหลี่เคิ่นวู๋ออกจะภูมิอกภูมิใจในสำนักกระบี่คุนหลุนของตนเองยิ่งนักมีหรือที่จะยอมโกหกเรื่องแบบนี้..
  หลิงหยุนกรอกตาไปมาและกำลังครุ่นคิดคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ในใจ หลังจากนั้นจึงถามหลี่เคิ่นวู๋ต่อ..
  “ข้ารู้ว่าสำนักกระบี่คุนหลุนของเจ้ามีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องทางเข้าคุนหลุนไม่ทราบว่าสองสามปีมานี้มีผู้ใดเข้าไปคุนหลุน หรือมีผู้ใดออกจากคุนหลุนบ้างหรือไม่”
  หลวงจีนเจี๋วยหยวนกับนักพรตชงซวีต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงและนึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ พร้อมกับคิดว่าเด็กคนนี้ช่างร้ายกาจนัก!
  หลิงหยุนรู้ว่าคนอย่างหลี่เคิ่นวู๋จะไม่พูดโกหกจึงแสร้งทำเป็นว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว และเลือกที่จะไม่ถามออกไปตรงๆว่า ‘คุนหลุนคืออะไร’ แต่กลับเลี่ยงไปถามว่ามีใครเข้า และออกจากคุนหลุนบ้าง? เพื่อเป็นการหาเบาะแสข้อมูลแทน..
  นั่นเพราะหากหลี่เคิ่นวู๋ตอบว่ามีผู้ใดเข้าออกคุนหลุนบ้างแล้วย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าคุนหลุนในที่นี้จะต้องเป็นสถานที่ หรือไม่ก็ต้องเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง และลึกลับ จนแม้แต่เหล่ายอดฝีมือในยุทธภพก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ เว้นแต่ผู้ที่สูงส่งจริงๆ!
  แต่ปฏิกิริยาและท่าทางของหลี่เคิ่นวู๋นั้น กลับไม่เป็นดังที่หลิงหยุนคาดคิด!
  ทันทีที่ได้ยินหลิงหยุนพูดคำว่า‘คุนหลุน’ สีหน้าของหลี่เคิ่นวู๋ก็เปลี่ยนไปทันที และดูเหมือนจะตกใจอย่างมากด้วย จากนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีกเลยแม้แต่คำเดียว
  หลิงหยุนเข้าใจว่าหลี่เคิ่นวู๋น่าจะตกใจว่าหลิงหยุนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรสายตาของหลี่เคิ่นวู๋บ่งบอกว่า.. ต่อให้หลิงหยุนสังหารเขา เขาก็จะไม่ยอมปริปากพูดเรื่องนี้อย่างแน่นอน!
  แต่ถึงแม้แผนการของหลิงหยุนจะล้มเหลวเขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังนัก เพราะจากท่าทีของหลี่เคิ่นวู๋เวลานี้ ทำให้เขาสามารถคาดเดาอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์ได้มาก..
  ‘ต้องเป็นสถานที่ลึกลับหรือกองกำลังที่ทรงพลังอย่างมากแน่ และคงจะยิ่งใหญ่มากพอที่จะทำให้แม้แต่หลวงจีนเจี๋วยหยวนกับนักพรตชงซวี รวมทั้งหลี่เคิ่นวู๋ไม่กล้าปริปากพูดออกมา!’
  หลิงหยุนได้แต่แอบถอนหายใจก่อนจะพูดออกไปว่า“เอาล่ะ.. ข้าไม่มีอะไรจะถามเจ้าแล้ว! เห็นแก่หน้าไต้ซือเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวี ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า! เจ้าไปได้..”
  “แต่เจ้าจดจำคำพูดของข้าให้ดี..หากเจ้ากับสำนักกระบี่คุนหลุนต้องการกลับมาแก้แค้นข้า ก็มาหาข้าโดยตรงได้เลย! แต่หากเจ้าใช้วิธีชั่วช้ากล้าตอแยกับคนรอบตัวข้าแล้วล่ะก็.. ถึงเวลานั้นอย่าได้ตำหนิว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”
  ร่างของหลี่เคิ่นวู๋สั่นสะท้านเขาทั้งโกรธและรู้สึกอัปยศอดสูอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้หลิงหยุน จึงได้แต่อดทนอดกลั้นไว้ก่อน..
  จากนั้น..หลี่เคิ่นวู๋ก็กัดฟันข่มความเจ็บปวด และเดินตรงเข้าไปหาร่างของท่านอาทั้งสามที่ถูกหลิงหยุนสังหาร แต่กลับพบว่าจื่อเยี่ยและจื่อหยางได้เสียชีวิตไปนานแล้ว มีเพียงจื่อกวงที่นอนหายใจรวยรินหลังจากถูกกระบี่ของหลิงหยุนฟันใส่ครั้งสุดท้าย แม้จะยังมีชีวิตแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก
  หลี่เคิ่นวู๋ก้มหน้าลงกับพื้นต่อหน้าจื่อเยี่ยกับจื่อหยางเขาระเบิดน้ำตาออกมาพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
  “ท่านอาทั้งสอง!”
  จื่อเยี่ยกับจื่อหยางนั้นได้ช่วยชีวิตของเขาไว้ด้วยการเอาตัวเองกันกระบี่ของหลิงหยุนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และตายในที่สุด แม้หลี่เคิ่นวู๋อาจะเป็นคนยะโสถือดี แต่ก็ไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม
  “ท่านอาทั้งสองท่านช่วยชีวิตข้าไว้! ข้า – หลี่เคิ่นวู๋สาบานว่า หลังจากนี้จะกลับไปฝีกฝนให้หนัก เพื่อที่จะได้มาทำหน้าที่แทนพวกท่านในวันข้างหน้าได้”
  จากนั้น..หลี่เคิ่นวู๋ก็หยุดนิ่งไป! เขากัดฟันกรอดก่อนจะพูดออกมาว่า “และจะได้กลับมาแก้แค้นให้กับพวกท่านทั้งสองด้วย!”
  หลิงหยุนยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงรายเป็นประกายจากนั้นจึงพูดออกไปว่า “หลี่เคิ่นวู๋.. เจ้านับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งทีเดียว ที่กล้าพูดว่าจะกลับมาแก้แค้นต่อหน้าข้าเช่นนี้! เจ้าไม่ต้องกังวลไป.. ข้าจะรักษาชีวิตไว้ให้ดี รอคอยวันที่เจ้าจะกลับมาแก้แค้นก็แล้วกัน!”
  ไม่ว่าจะผิดหรือถูกไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือชนะ.. การที่หลี่เคิ่นวู๋กล้าประกาศต่อหน้าหลิงหยุนว่าจะกลับมาแก้แค้นเขานั้น นับว่าเข้มแข็งกว่าฮู๋ฉีเฟิงแห่งสำนักดาบสวรรค์มากนัก!
  หลิงหยุนไม่เคยหวาดหวั่นต่อศัตรูและไม่เคยเกรงกลัวหากศัตรูจะแข็งแกร่งกว่า อีกทั้งเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าจะไว้ชีวิตหลี่เคิ่นวู๋แล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กลืนน้ำลายตัวเองแน่!
  จากนั้น..หลี่เคิ่นวู๋ก็จัดการผูกร่างไร้วิญญาณของจื่อเยี่ยกับจื่อหยางไว้บนหลังของตนเอง และช่วยประคองร่างของจื่อกวงที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะเดินในเวลานี้ หลี่เคิ่นวู๋ไปยืนอยู่หน้าหลวงจีนเจี๋วยหยวน และนักพรตชงซวีพร้อมกับคุกเข่าลง..
  “หลี่เคิ่นวู๋ขอบพระคุณไต้ซือเจี๋วยหยวนกับท่านนักพรตชงซวีอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้หากมีโอกาสข้าจะต้องตอบแทนพวกท่านทั้งสองอย่างแน่นอน!”
  หลวงจีนเจี๋วยหยวนยกมือข้างหนึ่งขึ้นพนมไว้ที่หน้าอกพร้อมกับพูดขึ้นว่า“อามิตตาพุทธ.. คุณชายหลี่ ท่านจื่อกวง ค่อยๆเดินนะ อภัยที่อาตมาส่งพวกท่านตรงนี้!”
  ส่วนนักพรตชงซวีก็เพียงแค่พยักหน้าและยิ้มให้กับคนทั้งคู่เท่านั้น..
  หลี่เคิ่นวู๋และจื่อกวงหันหลังเดินจากไปและหลังจากเดินไปได้ราวสองสามก้าว จื่อกวงก็หันมาพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
  “หลิงหยุน..จื่อหยางกับจื่อเยี่ยตายด้วยน้ำมือเจ้า ความแค้นครั้งนี้สำนักกระบี่คุนหลุนต้องให้เจ้าชดใช้คืนแน่!”
  หลิงหยุนโบกมือพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ข้าจะรอ!”
  จากนั้น..ร่างของหลี่เคิ่นวู๋กับจื่อกวงก็หายลับตาไปท่ามกลางความมืด!
  จี้เสี่ยวฉิงที่เข้าร่วมประมือพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือทั้งห้าคนแต่กลับถูกหลิงหยุนฟันกระบี่หักจนกระอักเลือดออกมา แม้จะได้รับบาดเจ็บภายใน แต่ก็ไม่ถึงกับสาหัสนัก..
  เวลานี้..ดูเหมือนจี้เสี่ยวฉิงจะอับอายอย่างมาก เพราะหลิงหยุนแทบไม่สนใจนาง และไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป
  ครั้งนี้นางลงจากเขามาพร้อมกับศิษย์ร่วมสำนักอีกสี่คนเพื่อต้องการมากำจัดมารของยุทธภพ แต่เวลานี้ไม่เพียงจะหนีก็หนีไม่ได้ แต่ยังถูกหลิงหยุนเมินเฉยไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่น่าอัปยศอดสูยิ่งนัก!
  จี้เสี่ยวฉิงเดินเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“หลิงหยุน.. เชิญเจ้าสังหารข้าได้!”
  หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ข้าจะไม่สังหารสตรีโดยเด็ดขาด!”
  จี้เสี่ยวฉิงเสนอตัวยอมตายแต่หลิงหยุนกลับปฏิเสธ นางจ้องมองหลิงหยุนครู่หนึ่งพร้อมกับร้องถามเสียงห้วน
  “เหตุใดเจ้าจึงไม่สังหารสตรี”
  หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ไม่ฆ่าก็คือไม่ฆ่า.. เหตุใดต้องมีเหตุผลมากมายด้วยเล่า”
  “อามิตตาพุทธ..”เสียงของหลวงจีนเจี๋วยหยวนดังขึ้น
  นักพรตชงซวีเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นว่า “แม่นาง.. มดตัวเล็กมันยังรักชีวิตของมัน เหตุใดเจ้ายังต้องดื้อรั้นจะตายด้วยเล่า ทุกคนต่างก็มีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเอง เจ้าก็รีบลงจากเขาไปเถิด..”
  จี้เสี่ยวฉิงจ้องมองหน้าหลวงจีนเจี๋วยหยวนกับนักพรตชงซวีด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะพูดเย้ยหยันทั้งสองคนว่า
  “น่าเสียดายที่เหล่าชาวยุทธยกให้เส้าหลินกับบู๊ตึ๊งเป็นเสาหลักของยุทธภพ!”
  แน่นอนว่าจี้เสี่ยวฉิงรู้สึกผิดหวังอย่างมากที่ในคืนนี้เสาหลักอย่างเส้าหลินกับบู๊ตึ๊งปฏิเสธที่จะจัดการกับหลิงหยุน..
  จี้เสี่ยวฉิงคิดจนหัวแทบระเบิดแต่ก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ว่าเหตุใดสองสำนักซึ่งเป็นเสาหลักของยุทธภพนั้น จึงเพียงแค่ยืนมองหลิงหยุนสังหารยอดฝีมือมากมายโดยที่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเช่นนี้!
  แต่หลวงจีนเจี๋วยหยวนกับนักพรตชงซวีก็เพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ต่อปากต่อคำกับจี้เสี่ยวฉิงแต่อย่างใด..
  “หึ..”…novel-lucky
  จี้เสี่ยวฉิงรู้ว่าตนเองอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรได้แต่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงกระโดดไปยืนข้างร่างไร้ศรีษะของกัวเสี่ยวเทียน นางยื่นมือออกไปคว้าร่างของกัวเสี่ยวเทียนไว้ก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในป่าทันที
  ส่วนหลิวซุ่ยเฟิงนั้น..จะอยู่หรือตายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับจี้เสี่ยวฉิงอีก และระหว่างทางที่ลงเขานั้น จี้เสี่ยวฉิงก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าหลิงหยุนเป็นมารดังที่ถูกกล่าวหาจริงๆอย่างนั้นหรือ
  และเวลานี้บนยอดเขาหลงเหมินก็เหลือเพียงหลวงจีนจากวัดเส้าหลินทั้งหมดหกคนนักพรตจากบู๊ตึ๊งเจ็ดคน และหลิงหยุนอีกหนึ่งคน..
  หลิงหยุนคำนวณเวลาอยู่ในใจเงียบๆและได้แต่คิดว่าป่านนี้น้าหญิงของเขาน่าจะไปถึงที่บ้านแล้ว หากนางไม่ส่งข่าวมา ย่อมหมายความว่านางน่าจะรับมือได้..
  หลิงหยุนยิ้มให้กับหลวงจีนเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวี พร้อมกับกวาดสายตาไปทางศิษย์สำนักเส้าหลินและบู๊ตึ๊งทั้งสิบเอ็ดคนซึ่งยืนนิ่งราวกับหุ่นไม้ แล้วจึงร้องถามทั้งคู่ว่า
  “พวกเราจะสู้กันต่อหรือไม่”
  หลวงจีนเจี๋ยวหยวนส่ายหน้า“พวกเราได้ประมือกันไปแล้ว..”
  นักพรตชงซวีร้องถามกลับไปว่า“ทำไมรึ หรือเจ้าอยากจะประมือต่อ..”
  หลิงหยุนค่อนข้างงุนงงและได้แต่คิดในใจว่า ‘พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อกำจัดมารไม่ใช่รึ หากไม่ต้องการประมือกับข้า พวกเจ้าจะมาที่นี่ทำไมกัน?’
  ด้วยความสงสัยหลิงหยุนจึงถามขึ้นว่า“ถ้าเช่นนั้น.. พวกท่านพายอดฝีมือมาที่นี่มากมายเพื่ออะไรกัน”
  นักพรตชงซวีตอบ“พวกเราแค่ต้องการมาดูเท่านั้น!”
  หลิงหยุนถามต่ออย่างไม่เข้าใจ“พวกท่านต้องการมาดูอะไร ดูว่าข้าใช้กระบี่วิเศษเล่มนี้สังหารผู้คนหรือไม่งั้นรึ? ”
  หลวงจีนเจี๋วยหยวนตอบกลับทันที“ประสกน้อย.. เจ้าไม่ได้ใช้เวทย์มนต์อะไรจะเป็นปีศาจได้อย่างไรเล่า”
  หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงยกกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือขึ้น “แต่ข้ามีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ ผู้คนในยุทธภพต่างก็ร่ำลือว่าข้าเป็นเทพแห่งมาร..”
  หลิงหยุนย้ำเรื่องนี้อีกครั้งเพราะเกรงว่าทั้งคู่จะไม่รู้ว่าเขาคือเทพแห่งมาร!
  หลวงจีนเจี๋วยหยวนกลับตอบมาว่า“ประสกน้อย.. เจ้ามีกระบี่มารอยู่ในมือก็จริง อีกทั้งกระบี่เล่มนี้ก็มีไอปีศาจรุนแรง แต่เจ้ากลับเป็นอิสระจากไอปีศาจเหล่านั้นได้ ข้าจึงไม่เห็นว่าเจ้ามีธรรมชาติของมารอยู่ในตัวเลย..!”
  “กระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้..ท้ายที่สุดก็เป็นแค่อาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันเป็นเพียงแค่กระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น คนต่างหากที่ฆ่าคนด้วยกัน ไม่ใช่กระบี่!”
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลวงจีนเจี๋วยหยวนแล้วก็ได้แต่อึ้งเขากำลังคิดว่าไม่น่าลงมือสังหารกัวเสี่ยวเทียนเลย และนึกอยากให้กัวเสี่ยวเทียนได้มาฟังคำพูดของหลวงจีนรูปนี้!
  จากนั้นก็ได้ยินหลวงจีนเจี๋วยหยวนพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แต่ถึงอย่างไรอาตมาก็ยังหวังว่าประสกจะวางกระบี่เล่มนั้นลง เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้น..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“หากถึงคราวที่ต้องฆ่า.. กระบี่เล่มนี้ก็สามารถใช้งานได้ดียิ่งนัก!”
  หลวงจีนเจี๋วยหยวนได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“อามิตตาพุทธ.. อะไรจะเกิด ก็คงต้องเกิด..”
  นักพรตชงซวียิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ในเมื่อกระบี่วิเศษถือกำเนิดขึ้นแล้ว ตกอยู่ในมือของเจ้า ก็ย่อมดีกว่าตกอยู่ในมือของผู้อื่น..”
  หลิงหยุนฟังด้วยความพอใจเขายิ้มออกมาพร้อมกับพูดออกไปว่า “ข้า – หลิงหยุนต้องขอขอบคุณท่านทั้งสองที่ไม่ลงมือกับข้าในคืนนี้ เพราะหากพวกท่านทั้งสองคนลงมือ ข้าเองก็คงต้องถอยหนีอย่างแน่นอน..”
  หลิงหยุนเอ่ยขอบคุณและนึกชื่นชมทั้งคู่จากใจจริง เพราะเพียงแค่ประมือกับหลวงจีนเจี๋วยหยวนเมื่อครู่นี้ เขาก็รู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถสู้ยอดฝีมือทั้งสองท่านนี้ได้แน่!
  หลิงหยุนคาดเดาว่าหลวงจีนและนักพรตผู้นี้ น่าจะต้องอยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-9 แล้วอย่างแน่นอน!
  จากนั้นเสียงของนักพรตชงซวีก็ดังขึ้น“เอาล่ะหลิงหยุน.. เจ้าจะนำหม้อทองแดงออกมาให้พวกเราดูได้หรือยัง”
  หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า‘จิ้งจอกเฒ่า..’ แต่กลับยิ้มให้นักพรตชงซวีพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ในเมื่อข้ารับปากท่านแล้วข้าย่อมไม่ผิดคำพูดแน่นอน! เพียงแต่วันนี้ข้าไม่ได้นำติดตัวมาด้วย..”
  “อีกอย่าง..เมื่อครู่พวกท่านทั้งสองก็ได้ยินแล้วว่าที่บ้านของข้ากำลังเกิดเรื่อง และข้าต้องรีบกลับไปโดยเร็ว!”
  นักพรตชงซวีต้องการเห็นหม้อเสินหนงมากหลิงหยุนเองก็ตั้งใจว่าจะให้เขาได้สมปรารถนาสักครั้ง เพราะอย่างน้อยคืนนี้บู๊ตึ๊งก็ไม่ได้ลงมือกับเขา อีกทั้งผู้ที่ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊งก็คือจางซานเฟิงซึ่งเป็นปรมาจารย์ที่เขาชื่นชมอีกด้วย..
  เห็นแก่ท่านปรมาจารย์จางซานเฟิงที่จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม..หลิงหยุนจะให้นักพรตชงซวีได้ชื่นชมหม้อเสินหนงตามที่ปรารถนาแน่!
  แต่เวลานี้หลิงหยุนเป็นห่วงบ้านเลขที่-1อย่างมาก จึงได้แต่ร้องบอกนักพรตชงซวีไปตามตรง..
  “ไต้ซือเจี๋วยหยวน..ท่านนักพรตชงซวี.. ข้ายังคงอยู่จิงฉูไม่ไปใหน หลังจากคืนนี้ผ่านไปข้าของเชิญท่านทั้งสองไปเยี่ยมเยียนที่บ้านข้าได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ข้าต้องขอตัวก่อน..”
  พูดจบ..ร่างของหลิงหยุนก็หายวับไปในทันที!
  นักพรตชงซวีจ้องมองตำแหน่งที่หลิงหยุนหายวับไปอยู่เนิ่นนานแล้วจึงพึมพำออกมา
  “หลวงจีนเฒ่า..ท่านบอกข้ามาตามตรง เขาคือคนผู้นั้นใช่หรือไม่”