สำหรับการต่อสู้บนเขาหลงเหมินระหว่างหลิงหยุนกับยอดฝีมือจากเก้าสำนักในคืนนี้หลายคนกลับต้องพุบจุดจบที่เลวร้าย..
ยอดฝีมือทั้งสี่สิบกว่าคนที่ล้อมหลิงหยุนในคืนนี้ถูกสังหารตายไปสิบเจ็ดคน ได้รับบาดเจ็บสาหัสสามคน ส่วนศิษย์สำนักดาบสวรรค์บางคนก็อยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย!
ส่วนเส้าหลินกับบู๊ตึ๊งนั้นไม่ได้ลงมือกับหลิงหยุนและยังมีสำนักหมัดเทวะกับทวนเหล็กตระกูลเหลย ที่ตกใจกับความแข็งแกร่งของหลิงหยุน และได้ลงจากเขาไปตั้งแต่แรก..
แต่ยังมีนักพรตอีกหนึ่งคนที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว..เขาก็คือโม่วู๋เตา!
นับว่าการต่อสู้ระหว่างหลิงหยุนกับเหล่าชาวยุทธในครั้งแรกนั้นหลิงหยุนเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไปอย่างงดงาม!
‘ดูเหมือนเส้นทางการฝึกตนบนโลกใบนี้จะไม่โดดเดี่ยวอย่างที่คิดเลย อย่างน้อยก็เวลานี้..’
หลิงหยุนใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงสุดพุ่งลงจากเขาไปและระหว่างทางก็ครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียจากการต่อสู้ในคืนนี้ไปด้วย
เขาหลงเหมินแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขามังกรและเส้นทางระหว่างสองเขานี้ก็ห่างกันราวสิบห้ากิโลเมตร ระยะทางเท่านี้ และด้วยความเร็วของหลิงหยุนในขณะนี้ ใช้เวลาเพียงแค่สิบนาทีก็น่าจะถึงบ้านเลขที่-1 แล้ว
แต่เนื่องจากระหว่างเขาสองลูกนี้ก็ยังมีเนินเขาเตี้ยๆ อยู่ตลอด ระยะทางจึงเพิ่มขึ้นจากที่ควรจะเป็นถึงสองเท่า และดูเหมือนหลิงหยุนเองก็ไม่ค่อยจะพอใจนักที่จะไปตามเส้นทางนี้..
หลิงหยุนไม่ได้มีปีกอย่างเจสเตอร์ที่จะสามารถบินตัดไปได้และถึงแม้เขาจะมีวิชาตัวเบา แต่มันก็คือการพึ่งพาสองขาของตัวเอง
อีกทั้งเวลานี้..พละกำลังของหลิงหยุนก็ลดทอนลงไปมากหลังจากผ่านการต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือมาหลายครั้ง และยังได้รับบาดเจ็บภายในค่อนข้างสาหัสอีกด้วย การเดินไปตามเส้นทางนี้จึงทำให้สูญเสียกำลังไม่ต่างจากการต่อสู้เลย..
การกระทำที่เป็นการทำร้ายตัวเองอย่างโง่เขลาเช่นนั้นหลิงหยุนไม่มีวันทำอย่างแน่นอน เขาจึงเลือกที่จะเดินไปตามถนนขึ้นเขาแทน และคอยหาเส้นทางลัดไปด้วย..
หลิงหยุนรู้สึกสังหรณ์ใจว่า..ศัตรูที่บ้านนั้นจะแข็งแกร่ง และโหดเหี้ยมกว่าศัตรูบนยอดเขาหลงเหมิน หลิงหยุนคิดว่าสนามต่อสู้ที่แท้จริงของเขาในคืนนี้น่าจะเป็นที่บ้านต่างหาก!
หลิงหยุนเลือกเดินลงจากยอดเขาหลงเหมินทางด้านทิศใต้อีกทั้งเขาเองก็สังหารศัตรูไปตั้งมากมายแล้ว จึงสามารถเดินลงเขาได้อย่างสบายใจไร้กังวล..
“อะไรกัน!ดึกดื่นป่านนี้ยังมีคนขึ้นเขามาอีกหรือนี่?”
หลิงหยุนลงเขาไปได้เพียงแค่ครึ่งทางก็เห็นเงาสีดำเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ และค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นนักพรตงั้นรึ ดึกดื่นป่านนี้เจ้าขึ้นเขามาทำไมกัน? อย่าบอกนะว่าจะขึ้นมาชื่นชมธรรมชาติในป่าลึก?”
“แต่ไม่น่าจะใช่!”
หลิงหยุนเห็นชัดว่า..เงาตะคุ่มๆ ที่เขาเห็นอยู่นั้นก็คือนักพรตหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมค่อยๆ ปีนเขาขึ้นมาทีละก้าวๆ
“ดูเหมือนชุดของเขาควรจะเป็นสีฟ้าแล้วนั่นเดินแบกกล่องอะไรไว้บนบ่า ในมือมีกระบี่ไม้ด้วย..”
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนรู้สึกขบขันอย่างมากก็คือนักพรตหนุ่มผู้นี้ค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนเขาราวกับเป็นชายแก่อายุเจ็ดสิบ เขาปีนขึ้นมาพร้อมกับคอยเหลือบมองไปรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา ราวกับกลัวว่าจะมีใครกระโดดออกมาจากป่าทึบนั่น..
“อย่าบอกนะว่าเป็นยอดฝีมือที่เลื่องชื่อแต่หากเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจจริง เหตุใดจึงค่อยๆปีนเขาขึ้นมาเช่นนี้?”
หลิงหยุนทั้งงุนงงและนึกขันไปพร้อมๆกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลิงหยุนจึงลดความเร็วลง และกระโดดไปยืนขวางหน้านักพรตหนุ่มทันที
โม่วู๋เตานั้นแม้ได้ตัดสินใจที่จะขึ้นมาบนยอดเขาหลงเหมินแล้วแต่เขาก็ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับหลิงหยุนเร็วนัก จึงค่อยๆ ปีนขึ้นมาตามเส้นทางนี้อย่างช้าๆ อีกทั้งยังเป็นทางชัน โม่วู๋เตาจึงเดินไปสามก้าว แล้วก็หยุดอีกหนึ่งก้าว และเมื่อเดินได้อีกห้าก้าวก็หยุดพัก.. เวลาผ่านมาตั้งเนิ่นนาน แต่เขาเพิ่งจะขึ้นเขามาได้เพียงแค่ครึ่งทาง..
ระหว่างทางที่ปีนขึ้นเขาหลังจากที่ได้หยุดพักไปแล้วนั้นโม่วู๋เตาก็เห็นร่างสีดำกระโดดมายืนตรงหน้าตนเอง เขาจึงตกใจจนถึงกับกรีดร้องออกมา
“ผะ..ผี!”.novel-lucky.
โม่วู๋เตากรีดร้องออกมาเสียงดังเขาหวาดกลัวจนถึงกับหันหลังวิ่งหนีไปทันที และลืมแม้กระทั่งว่าตนเองนั้นคือนักพรตแห่งสำนักเหมาซานซึ่งมีหน้าที่ปราบภูติผีปีศาจ..
หลิงหยุนต้องบังคับตนเองไม่ให้หัวเราะออกมาเสียงดังใบหน้าหล่อเหลาของเขาเวลานี้แดงก่ำไปทั้งหน้าและคำคอ แล้วรีบกระโดดไปขวางหน้าโม่วู๋เตาไว้ทันที
“นี่นักพรตน้อย..ดูให้ดีสิ! ข้าเป็นคนนะ.. ไม่ใช่ผี!”
โม่วู๋เตาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนเกือบจะชนเข้ากับแขนของหลิงหยุนที่กางออกและทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุน เขาก็หยุดชะงักและเงยหน้าขึ้นมองทันที ดวงตาของมู่วู๋เตาเบิกกว้างระหว่างที่จ้องมองใบหน้าของหลิงหยุนด้วยแววตาเป็นประกาย
“โธ่เอ๊ย!ข้าตกใจหมดเลย เจ้าทำให้ข้าตกใจกลัวมากรู้หรือไม่ นี่.. เจ้า.. เจ้าเป็นใคร? มา.. มาจากสำนักใด? แล้วลงมาจากยอดเขานั่นมาได้อย่างไร?”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสายตาดังเช่นหลิงหยุน!มู่วู๋เตาต้องใช้แสงจันทร์ช่วยในการมอง และหลังจากจ้องมองอยู่เนิ่นนาน เขาจึงมั่นใจว่าหลิงหยุนนั้นเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ภูตผีปีศาจอย่างที่คิด แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงที่พูดออกไปก็ยังคงตะกุกตะกักคล้ายคนติดอ่าง..
หลิงหยุนฟังจากคำถามของมู่วู๋เตาก็คาดเดาได้ทันทีว่าเขาก็คือ ‘ยอดฝีมือ’ ที่หลบซ่อนอยู่ในป่า และกำลังจะขึ้นเขาไปจัดการกับตนเอง แต่ถึงกระนั้นความกล้า และฝีมือของนักพรตหนุ่มผู้นี้ ก็ทำให้หลิงหยุนนึกขันจนไม่อยากจะรังแกเขา..
หลิงหยุนยิ้มให้กับนักพรตหนุ่มพร้อมถามกลับไปว่า“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร มาจากสำนักใด? และขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ด้วยเหตุผลใด?”
โม่วู๋เตาได้ฟังน้ำเสียงของหลิงหยุนก็พอคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนดี แต่ก็นึกเสียหน้าที่เมื่อครู่ตนเองได้แสดงความขลาดเขลาออกไปเช่นนั้น จึงได้แต่กระแอมเล็กน้อยก่อนจะตอบหลิงหยุนไปว่า..
“ข้าเป็นศิษย์สำนักเหมาซานนามว่าโม่วู๋เตา..ข้าขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อจะไปเจรจากับหลิงหยุน แต่ก็คงจะสายไปแล้ว..”
โม่วู๋เตาสังเกตเห็นว่าใบหน้าและเสื้อผ้าของหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด อีกทั้งที่หัวไหล่ของเขา เสื้อก็ยังขาดเป็นรูอีกด้วย จึงได้แต่ถามออกไปว่า
“สหาย..ข้าไม่รู้ว่าเหตุการณ์บนยอดเขาเป็นอย่างไรบ้างเวลานี้ ดุเดือดเลือดพล่านมากเลยใช่หรือไม่? ตามตัวของเจ้ามีคราบเลือดอยู่เต็มไปหมด นี่เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
‘ที่แท้ก็เป็นศิษย์สำนักเหมาซานนี่เอง..’หลิงหยุนนึกถึงหลิวเต๋อหมิงซึ่งถูกตนเองสังหารแล้วก็ได้แต่ยิ้ม
“การต่อสู้บนยอดเขาจบลงแล้วดูเหมือนว่าจะดุเดือดไม่น้อยทีเดียว แล้วก็มีคนตายมากมาย ส่วนข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บภายใน..”
โม่วู๋เตาได้ยินว่าการต่อสู้จบไปแล้วก็ได้แต่อึ้งไป! แต่อีกใจก็นึกโล่งอก.. แล้วจึงรีบถามต่อ
“มีผู้ใดถูกสังหารตายบ้างแล้ว.. แล้วหลิงหยุนล่ะ ตอนนี้เขาเป็นเช่นใดบ้าง? สหาย.. เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยจะได้หรือไม่?”
หลิงหยุนนึกแปลกใจที่นักพรตหนุ่มผู้นี้กลับไม่ถามว่าเขาถูกสังหารหรือไม่
หลิงหยุนยิ้มอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นว่า “แต่ละสำนักต่างก็ส่งยอดฝีมือระดับต้นๆมาเพื่อสังหารหลิงหยุน เช่นนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าเขาจะสามารถมีชีวิตรอดลงมาจากเขาได้อีกงั้นรึ”
โม่วู๋เตานั้นเป็นผู้ที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเขาจึงนั่งคุยกับหลิงหยุนอยู่ครู่ใหญ่ โม่วู๋เตาโยนความกลัวก่อนหน้านี้ทิ้งไป แล้วจึงกระซิบเสียงเบา
“พี่ชาย..จากที่ข้าทำนายไว้ คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรหลิงหยุนก็จะไม่ตาย! ต่อให้ส่งยอดฝีมือมามากมายเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์ คำทำนายของข้าไม่เคยพลาด.. ”
หลิงหยุนรู้สึกทึ่งในคำทำนายของนักพรตหนุ่มเป็นอย่างมากและได้แต่กวาดสายตาสำรวจโม่วู๋เตาอย่างละเอียด..
โม่วู๋เตาเห็นแววตาประหลาดใจในดวงตาของหลิงหยุนเขาจึงรู้ว่าตนเองนั้นทำนายได้อย่างถูกต้อง จึงได้แต่ยิ้มออกมาคล้ายกับจะบอกว่า ‘เชื่อข้าหรือยัง’
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้อีกครั้งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะนักพรตน้อย.. เจ้าทำนายได้แม่นยำนัก ข้านี่ล่ะ.. หลิงหยุน!”
“ห๊ะ!”
โม่วู๋เตาถึงกับหน้าซีดเผือดแขนขาอ่อนแรง และทรุดลงไปกองกับพื้นทันที..
หลิงหยุนเห็นสภาพของโม่วู๋เตาก็นึกขันเขายิ้มออกมาพร้อมกับนั่งลงจ้องลึกลงไปในดวงตาของโม่วู๋เตา ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะไหล่ และพูดออกไปว่า
“เจ้าหนู..เจ้าช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยิ่งนัก! เอาล่ะพ่อหมอดู.. บอกมาเหตุใดเจ้าจึงต้องการพบข้า”
โม่วู๋เตาตกใจจนถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ร่างกายของเขาเกร็งไปหมด และรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับร้องตะโกนออกไป
“เดี๋ยว..เดี๋ยว.. เดี๋ยว.. ให้ข้าได้พักหายใจหายคอเสียก่อน!”
โม่วู๋เตาได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่าเขาไม่อยากขึ้นไปบนเขาเพราะไม่ต้องการพบเจอหลิงหยุน แต่กลับต้องมาเจอกันอยู่กลางป่า หากรู้เช่นนี้แต่แรกเขาก็จะรีบปีนขึ้นไปให้เร็วกว่านี้ เพราะอย่างน้อยบนเขาก็มียอดฝีมือมากมายที่จะช่วยตนเองได้!
หลิงหยุนได้แต่ทึ่งในตัวนักพรตหนุ่มผู้นี้จึงต้องการที่จะพูดคุยด้วย..
“เร็วเข้า..ข้ามีเวลาจำกัด!”
โม่วู๋เตาได้ฟังหลิงหยุนเร่งเร้าก็ยิ่งหวาดกลัวและยิ่งเข้าใจคำพูดของหลิงหยุนผิดไป จึงรีบร้องขอชีวิต..
“พี่ชาย..อย่าฆ่าข้าเลย! ข้า.. ข้าไม่เคยคิดที่จะสู้กับท่านเลยนะ ข้าแค่อยากจะขึ้นไปบนเขาเพื่อเจรจากับท่านว่า.. อย่าฆ่าข้าจะได้หรือไม่”
หลิงหยุนเกือบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเขายกมือขึ้นตบบ่าโม่วู๋เตาพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“แล้วใครบอกว่าข้าจะฆ่าเจ้าเล่าข้าหมายความว่าข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องรีบไปจัดการ เจ้ามีอะไรก็รีบๆพูดมา..”
หลิงหยุนเองก็ต้องการสะสางปัญหาระหว่างตนเองกับสำนักเหมาซานไม่ว่าจะด้วยวิธีใหนก็ตาม..
โม่วู๋เตาถูกหลิงหยุนยกมือขึ้นตบบ่าก็ถึงกับสั่นไปทั้งตัว เขารีบกระเถิบหนีไปด้านหลังทันที และรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินหลิงหยุนพูดว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะสังหารตนเอง..
“สำนักเหมาซานของข้า..หลิว.. หลิว..”
โม่วู๋เตาหวาดกลัวหลิงหยุนจนถึงกับพูดติดอ่างและไม่กล้าพูดออกมาอะไรอีก..
หลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายพูดแทน“หลิวเต๋อหมิงกับแห่งสำนักเหมาซานกับศิษย์ร่วมสำนักถูกข้าสังหารตาย.. เจ้าต้องการที่จะสู้กับข้าเพื่อแก้แค้นให้กับพวกเขางั้นรึ”
หลิงหยุนถามโม่วู๋เตาอย่างตรงไปตรงมาแต่โม่วู๋เตากลับส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า
“ข้าสู้ท่านไม่ได้หรอก!แต่ท่านช่วยบอกข้าที.. เหตุใดท่านจึงต้องสังหารพวกเขาด้วย”
หลิงหยุนนิ่งไปเขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปช่วยดึงโม่วู๋เตาขึ้นจากพื้น แล้วจึงบอกกับเขาว่า..
“เจ้าตามข้ามา..เพราะเหตุใดข้าจึงต้องสังหารพวกเขา เมื่อเจ้าเห็นทุกอย่าง เจ้าก็จะเข้าใจได้เอง..”