หญิงทั้งสามเห็นพ้องที่จะจับตัวเขา และจากนั้นพวกนางจึงกระโจนใส่เขาอย่างคล่องแคล่ว ความเร็วของถังหยวนมิอาจเทียบชั้นกับหญิงสาวทั้งสาม ซุนเซี่ยวเหม่ยคว้าเข้าที่หู และดึงเขากลับมา เจ้าอ้วนถัง ร้องขอความเมตตาต่อเนื่องขณะเขาอดทนต่อการถูกกระทำ
” เอาละเจ้าอ้วนถัง เจ้ากำลังพยายามล่อลวง คุณชายน้อยจวิน ให้ไปยังสถานที่ซึ่งถูกละทิ้งนั้นหรือ ! วันนี้ข้าจักตีเจ้าจนไขมันหลุดออกจากร่าง เจ้ากล้าเอ่ยถึงเด็กสาวเหล่านั้นได้เช่นไร … “
ซุนเซี่ยวเหม่ย เป็นผู้เริ่ม ขณะที่หญิงทั้งสามเริ่มสาปแช่งใส่เขาราวสายฝน พวกนางกระทืบเขา ต่อหน้าจวินโม่เซี่ย แต่ละนางมีความโทสะอยู่เต็มท้อง เจ้าอ้วนถัง มาถึงในช่วงเวลาที่สำคัญ เขาจึงได้เป็น กระสอบทรายให้แก่พวกนางเพื่อปลดปล่อยโทสะ มันจักไร้ค่า หากพวกนางมิได้ใช่เขาเพื่อจุดประสงค์เหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ พวกนาง มีเหตุ อันสมเหตุผลเพื่อใช้ประโยชน์ …
น้ำมูก น้ำตา หลั่งไหลบนใบหน้าอ้วนๆของเขา ร่างอวบอ้วน ใบหน้าจ้ำม่ำและมืออวบๆ เขามิอาจนับจำนวนครั้งที่เขาโดนต่อยได้ และ ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียว ม่วง และจากนั้นสีดำเข้ามาแทนที่ เขากรีดร้องลั่นสั่นสะเทือนโลกา เจ้าอ้วน ร้องขอให้จวินโม่เซี่ย เห็นใจและช่วยน้องเล็กจากเรื่องราวอันรุนแรงไม่หยุดหย่อนนี้แต่กระนั้น เขามิได้รับการตอบกลับใดๆ
การซ้อมเจ้าอ้วนถังนั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก หญิงทั้งสามเหนื่อยหอบ พวกนางหยุดลง เมื่อจำได้ว่าวายร้ายตัวจริงนั่งอยู่ด้านข้าง พวกนางตระหนักได้ทันทีว่าเพิ่งคว้าโอกาสเพื่อสลัดความทุกข์ทั้งหมดไปแล้ว เจ้าอ้วนถังลุกขึ้น จากนั้น อธิบายต่อเนื่องอยู่ชั่วครู่
” จวินโม่เซี่ย ข้ามิคาดว่าเจ้า … “
หญิงทั้งสามเงียบลงทันที ซึ่งทำให้ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด
สถานที่ซึ่ง คุณชายน้อยจวิน นั่งอยู่ว่างเปล่า ทั้งสี่ มองหา จวินโม่เซี่ย ในห้องอย่างโง่เขลา พวกเขาไม่รู้เลยว่า จวินโม่เซี่ยหายไปเมื่อไหร่
แม้แต่ ตัวยาสมุนไพรซึ่งร่วงอยู่บนพื้นก็หายไปเช่นกัน …
การกระทำของเขารวดเร็วดั่งสายฟ้า
ปู่ถัง ได้รับข่าวจากราชสำนัก ว่าหลานชายคนโตของเขา ถังหยวนได้รับการเรียกตัวในวันพรุ่ง และร่วมสนทนากับ องค์จักรพรรดิ ถังหว่านลี่ ไม่รู้ว่าเหตุใดหลานชายจึงถูกเรียกตัว แต่เป็นการยากที่จะปฏิเสธคำบัญชา องค์จักรพรรดิ ดังนั้น เขาจึงส่งผู้หนึ่งไปยังจวนสกุลจวิน และนำตัวหลานชายซึ่งเคยถูกขับไล่กลับจวน
ในตอนนั้น คุณชายน้อยถัง ยังเปอระเปื้อด้วยดินโคลน ด้วยเหตุนั้น เขาจึงขอบคุณสวรรค์ที่ได้นำพาเขาออกจาทะเลแห่งทุกข์ยากที่กำลังประสบอยู่ เขารีบออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว แท้จริงแล้ว เขามิได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย เขามิเคยรู้สึกรักปู่ของเขาเช่นนี้มาก่อน ที่ได้ช่วยชีวิตเขาจากควาทรมาณเช่นนี้ ปู่จึงกลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของเขา
ฟากฟ้าเริ่มมืดลงเมื่อเวลาผันผ่าน แสงสว่างเริ่มจุดติดขึ้นในลานที่จวนสกุลจวิน งานสังสรรค์ถูกตระเตรียมในห้องรับรองเพื่อเป็นเกียรติกับแขกมีสกุล ตู่กู้วูตี้ และ เสนาบดีซุน
งานสังสรรค์นี้มิได้สามัญ ปู่จวิน และ จวินวูอี้ ไปร่วมงานกับแขกด้วยตัวเอง แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ย กลับหายไปดั่งฝุ่นควัน หญิงสาวทั้งสามขบฟัน ท้องของพวกนางถูกแผดเผาด้วยเปลวแห่งโทสะ และ พวกนางประสงค์จะลบล้างมัน
จวินโม่เซี่ย แอบออกมาจาก เจดีย์หงส์จวิน ช่วงกลางดึก เวลานั้น ทุกผู้หลับไหล เขาเหลือบซ้ายขวา และมุ่งตรงไปห้องนอนของเขา
น่าขันยิ่งนัก ข้ามิได้หลบซ่อนจากสามเด็กสาวนั้น เหตุใดข้าจึงเกรงกลัวพวกนาง ? ข้าหลบไป… เพียงเพื่อตระเตรียมยาให้แก่ อยี่กู้ฮั่น เท่านั้น
ช่วยผู้อื่นเป็นดั่งการดับไฟ ข้าจักมัวชักช้าได้เช่นไร ? และการรักษานี้จะต้องใช้เวลา … คนเหล่านี้จำต้องพักผ่อนในเวลานี้จริงหรือ ? ไม่มีสิ่งใดที่จะยุ่งยาก !
จวินโม่เซี่ยปลอบใจตัวเอง พร้อมด้วยยาชาซึ่งเขาได้ตระเตรียมมาในช่วงเวลาครึ่งวันหลังนี้ ยาตัวหนึ่งต้องใช้กิน และยาภายนอกอีกจำนวนหนึ่ง จวินโม่เซี่ย มุ่งไปยังห้องนอนของเขา และเริ่มรักษากระดูกที่ได้รับบาดเจ็บของ อยี่กู้ฮั่น
จำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ซี่โคร่งที่หักตรงหน้าอกของเขา อยี่กู้ฮั่น เริ่มประสานกันราวได้รับการเย็บปัก พวกมันได้รับการควบคุมอย่างสมบุรณ์เมื่อเขาเสร็จสิ้น เสื้อผ้าของ คุณชายน้อยจวิน เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ เขาเหน็ดเหนื่อยยิ่ง และ แทบมิได้นั่งเลย เขาพยักหน้าและพึมพำ
” แม่ของข้าไม่ทำงานหนักเพื่อข้า … ครั้งต่อไปที่ข้าทำเช่นนี้ .. ข้าจักตายเสียก่อน ความพยายามนี้ เกือบฆ่าข้าตาย ! “
ทันใดนั้น จวินโม่เซี่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอลึกลับหลั่งไหลรอบตัว ทำให้ขนบนร่างของเขาชูชัน อากาศเริ่มขาดแคลน และเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและรุนแรง บรรยากาศหนาวเย็นยิ่ง
จวินโม่เซี่ยเงยขึ้นรวดเร็ว เขาตัวสั่นเมื่อเห็นปราณจิตวิญญาณอันน่าอัศจรรย์ในอากาศ …
ปราณที่บ้าคลั่งและสั่นสะเทือนโลกาเพิ่งมขึ้นอย่างรวดเร็วใน นครเทียนเชียง จากนั้นมันปะทุขึ้น ไม่นานมันปกคลุมไปทั่วระยะห้าลี้ …
ปราณนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธเคือง …
ใช่ เจ็บปวด ! มองเห็นได้อย่างเจือจาง แต่ทุกผู้ที่สัมผัสมันได้ จักรู้ได้ว่าผู้ที่ปลดปล่อยปราณนี้ออกมาโศกเศร้ายิ่งนัก เป็นความรู้สึกที่แท้จริงอย่างมาก
จวินโม่เซี่ย มั่นใจว่าผู้ที่ปลดปล่อยปราณนี้ออกมา เป็นยอดฝีมือชั้นสูง และเกินกว่าทุกผู้คน แต่กระนั้น มือสังหารจวินยังคงถือว่าคนผู้นี้เป็นรองเพียงเขา อย่างไรก็ตาม คล้ายว่าคนผู้นี้จักแข็งแกร่งกว่า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และ ฉีฉางเซี่ยว
ผู้ที่ทรงพลังยิ่ง กำลังมีโทสะมหาศาลและโศกเศร้าอย่างที่สุด …
จวินโม่เซี่ย เริ่มไตร่ตรองกังวลใจ เขามิอาจพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทันใดนนั้น เสียงเยือกเย็นและเลื่อนลั่นดังขึ้นสู่ฟากฟ้า ทำลายความสงัดยามค่ำคืน มันม้วนผ่าน นคร ดั่งคลื่นซึนามิ
” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ! เหวินฉางยู่ ! มาหาข้า เจ้าคนเลวทั้งสอง ! “
ทันใดนนั้น เสียงร้องอันอ้างว้างและขุ่นเคืองดังออกมาจากท้องฟ้า และทำให้ทุกผู้ตื่นตกใจ
คนสามัญมากมายอาศัยอยู่ในนครหลวงเบื้องล่าง แต่กระนั้น เสียงที่ดั่งก้องดูคล้ายจะไร้ความน่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความวิตกอันใดในค่ำคืนนี้ ดังนั้นผู้นั้นตะโกนออกมาด้วยการบรรจุลมปราณที่ไหลวเวียนอยู่ทั่วทั้งร่างลงไป การร้องเรียกอย่างสง่างามนั้น เพียงพอที่ทำให้ ทุกชีวิตใต้นภานี้ตื่นตกใจ
เสียงเห่าหอนดังก้องต่อไป ราวเสียงคำรามของเขามังกร ทำให้พื้นที่รอบๆสั่นสะเทือนขณะที่สะท้อนภายใน นครเทียนเชียง มันยังคงมีอยู่แผ่วเบา..แม้นจะไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเสียงจะไม่เร่งรีบแต่ผืนดินก็แตกเป็นเสี่ยง มีผู้คนมากมายมิอาจนับคำรามออกมาพร้อมเพรียงราวกับแม่น้ำไหลย้อนกลับ และ
ทุกผู้ตื่นจากหลับไหล แม้แต่ผู้ที่หลับดั่งตายก็มิอาจละเว้น พวกเขาไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงอื่น เนื่องจากเสียงนี้ยังคงดังก้องในหู
ชายร่างผอม เสื้อคลุมดำ ยืนอยู่บนหลังคาของ หอมณีวิจิตร เสียงคำรามของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธเคือง
… และ รุนแรง อันตราย และมีลมปราณที่เกรี้ยวกราดรุนแรง…
” เจ้าอาจหาญสังหารศิษย์ของข้า เจ้ากลับไม่กล้าจะมาพบหน้าข้า ? เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เหวินฉางยู่ เจ้าตายแล้วกระนั้นหรือ ? เจ้าไม่กล้า ทำตัวดั่งคนขงลาด ! “
ชายชุดดำ ร่ำร้องออกมาทรงพลังยิ่งกว่าในครานี้
ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงจำนวนมากหูมืดบอดลงหลังจากได้ยิ่งเสียงคำรามนี้ หูของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด ราวกับมันฉากขาดเนื่องจากเสียงที่ดั่งก้องนี้
สองเสียงคำรามลั่นดังขึ้น หนึ่งเสียงมาจาก ราชวัง และ อีกหนึ่งมาจากจวนสกุลจวิน เสียงคำรามทั้งสามดังก้องสะท้อนผ่านนภา ปะทะเข้าด้วยกัน ทันใดนนั้น ความกดดันของเสียงคำรามก่อนหน้านี้เริ่มเสื่อถอย
” ตู้ม ! “
ร่างนกขนาดมหึมาปรากฏบนลานเล็กๆของจวินวูอี้ และ เหาะขึ้นรวดเร็ว ก่อกำเนิดเสียงคำรามต่อเนื่องขณะพุ่งขึ้นไป เขาพุ่งขึ้นไปเหนือท้องฟ้าสามสิบลี้ จากนั้นวนอยู่บนนภาราวกับ อินทรีย์ที่กำลังพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้า จากนั้น จึงมุ่งหน้าไปยัง หอมณีวิจิตร
” ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย ! ในที่สุดเจ้าก็มาถึง เจ้าต่ำช้า ! ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ ! “
เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวหัวเราะลั่นขณะเขาพุ่งไปราวดาวตก
” ดูเหมืนอว่า เจ้าปิศาจเลือดเย็นผู้นี้มาถึงแล้ว แต่เหตุใด ปรมาจารย์ระดับห้าใน แปดยอดปรมาจารย์จึงมาที่นี่ ? “
อีกเสียงคำรามหนึ่งดังขึ้นให้ได้ยินต่อเนื่อง มันสะท้อมาจากราชสำนัก
” พี่เล่ย และ น้องเหยี่ยว เจ้ามาถึงแล้ว ! น้องเล็ก เหวินฉางยู่ ยินดีต้อนรับท่านทั้งสอง ! “
เหวินฉางยู่ หรือ ขุนนางเหวินจากราชสำนัก เสียงของเขาล้ำเลิศมิสามัญ นุ่มนวล ไม่เร่งรีบ เห็นได้ชัดว่ามันถูกปล่อยออกมาอย่างไร้ความพยายาม แต่กระนั้น น้ำเสียงที่นุ่มนวลของเขาก็สามารถต่อสู้กับน้ำเสียงที่รุนแรงทั้งสองได้ มันดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน และดูเหมือนจะไม่เบาบางลง
ชัดเจนว่า ขุนนางเหวินมิได้แข็งแกร่งเช่นปรมาจารย์ทั้งสอง แต่ใกล้เคียงกับพวกเขาในระดับเชวียนของเขา
ชายทั้งสามยืนบนหลังคา หอมณีวิจิตร ดวงดารามากมายเปล่งประกายในสวรรค์เบื้องบน สายลมกรีดร้องพาดผ่านถนนระหว่างบ้านแต่ละหลัง ชุดคลุมของทั้งสามโบกสะบัดรุนแรงท่ามกลางสายลม ราวกับเทวาแห่งสวรรค์ชั้นเก้าเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์
น่าประหลาดใจที่ได้เห็น ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย มาด้วยตัวเอง
อาวุโสผู้นี้มีศิษย์ทั้งหมด สิบคน พวกเขาสี่คนตาย สามคนเกินกว่ารักษา … และที่เหลือได้รับบาดเจ็บ และยังไม่ฟื้นคืน อาวุโสบ้าคลั่งด้วยโทสะหลังจากได้เห็น มันเป็นการต่อรองที่ดีหากพวกเขาสังหารเป้าหมายของจักพรรดิพวกเขาได้ แต่มิได้ ดังนั้น เขาจึงรีบมาเพื่อจัดการ
มือสังหาร จวิน รู้ว่า เล้ยวูเบ้ย คือ ปรมาจารย์เลือดเย็นผู้ไร้เทียมทาน แต่กระนั้น จวินโม่เซี่ยก็มิได้รู้สึกถึงความกลัวในใจเมื่อได้ยินเสียงของเขา กลับกัน เขาเร่งรีบกระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยาง และตามติดเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไป แท้จริงแล้ว เขาติดตามไปอย่างใกล้ชิดไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว จวินวูอี้ เดินไปยังห้องของจวินโม่เซี่ย เร่งรีบ เสื้อคลุมสีฟ้าของเขาโบกสะบัดท่ามกลางสายลม แต่ เขาพบเพียงอยี่กู้ฮั่น ไร้ผู้อื่นภายในห้อง จวินวูอี้ มิอาจกลั้นยิ้ม แน่นอน เคล็ดวิชาของหลานชายเขา ล้ำเลิศยิ่งกว่าสวรรค์ ความกล้าหาญของเขาน่าประทับใจ แต่
ร่างของ เล้ยวูเบ้ย สู่งส่ง ฟ้ากฟ้ายังไม่สว่าง แต่มันยังส่องประกาย ทั่วทั้งโลกมืดมิด แต่ ดวงตาของ เล้ยวูเบ้ย ลุกโชนท่ามกลางความมืดมิดด้วยความแสงที่เยือดเย็น และเลือดเย็น แต่หากมองเขาอย่างถี่ถ้วน … จะเห็นว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เขามีชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ผู้เลือดเย็นที่สุด แต่ ศิษย์ สามในสิบต้องพิการตลอดไป ขณะที่อีกสี่ถูกสังหาร เป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงของ ยอดฝีมือเลือดเย็นผู้ทรงพลัง และเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอภัยได้ !
บางทีไม่มีผู้ใดสามารถอภัยได้ …
เล้ยวูเบ้ย ฝึกฝนยอดฝีมือ สวรรค์เชวียน ทั้งสิบพร้อมกัน ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น เป็นสิ่งที่ ไม่มียอดปรมาจารย์คนใดสามารถ
แต่ เขาต้องสูญเสีย ศิษย์ สองในสามจากสิบคนภายในหนึ่งเดือน แม้นว่าขั้นบำเพ็ญของพวกเขามิได้อยู่ในขั้นสวรรค์เชวียน … เขาก็มิอาจสงบลงได้
คุณชายน้อยจวิน ติดตามเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวไปอย่างใกล้ชิด แต่ เขาไร้อารมณ์จะเข้าใจความโศกและโกรธของ เล้ยวูเบ้ย แต่ เขาพบว่าตัวเองได้ประสบกับเหตุการณ์อันอัศจรรย์ยิ่ง หรือ อาจจะเรียกว่า ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เขาพบ เมื่อเผชิญกับยอดฝีมือชั้นสูงในโลกนี้ …. ฉีฉางเซี่ยว เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เล้ยวูเบ้ย ราชครูแห่งอาณาจักรยูถัง สามอาวุโสเทพเชวียนแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ขุนนางเหวิน และ แม้แต่สองราชัญปิศาจ แห่งป่าเถียนฟา …
แม้นจะไม่ชัดเจนสำหรับ ขุนนางเหวิน … แต่เมื่อมองไปยังผู้คนจากความแข็งแกร่งระดับ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ขึ้นไป … พบได้ว่า ยอดฝีมือสูงสุดเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน
พวกเขาโดดเดี่ยว !