แน่นอน โดดเดี่ยว !

 

ราวกับไม่สำคัญว่าพวกเขาจะยืนที่ใด หรือ มีผู้คนมากมายเพียงใดเคียงข้าง พวกเขาจักโดดเดี่ยวเสมอ  พวกเขามิอาจลงรอยกับผู้คนโดยรอบ  คล้ายดั่งพวกเขาโดดเดี่ยวภายในโลกและสวรรค์อันกว้างใหญ่นี้

 

ความอ้างว้างเช่นนี้ คือความห้าวหาญแท้จริง

 

กระนั้น ก็ยังเป็นความรู้สึกที่อ้างว้าง

 

นี่คือราคาที่ต้องแลกมาเพื่อกลายเป็น ปรมาจารย์ไร้เทียมทาน ?  หรือที่เรียกกันว่า … การโดดเดี่ยวบนจุดสูงสุด ?  เมื่อผู้ใดบรรลุไปถึงขั้นเดียวกับพวกเขา … พวกเขาจักต้องโดดเดี่ยวเช่นนี้ ?

 

แต่ ข้ามั่นใจ เมื่อเอ่ยถึงความโดดเดี่ยว … ข้าก้าวเกินไปกว่าพวกเขา

จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกเยือกเย็น

ข้ามิอาจเทียบความแข็งแกร่งกับเจ้าได้ แต่ความโดดเดี่ยวนั้นข้าเกินกว่ายิ่งนัก !

 

จวินโม่เซี่ย ครุ่นคิดลึกล้ำชั่วครู่  จากนั้น เขาเห็นเงาหนึ่งคู่ฉับพลัน สองคนปีนขึ้นหลังคา  หนวดสีขาวของพวกเขา ปลิวไสวในสายลม พร้อมใบหน้าสง่างาม  ผู้มาใหม่มิใช่ใครอื่นนอกจาก ผู้อาวุโสสามและเก้าแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน

 

” อาวุโสทั้งสองให้เกียรติพบเราด้วยตัวเอง  เรายินดียิ่งที่พี่เหวินมายังห้างร้านเรา  นครพายุหิมะสีเงินของเราเป็นเกียรติแท้จริง  เหตุใดพวกเราไม่ลงไปดื่มชากันสักหน่อย ? “

ผู้อาวุโสสามประมือและยิ้ม

 

เขาเห็นได้ว่า ทั้งสาม ไม่เป็นมิตรกันอย่างยิ่ง  เขารู้ว่าคำพูดของเขาไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้  แต่ เขายังคงร้องขอให้พวกเขา ติดตามเข้าไปใน หอมณีวิจิตร  ไม่มีผู้ใดประสงค์จะให้ นครพายุหิมะสีเงินเสียความพอใจ  ดังนั้น เขาจึงแสดงความกล้าหาญและเชิญพวกเขา

 

เล้ยวูเบ้ย โศกเศร้ายิ่ง  เขายิ้มเป็นเวลานาน แต่มิได้สนใจคำเชิญของ ผู้อาวุโสสาม  จากนั้นตะโกน

” เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !  ศิษย์หกของข้า ต้องกระดูกหักรุนแรง และ เอ็นฉีกขาด  จำต้องพิการไปตลอดชีวิต  เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้น ? “

 

ใบหน้า ผู้อาวุโสสามเต็มไปด้วยความลำบากใจ  ในด้านความแข็งแกร่ง เขามิอาจเทียบ แต่เขาคือตัวแทนแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน ท่าทีของ เล่ยวูเบ้ย ทำให้ผู้อาวุโสสามโกรธเคือง  แต่กระนั้น เขาเก็บโทสะเอาไว้ เนื่องจากเห็นถึงความโศกเศร้าและใบหน้าที่บ้าคลั่งของเล่ยวูเบ้ยได้ชัดเจน

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะด้วยท่าทีเข้าใจ

” เหตุใดท่านจึงโกรธเคืองยิ่งนัก พี่เล่ย ?  เขาเป็นเพียงศิษย์  อาวุโสผู้นี้เพียงเมตตา และสั่งสอนบทเรียนของเขาแทนท่าน เจ้ามีศิษย์สิบคน เพียงหนึ่งต้องพิการคงมิใช่เรื่องใหญ่มากมาย  และเขาเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาศิษย์ของเจ้าที่ยังไปไม่ถึงขั้น สวรรค์เชวียน  ข้ากำจัดขยะซึ่งจะก่อความหายนะให้ชื่อเสียงของท่าน  ข้ากำจัดขยะเพื่อท่าน ข้าทำให้ท่านมิต้องอับอาย !  ฮ่าฮ่าฮ่า … “

 

ปราณที่ชั่วร้ายปะทุขึ้นในร่าง เล้ยวูเบ้ย ราวกับมีลูกคลื่นก่อตัวขึ้นภายในร่างของเขาอย่างช้าๆ  เขาเพ่งมอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ดวงตาแสดงจิตสังหารไร้สิ้นสุด  เขาพยักหน้าเชื่องช้า และเอ่ยเสียงล้ำลึก

” เอาละ !  ดีมาก !  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เจ้าไม่มีค่าพอเรียกตัวเองว่า ครู ของชนรุ่นอาวุโส  เจ้าโจมตีผู้อ่อนด้วยกว่า !  เจ้าจักต้องได้รับความอับอาย ! “

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว พ่นลมทางจมูก และมอง เล้ยวูเบ้ย ดูหมิ่น  เขาพ่นลม

” อะไรนะ ?  ท่านจะแก้แค้นให้ศิษย์ ?  เช่นนั้นเข้ามา เล้ยวูเบ้ย ข้ารอคอยโอกาสนี้มาสามสิบปี !  ข้ารู้สึกมาอย่างยาวนานว่าการจัดอันดับนั้นไม่ถูกต้อง ! “

 

เล้ยวูเบ้ย อดกลั่นความรู้สึกและยิ้ม

” ข้ามิกังเวลาเรื่องนั้น  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว แท้จริงแล้วสิ่งที่ข้าประสงค์จะรู้คือ … ศิษย์ของข้ากระทำผิดเช่นไรกับเจ้า ?  สิ่งใดทำให้เจ้ากระทำชั่วร้ายเช่นนี้ ทั้งที่รู้ถึงตัวตนของเขา ?! “​

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวตอบเยือกเย็น

” เขากล้าขัดใจข้า ?  เขาไม่เป็นที่น่าพอใจ ในสายตาข้า !  เป็นเหตุผลที่พอเพียงหรือไม่ เล่ยวูเบ้ย ? “

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ฉีฉางเซี่ยว และคนอื่นๆ ต่อสู้กันเพื่อ แกนเชวียน  ศิษย์หกของ เล้ยวูเบ้ย ลอบเข้ามาขโมยแกนเชวียนจาก เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว และเขาเกือบสำเร็จ  สิ่งนี้ทำให้ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว อึดอัดใจย่างยิ่ง แต่กระนั้น ในตอนนี้เขาจักยอมรับมันได้เช่นไร ?

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีทางที่ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว จักอธิบายสิ่งต่างกับ ปรมาจารย์เลือดเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อน้ำเสียงของ เล่ยวูเบ้ย หยิ่งยโสขณะถามเขา  ปรมาจารย์ผู้หยิ่งผยองมิเคยก้มหัว

 

ผู้ใดจักผิดหรือถูก … ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งเดียวที่แท้จรองในโลกนี้

 

” เป็นเหตุผลที่ดี !  ดียิ่งนัก !  เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว ข้าจักจดจำเหตุผลนี้ไว้ “

เล้ยวูเบ้ย หัวเราะจริงใจ จากนั้นเขาเปลี่ยนทิศทางเพ่งมอง และเอ่ยวาจากับ เหวินฉางยู่ด้วยน้ำเสียงสง่าผ่าเผย

” พี่เหวิน .. ท่านอยู่นี่ ? ท่านอยู่ในนครเทียนเชียง ? “

 

เหวินฉางยู่ยิ้มอ่อนโยน

” อาจารย์เล่ยสายตากว้างไกล !  เหวินมาเพื่อปกป้องสัญญาอันศักดิสิทธิ์กับอาณาจักร ! “

 

เล้ยวูเบ้ยหลับตา  ดวงตาเขาเปล่งประกาย และเริ่มหม่นหมอง  จากนั้น ลืมตาขึ้นรวดเร็ว และเริ่มเปล่งประกายความเยือกเย็น อันตราย และ แสดงสีเขียวอันอนาถใจ  ราวกับเขาเป็นปิศาจ และทำให้ลมรอบตัวไม่หยุดนิ่ง ดูเหมือนว่าลมนี้จะกรีดร้องอย่างเจ็บปวดในหัวใจ  เขาเอ่ยด้วยท่าทีเยือกเย็นยิ่ง

” พี่เหวินฉางยู่ การปกป้องสนธิสัญญามิใช่เหตุผลในการสังหารศิษย์สี่คนของข้า !  การคุ้มคันสนธิสัญญามิได้หมายความว่าท่านจักกระทำไร้ยางอายได้ ! “

 

เหวินฉางยู่มองขึ้นบนฟากฟ้า และถอนใจไร้เรี่ยวแรง  ประกายโทสะเปล่งขึ้นบนใบหน้า … เล้ยวูเบ้ย อยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจแยกแยะความชั่วดี  ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีของเขาแข็งแกร้าว และไร้เหตุผล  แต่ ขุนนางเหวินตระหนักถึงหน้าที่ของเขา เขาถอนใจลึกและยับยั้งโทสะ

 

ครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก้มหัวลง  เขามอง เล้ยวูเบ้ยไร้อารมณ์

” อาจารย์เล่ย … ข้ามิได้สังหารศิษย์ของท่าน ! “

 

เหวินฉางยู่ เสียงต่ำ

” ข้ากล่าวกับ อาจารย์เล่ย เนื่องจากท่านไต่สวนและถากถาง แต่ข้า ประสงค์เพียงอธิบายแก่ท่าน !  ไม่ว่าท่านจักเชื่อหรือไม่ .. ยอมรับหรือไม่ … ! “

 

เล้ยวูเบ้ย ยังคงเงียบ จากนั้นเขาตอบกลับเยือกเย็น

” เมื่อพี่เหวินเอ่ยเช่นนั้น … ข้าจักไม่เชื่อท่านได้เช่นไร ! “

น้ำเสียงของเขายังเยือกเย็น ความชั่วร้ายดูจะลดลง  น้ำเสียงของเขาเริ่ม นุ่มนวล

” หากพี่เหวินบอกข้า … ข้าจักไปทุกเมื่อ !

 

แต่ ผู้ใดสังหารศิษย์ข้า ?  ท่านสามารบอกได้หรือไม่ พี่เหวิน ?  หากพี่เหวิน ประสงค์จะตอบคำถามและบอกความจริง … เล้ยวูเบ้ยผู้นี้จำต้องขออภัยกับกริยา ! “

เล้ยวูเบ้ยดึงมืออาจากปลอกแขน และปล่อยลงด้านข้าวเชิงเป็นมิตร

 

เล่ยวูเบ้ยคือยอดปรมาจารย์  ศิษย์ของเขาถูกสังหาร  แต่เขายังคงเอ่ยวาจาท่าที่วง่างาม และรับฟังเหตุผล  ถือได้ว่าน่ายกย่อง แม้นว่าฝ่ายตรงข้ามจักเป็นเทพเชวียนเช่นเดียวกับเจ้า

 

” ที่มาและความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นลึกลับยิ่ง  เหวิน ก็สนใจเขาเช่นกัน  โชคร้ายที่เรื่องนี้ยิ่งเหยิงและสับสน  ยิ่งไปกว่านั้น เหวินมั่นใจว่าเขาโยนความผิดให้ข้า “

 

ไม่นานรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ เหวินฉางยู่ คล้ายเขามิได้ละอายใจ  รอยิ้มของเขา เป็นดั่งหมอกควันที่ปะทะกับลมซึ่งไร้ชีวิตชีวา  ราวกับเรื่องนี้มิได้สลักสำคัญ

 

” และตอนนี้ ข้าได้พบว่า อาจารย์เล่ย ค้นหาเขาด้วยตัวเอง  แต่เหวินไร้หนทาง และเต็มใจยอมรับความผิดนี้ “

 

” ข้าต้องขอบคุณท่านมากยิ่งในเรื่องนี้ พี่เหวิน “

ดวงตา เล้ยวูเบ้ยเปล่ประกายเยือกเย็นขณะเขาป้องมือ

” ตามประสงค์พี่เหวิน ต้องขออภัยสำหรับเรื่องวันนี้ “

 

เหวินฉางยู่หัวเราะ และป้องมือกลับ

” เป็นเกียรติยิ่ง  ข้าหวังได้พบท่านอีก  เหวิน มีงานการเร่งด่วน ขออภัย ! “

 

เขาป้องมืออีกครั้ง  จากนั้น จากไปราวกับใบไม้แห้งกลางสายลมกระหน่ำ  เขาเหาะขึ้นท้องฟา ร่างผอมบางราวกระพือดั่งกระดาษ  เขาวนไปในอากาศชั่วครู่ จากนั้น หายไปไร้ร่องรอย

 

คุณชายน้อยจวิน แอบเฝ้ามอง  เขามิอาจกลั่นคำสถบในใจ

คำอธิบายอาวุโสผู้นี้เรียบง่ายยิ่ง  เขาเอ่ยเพียงว่ามันคือความเข้าใจผิด … ง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ ?  และ ปรมาจารย์เลือดเย็น เล้ยวูเบ้ย เหตุใดจึงเชื่อย่างรวดเร็ว ?!  …. เพียงแค่ผู้หนึ่งบอกว่าเขามิได้ทำ น่าประหลาดใจที่ ปรมาจารย์ระดับห้าใน แปดยอดปรมาจารย์หลงเชื่อ ?!

 

หรือขุนนางเหวินไม่เคยโป้ปด ?  หรือ เขาดีเกินกว่าจะหลอกลวง !

 

ข้าไร้วาจา .. อย่างแท้จริง !

 

จวินโม่เซี่ยเข้าใจถึงหนึ่งสิ่งขณะเขาสาปแช่ง ผู้ที่อยู่ในขั้นการบำเพ็ญระดับนี้ไม่จำเป็นต้องหลอกลวง  ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจักเกรงกลัวส่ิงใดเมื่ออยู่ในระดับนี้  แต่ การอธิบายเช่นนี้ยังดูแปลกประหลาด

 

การชี้แจงนั้นมิควรหยุดลง แม้นจะเป็นการเข้าใจผิด …  คำชี้แจงนั้นเบาบาง !

 

ท่าทีของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวก็มิได้แตกต่าง … !

 

เล้ยวูเบ้ยเชื่อคำชี้แจงของ เหวินฉางยู่ ยิ่งกว่านั้น ท่าทีของ ปรมาจารย์เลือดเย็นต่อเขาก็แตกต่างสิ้นเชิง ราวกับ เล้ยวูเบ้ยไร้หนทางแต่ต้องเห็นด้วยกับ เหวินฉางยู่แม้นว่าเขามิได้ชี้แจงอย่างเหมาะสม  และดูราวกับมีบางสิ่งเกี่ยวกับตัวตนของ เหวินฉางยู่

 

ระดับปราณเชวียนของ ขุนนางเหวินนั้นอ่อนด้อยกว่า เล้ยวูเบ้ย แต่ ที่ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นมิได้อธิบาย เพราะเขาไม่ประสงค์จะดูหมิ่น ปรมาจารย์เลือดเย็น

 

หรือคนผู้นั้นจะมาจากสถานที่นั้น ?

ความสนใจของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาใคร่ครวญในใจ

แต่สถานที่นั้นอยู่ที่ใด ?  เหตุใด เล้ยวูเบ้ย หนึ่งใน แปดยอดปรมาจารย์ ดูจะเกรงกลัวเขา ?  มีบางสิ่งต้องสงสัย ?

 

จากนั้น เล้ยวูเบ้ยหันไปหา เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว เขาลดมือลงและ พ่นลมทางจมูกเยือกเย็น

” ตอนนี้เหลือเพียงเราสอง เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว “

จากนั้นเขาสบัดปลอกแขนด้วยโทสะไปยัง ผู้อาวุโสเก้าและสาม ตะโกน

” เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า !  นครพายุหิมะสีเงิน ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเกี่ยวพันในเรื่องนี้ ! “

 

ราวกับสายลมรุนแรงกรีดร้องไปยังพวกเขา  ผู้อาวุโสสามและเก้าเจ็บปวด  พวกเขาโกรธเคืองอย่างรุนแรง แต่อีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเกินไป  ดังนั้น พวกเขาไร้ทางเลือกเพียงแต่ป้องมือ กระโดดเข้าสู่สายลมและหายตัวไป  แต่กระนั้น ความคิดของพวกเขาแตกต่างกัน

ข้าจะเฝ้าดูหากเจ้ากล้าอวดดี้ เมื่อคนจาก นครสีเงินพวกเรามาถึง !

 

เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว หัวเราะ  ร่างสูงของเขาลอยขึ้นสู่อากาศราวกับอินทรีย์ขณะพ่นลมทางจมูก

” เจ้ามีสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์ !  เช่นนั้น เจ้าประสงค์จะล้างแค้นให้พวกเขา ?  ตามข้ามา ! “

 

เล้ยวูเบ้ย กรีดร้อง  ราวกับวิญญาณนับพันหลบหนีออกมาจากประตูนรก ร่างของเขาลอยขึ้นในอากาศเชื่องช้า  ติดตาม เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวใกล้ชิด จากนั้นหายไปภายในพริบตา

 

ทางช้างเผือกเปล่งประกายขึ้นยามราตรีราวกับแม่น้ำแห่งดาราที่เยือกเย็น

 

จวินโม่เซี่ย กระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยางติดตามพวกเขาไป

 

เขายอมรับในความแข็งแกร่งของ อาจารย์ผู้นี้  จวินโม่เซี่ยกระตุ้นเคล็ดอิสระหยินหยางระดับสูงสุด  กระนั้นเขายังต้องใช้ความยายามอย่างหนักเพื่อติดตามพวกเขา

 

จวินโม่เซี่ยเป็นเลิศในฝีมือการพรางตัว  เขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดในนครเทียนเชียงสำเร็จได้เช่นเขา  นั่นรวมถึง ขุนนางเหวินผู้ลึกลับ

 

การเคลื่อนไหวดั่งนกของ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว รวดเร็วที่สุดใน ดินแดนเชวียนเชวียน ยิ่งไปกว่านั้น เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลาง แปดยอดปรมาจารย์ ดังนั้น เขาจึงใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดเพื่อแสดงถึงอำนาจต่อ เล้ยวูเบ้ย ชัดเจนว่า เล้ยวูเบ้ย ไม่กล้าละเลยเรื่องนี้  ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงเริ่มแข่งขันความเร็วกันทันที

 

ชายทั้งสองได้ปะทะวาจากันอย่างหนักหลังจากพบกัน  แต่ พวกเขาก็มาถึงสุดขอบแห่งการแข่งขันที่ดุเดือด

 

การโต้เถียงกันเป็นดั่งการประลองรอบแรก  แต่ ปรากฏว่า การบำเพ็ญของเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวขาดแคลนในเรื่องนี้  แต่เหมือนว่า ความเร็วจะเป็นการแข่งขันในรอบที่สองของพวกเขา