ตอนที่ 1979 หอคอยโยวหลิง (1)
จวินอู๋เสียค่อนข้างสนใจหอคอยโยวหลิงที่เมิ่งอีเหลียงกล่าวถึงหลายครั้ง
เมื่อจวินอู๋เสียถามเกี่ยวกับหอคอยโยวหลิง วิญญาณอื่นๆที่นั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะข้างๆก็ตวัดสายตามามองอย่างไม่เป็นมิตร ดูเหมือนจะเกลียดคำนี้เอามากๆ
น่าหลานเยว่ถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดเรื่องหอคอยโยวหลิงจากเจ้า ที่ข้าไม่บอกเจ้าก็เพราะข้าไม่เห็นด้วยกับการใช้หอคอยโยวหลิงฝึกฝน”
น่าหลานเยว่หยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “เมื่อกี้เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าเมิ่งอีเหลียงเรียกข้าว่าอาจารย์อา อูจิ่วอาจารย์ของพวกเขากับข้าเป็นลูกศิษย์ของท่านครูวิญญาณ วิญญาณมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อหนึ่งพันปีก่อน อาจารย์ของข้าเป็นวิญญาจารย์ที่จ้าววิญญาณให้ความสำคัญมากที่สุด อาจารย์ของข้าเป็นผู้นำของเหล่าวิญญาณมนุษย์ ยึดมั่นในวิธีการฝึกแบบโบราณ แต่เมื่อจักรพรรดิแห่งความมืดเรืองอำนาจ เขาได้มาที่โลกวิญญาณ หลังจากการรวมอาณาจักรกลางเข้าด้วยกัน อาจารย์ของข้ารู้สึกผิดมากที่ไม่ค้นพบถึงการเข้ามาของจักรพรรดิแห่งความมืดตั้งแต่เนิ่นๆ เขาลงโทษตัวเองด้วยการสละตำแหน่งวิญญาจารย์และไปเก็บตัวในภูเขา ตั้งแต่นั้นมาอูจิ่วศิษย์พี่ของข้าก็เข้ารับตำแหน่งของอาจารย์และรับใช้ข้างกายท่านจ้าววิญญาณ”
“การสร้างหอคอยโยวหลิง อูจิ่วเป็นผู้แนะนำ เขาบอกว่าหอคอยจะถูกเสริมด้วยอักขระโบราณเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณให้มากขึ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังของวิญญาณมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หอคอยโยวหลิงแห่งแรกก็ถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่นั้นมา เหล่าวิญญาณมนุษย์ก็ละทิ้งวิธีการฝึกฝนดั้งเดิม และเริ่มฝึกฝนในหอคอยโยวหลิง”
พอพูดถึงเรื่องนั้น น่าหลานเยว่ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“บอกตามตรงว่าตอนที่หอคอยโยวหลิงเพิ่งสร้างเสร็จ ใจข้าก็หวั่นไหวไปกับวิธีการฝึกที่น่าอัศจรรย์ และได้ไปฝึกที่หอคอยโยวหลิงแห่งแรกอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้าก็เริ่มเกิดความไม่แน่ใจในหอคอยโยวหลิง การฝึกในหอคอยโยวหลิงนั้นได้ผลรวดเร็วกว่าเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้น พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง ทำให้คนติดใจได้ง่าย แต่การเพิ่มแบบนั้นมันเกินขอบเขตการฝึกปกติ ข้าอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้น ข้าก็เลยออกจากหอคอยโยวหลิงและไม่ฝึกที่นั่นอีก แต่ใช้วิธีการฝึกที่อาจารย์ข้าสอนต่อไป”
“หอคอยโยวหลิงสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของวิญญาณมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มอย่างไม่มีขอบเขตเช่นนี้ไม่ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยบ้างหรือ?” น่าหลานเยว่มองจวินอู๋เสีย ไม่รู้ว่าคำถามนั้นเขาถามนางหรือถามตัวเอง
พลังที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่จิตใจซับซ้อนมากที่สุด นับตั้งแต่โบราณมา มนุษย์ได้เริ่มแสวงหาอำนาจในหลายๆพื้นที่แล้ว
พวกเขาปรารถนาเงิน อำนาจ และพลังซึ่งช่วยหล่อเลี้ยงความปรารถนาอันหิวกระหายของพวกเขา ทำให้พวกเขามองข้ามคำถามที่สำคัญที่สุดอยู่เสมอ
น่าหลานเยว่เคยถามอูจิ่วมาก่อน แต่ก็ถูกหัวเราะและเย้ยหยันกลับมา ทำให้ศิษย์พี่น้องคู่นี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแยกทางและเดินไปตามเส้นทางที่ต่างกัน
“ถ้าเจ้าเลือกจะไปที่หอคอยโยวหลิง ก็จำคำพูดของข้าเอาไว้ด้วย การเติบโตเร็วเกินไปอาจไม่ใช่สิ่งที่ดี” น่าหลานเยว่กล่าวในตอนท้าย พยายามเกลี้ยกล่อมจวินอู๋เสียอย่างจริงใจ
จวินอู๋เสียฟังคำพูดของน่าหลานเยว่อย่างเงียบๆ คำถามหนึ่งผุดขึ้นในใจนาง
[อักขระโบราณ?]
ไม่รู้ทำไม จู่ๆจวินอู๋เสียก็นึกถึงวิชาเสริมวิญญาณที่นางเคยเรียนรู้มาในอดีต
อักขระโบราณที่นางใช้ในวิชาเสริมวิญญาณเป็นสิ่งที่นางได้มาจากชาติที่แล้ว และนางค้นพบโดยบังเอิญว่ามันสามารถใช้ในโลกนี้ได้ ผลของมันเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะจินตนาการได้
“ข้าอยากไปดูที่หอคอยโยวหลิง” จวินอู๋เสียพูดขึ้น
ตอนที่ 1980 หอคอยโยวหลิง (2)
หลังจากได้ยินคำพูดของจวินอู๋เสีย น่าหลานเยว่ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาโดยไม่รู้ตัว
[ใช่สิ ใครบ้างไม่อยากได้วิธีฝึกที่เร็วกว่า?]
“ตอนนี้หอคอยโยวหลิงถูกสร้างขึ้นสามแห่ง ตั้งอยู่สามทิศทาง พวกบัวน้อยน่าจะรู้ที่ตั้งของมันอยู่แล้ว เจ้าให้พวกเขาพาไปก็ได้” น่าหลานเยว่ถอนหายใจ ยังไงซะมันก็คือทางเลือกของจวินอู๋เสีย เขาไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยว
จวินอู๋เสียพยักหน้า หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งนางก็พูดขึ้นว่า “ถ้าข้าอยากฝึกด้วยวิธีโบราณ ข้าจะไปหาท่านได้ที่ไหน?”
เมื่อสิ้นเสียงของจวินอู๋เสีย ความผิดหวังบนใบหน้าของน่าหลานเยว่ก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ เขามองจวินอู๋เสียอย่างตกใจ คาดไม่ถึงว่าหลังจากได้ฟังเรื่องความเร็วในการฝึกที่หอคอยโยวหลิง นางจะยังคิดที่จะใช้วิธีการฝึกแบบโบราณ ความยินดีผุดขึ้นมาในแววตาของน่าหลานเยว่โดยไม่รู้ตัว
“ข้าอยู่ที่ชายป่าโยวเมิ่งทางด้านเหนือ บัวน้อยเคยไปที่พักของข้ามาก่อน ถ้าเจ้าอยากไปหาข้าก็ไปได้เลย” ในน้ำเสียงของน่าหลานเยว่มีความดีใจที่ปิดไม่มิด
สำหรับคนที่ยึดมั่นในความเชื่อของตน หลังจากโดนเย้ยหยันดูถูกมานับไม่ถ้วน การได้รับการยอมรับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ดีใจอย่างเหลือล้นได้
จวินอู๋เสียไม่ใช่วิญญาณใหม่คนแรกที่น่าหลานเยว่เจอ เขาอยู่ที่โลกวิญญาณมากี่ปีมีแต่สวรรค์ที่รู้ เนื่องจากเขาเป็นศิษย์ของครูวิญญาณ จึงได้รับการยกย่องอย่างสูงในหมู่วิญญาณมนุษย์ที่โลกวิญญาณ ก่อนที่หอคอยโยวหลิงถูกสร้างขึ้นมา วิญญาณมนุษย์ที่ฝึกฝนภายใต้การดูแลของน่าหลานเยว่มีมากเกินกว่าจะนับได้ แต่ตั้งแต่หอคอยโยวหลิงเสร็จสมบูรณ์ วิญญาณมนุษย์ที่ฝึกฝนในความดูแลของเขาก็เริ่มถูกดึงไปทีละคนด้วยผลที่น่าอัศจรรย์ของหอคอยโยวหลิง และสุดท้ายก็ไม่เหลือวิญญาณมนุษย์อยู่ข้างกายของน่าหลานเยว่อีก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา น่าหลานเยว่ได้พบกับวิญญาณใหม่จำนวนมากที่มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินเรื่องหอคอยโยวหลิง พวกเขาก็เลือกที่จะไปหอคอยโยวหลิงกันทุกคนโดยไม่มียกเว้นเลยแม้แต่คนเดียว
“ปกติแล้ววิญญาณมนุษย์ทุกคนฝึกกันอยู่ที่หอคอยโยวหลิง ที่ป่าโยวเมิ่งก็เลยไม่มีคน ถ้าเจ้าต้องการก็ไปหาข้าที่นั่นได้ทุกเมื่อ” น่าหลานเยว่กล่าว สายตามีความสุข
จวินอู๋เสียพยักหน้า มีแค่สองเหตุผลที่นางต้องการไปที่หอคอยโยวหลิง หนึ่งคือนางอยากรู้เกี่ยวกับอักขระโบราณในหอคอยโยวหลิง และสอง นางอยากไปหาวิญญาณของจวินกู่
น่าหลานเยว่ก็พูดว่า วิญญาณมนุษย์ทุกคนไปที่หอคอยโยวหลิง จวินอู๋เสียจึงอยากจะไปดูว่านางจะหาเบาะแสของพ่อนางที่หอคอยโยวหลิงได้รึเปล่า
ต้องรู้ว่าหลังจากเข้ามาในโลกวิญญาณ ความทรงจำส่วนใหญ่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขาจะจำเรื่องตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ดังนั้น หากต้องการค้นหาจวินกู่ จวินอู๋เสียก็ต้องไปหาเขาด้วยตัวเอง
นางคุยกับน่าหลานเยว่อีกครู่หนึ่งก่อนที่กลุ่มของจวินอู๋เสียจะลุกขึ้นและจากไป
ระหว่างทาง จวินอู๋เสียคิดเรื่องที่ได้ยินเกี่ยวกับหอคอยโยวหลิง ขณะที่บัวน้อยเคี้ยวแป้งทอดที่ซื้อมาจากหุนหุนโหลวอย่างมีความสุข
ร่างวิญญาณไม่รู้สึกหิว บัวน้อยกินมากขนาดนี้เพียงเพื่อสนองความอยากเท่านั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าวิญญาณไม่สามารถกินอาหารปกติได้ ไม่ว่าจะตะกละแค่ไหน หลังออกจากโลกวิญญาณแล้ว อาหารข้างนอกไม่ว่าจะอะไรก็ตามคือสิ่งที่ร่างวิญญาณไม่สามารถย่อยได้ ต่อให้กินเข้าไปก็มีแต่จะทำให้ทรมานเท่านั้น มีเพียงอาหารที่สร้างขึ้นด้วยพลังของวิญญาณเท่านั้นที่ร่างวิญญาณสามารถย่อยได้
บัวน้อยอยู่กับจวินอู๋เสียนานเท่าไร ก็คือระยะเวลาที่เขาต้องทนต่อความอยากกินของเขาเท่านั้น เมื่อมีโอกาสอันหายากที่ได้กลับมายังโลกวิญญาณเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่กินเท่าไรก็ไม่พอ
ตอนที่ 1981 หอคอยโยวหลิง (3)
“เจ้านายคิดเรื่องหอคอยโยวหลิงอยู่หรือขอรับ?” อิงซู่เอ่ยถามพร้อมกับมองสีหน้าครุ่นคิดของจวินอู๋เสีย
“อืม” จวินอู๋เสียพยักหน้าแล้วหันไปมองอิงซู่ ในตอนนี้อิงซู่ทำตัวน่าเชื่อถือมากกว่าบัวน้อยที่เอาแต่กิน “เจ้ารู้เกี่ยวกับหอคอยโยวหลิงไหม?”
อิงซู่ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ย่อมรู้อยู่แล้วขอรับ ที่น่าหลานเยว่พูดเป็นความจริง หอคอยโยวหลิงถูกสร้างขึ้นโดยอูจิ่วศิษย์คนโตของครูวิญญาณ และมีแต่วิญญาณมนุษย์เท่านั้นที่เข้าไปข้างในได้ วิญญาณมนุษย์เคยมีพลังที่อ่อนแอในโลกวิญญาณ ตั้งแต่หอคอยโยวหลิงถูกสร้างขึ้นมา พวกเขาก็เริ่มมีอำนาจมากขึ้น ตอนนี้พวกเขามีตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงในโลกวิญญาณ”
“โอ้? ดูเหมือนพวกเจ้าไม่ชอบวิญญาณมนุษย์กันเลยนะ” จวินอู๋เสียไม่ลืมสายตาไม่เป็นมิตรจากวิญญาณเผ่าพันธุ์อื่นตอนอยู่ในหุนหุนโหลว
อิงซู่ยักไหล่
“ตอนที่ครูวิญญาณเป็นผู้นำวิญญาณมนุษย์ ก็ไม่มีปัญหาเช่นนี้หรอก แต่นับตั้งแต่อูจิ่วรับตำแหน่งวิญญาจารย์ เขาก็ค่อนข้างสุดโต่ง ทำให้เกิดความไม่พอใจจากเผ่าพันธุ์อื่น เจ้านายรู้ไหมว่าหอคอยโยวหลิงแห่งแรกสร้างขึ้นบนพื้นที่ที่วิญญาณพืชอาศัยอยู่? วิญญาณพืชจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นั่น แต่เพราะหอคอยโยวหลิงถูกสร้างขึ้นที่นั่น พวกวิญญาณพืชจึงถูกบังคับให้ออกไป ยิ่งกว่านั้น หอคอยโยวหลิงก็อนุญาตให้วิญญาณมนุษย์เข้าได้เท่านั้น แล้วพวกวิญญาณพืชจะพอใจกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?”
บ้านของตัวเองถูกบังคับรื้อถอนเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น ไม่มีใครจะชอบใจได้หรอกnovel-lucky
“หอคอยโยวหลิงอีกสองแห่งก็ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ของวิญญาณอาวุธและวิญญาณสัตว์อสูรเช่นกัน” อิงซู่มองจวินอู๋เสีย เขาไม่จำเป็นต้องพูดส่วนที่เหลือ จวินอู๋เสียก็น่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาอยากจะพูด
แม้ว่าการที่วิญญาณมนุษย์แข็งแกร่งขึ้นจะเป็นเรื่องดี แต่การแย่งชิงพื้นที่ของเผ่าพันธุ์อื่นและไม่อนุญาตให้เผ่าพันธุ์อื่นใช้สถานที่แบบนี้ มันออกจะเกินไปสักหน่อย……ยิ่งไปกว่านั้น วิญญาณมนุษย์จำนวนมากก็เริ่มแสดงความเย่อหยิ่งออกมาหลังจากที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้เกิดความเกลียดชังต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก
จวินอู๋เสียพอจะประเมินได้คร่าวๆเลยว่าวิญญาณมนุษย์ถูกเกลียดชังถึงระดับไหนในโลกวิญญาณ
ขณะที่เดินไปพูดคุยกันไปนั้น อิงซู่ก็พาจวินอู๋เสียมาถึงหอคอยโยวหลิงที่ถูกสร้างขึ้นเป็นแห่งแรก
จวินอู๋เสียยืนอยู่ด้านนอกหอคอยโยวหลิงและเห็นวิญญาณมนุษย์จำนวนมากรวมตัวกันเป็นกลุ่มรอบๆหอคอย หอคอยโยวหลิงมี 12 ชั้น บนยอดหอคอยมีลูกไฟวิญญาณสีส้มลุกโชนอยู่ เทียบกับไฟวิญญาณบนหลังคาของจวินอู๋เสียแล้ว ลูกไฟที่นี่ใหญ่กว่าและสว่างกว่ามาก
“พวกเขากำลังทำอะไร?” จวินอู๋เสียถามขณะมองดูฝูงชนที่กำลังเข้าแถวต่อคิวกันอยู่
อิงซู่กอดอก พูดพลางหัวเราะว่า “กำลังรอเข้าไปข้างใน วิญญาณมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หอคอยโยวหลิงไม่สามารถรองรับได้ทุกคน ดังนั้น อูจิ่วจึงตั้งกฎไว้ว่า วิญญาณมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปฝึกในหอคอยได้วันละหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมื่อฝึกเสร็จแล้วจะต้องออกไปทันทีเพื่อที่คนอื่นๆจะได้เข้ามาได้ แถวยาวแบบนี้มีให้เห็นที่หอคอยทั้งสามทุกวัน ที่ท่านเห็นวันนี้นับว่าน้อยแล้ว”
“ฝึกแค่ชั่วโมงเดียวเองหรือ? แล้วเวลาที่เหลือล่ะ?” จวินอู๋เสียถามต่อ
“คงต่อแถวรอล่ะมั้ง” อิงซู่ยักไหล่
พออิงซู่พูดจบ ประตูของหอคอยโยวหลิงก็เปิดออก คนหลายคนเดินออกมาจากข้างใน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไหน แต่กลับตรงไปที่ท้ายแถวเพื่อต่อแถวรออีกครั้ง
จวินอู๋เสียมองดูจำนวนคนแล้วก็รู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะกลับมาต่อแถวเร็วแค่ไหน คนพวกนี้ก็ได้เข้าหอคอยโยวหลิงอย่างมากก็สองชั่วโมง ฝึกสองชั่วโมงต่อวัน แล้วเวลาที่เหลือก็หมดไปกับการต่อแถวรอ การฝึกแบบนี้จวินอู๋เสียไม่เอาด้วยเด็ดขาด
การฝึกฝนพลังไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการที่น่าประหลาดใจอย่างแน่นอน แต่จะต้องหมั่นฝึกฝนเป็นเวลาหลายวันหลายเดือน การฝึกฝนเพียงสองชั่วโมงต่อวันเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาผลของหอคอยโยวหลิงมากเกินไป และละทิ้งความเป็นไปได้ของตัวเอง