“โธ่เว้ย..ไฟมาดับอะไรตอนนี้วะ!” ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่หรูหราที่สุดในเมืองจิงฉูการที่ไฟฟ้าจะดับเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และในยามค่ำคืนแบบนี้ เมื่อไม่มีไฟฟ้า ภายในบ้านจึงมืดมิดไปหมด สองตาแทบมองอะไรไม่เห็น แล้วมีหรือที่ถังเมิ่งจะไม่รู้สึกหงุดหงิดโมโห..
“เจ้างั่งเอ๊ย!ยังจะบ่นบ้าบออะไรอีก.. ไม่รู้หรือยังไงว่าศัตรูมันได้ตัดไฟที่บ้านแล้ว ตอนนี้นายอยู่ในห้องนี้ไม่ได้แล้ว รีบออกมาเร็วเข้า!”
ตี้เสี่ยวอู๋วิ่งเข้าไปในห้องร้องตะโกนบอกถังเมิ่งพร้อมกับลากเขาออกมาจากห้องทำงานทันที
“เสี่ยวอู๋..ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ฉันมียันต์เตโชเพียงพอน่า!” ถังเมิ่งบ่นพึมพำออกมา
ตี้เสี่ยวอู๋ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดและยังคงลากตัวถังเมิ่งไปที่สวนหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว..
ในขณะเดียวกันหนิงหลิงยู่ก็ทำหน้าที่คุ้มครองดูแลเกาเฉินเฉินและพานางไปรวมตัวที่สนามหน้าบ้าน เวลานี้ทุกคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับศัตรูที่จะบุกเข้ามาในคืนนี้
ท่ามกลางความมืดมิด..หนุ่มสาวทั้งแปดคนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่สวนหน้าบ้าน และกำลังปรึกษาหารือกัน..
ตี้เสี่ยวอู๋เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า“ดูจากการเตรียมตัวมาอย่างดีของพวกมันแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นคนจากองค์กรนักฆ่า! คืนนี้ผมคงต้องร่วมต่อสู้ด้วย!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาหันไปมองรอบๆแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ฉันก็จะช่วยสู้กับพวกมันอีกแรง.. แต่ใครจะรับหน้าที่ดูแลคุ้มครองหนิงน้อยได้บ้าง”
ในบรรดาหนุ่มสาวทั้งแปดคนนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นผู้ที่สามารถใช้พิษได้ อีกทั้งยังมีดักแด้ทองคำซึ่งมีฤทธิ์เดชมากมายอีกด้วย เธอจึงนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม..
เหยาลู่ยื่นมือไปดึงร่างของหนิงน้อยเข้ามาหาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันจะทำหน้าที่ดูแลหนิงน้อยให้เอง ถ้าฉันยังไม่ตาย.. รับรองว่าจะไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นกับหนิงน้อยเด็ดขาด!”
ส่วนหนิงหลิงยู๋ก็เอื้อมมือไปจับมือเกาเฉินเฉินไว้พร้อมบอกกับเกาเฉินเฉินว่า“เฉินเฉิน.. พวกเราอยู่ด้วยกันเถิดนะ!”
หนิงหลิงยู่นั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจงดงามเช่นเดียวกับรูปร่างหน้าตาแม้กระทั่งในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เธอก็ยังไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าจะทำหน้าที่ดูแลคุ้มครองเกาเฉินเฉิน นั่นเห็นได้ชัดว่าหนิงหลิงยู่คิดถึงจิตใจ และความรู้สึกของเกาเฉินเฉินด้วย..
เกาเฉินเฉินเองก็ซาบซึ้งในน้ำใจของหนิงหลิงยู่อย่างมากและรีบวิ่งตรงเข้าไปหาหนิงหลิงยู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลิงยู่..ขอบใจนะ!”
แต่ถังเมิ่งกลับร้องห่มร้องไห้พร้อมกับจ้องมองตี้เสี่ยวอู๋ด้วยน้ำตานองหน้า “เสี่ยวอู๋.. ที่ผ่านมาฉันทั้งหาข้าวหาน้ำให้นายทุกวัน เป็นห่วงเป็นใยนายสารพัด แต่เวลานี้มีอันตรายเกิดขึ้น นายกลับไม่เป็นห่วงฉันเลย! ฉันเสียใจจริงๆ!”
หลินเมิ่งหานมองถังเมิ่งด้วยแววตาสงสารจึงได้แต่ยิ้มและพูดออกไปว่า “โถ.. ถังเมิ่ง นายอยู่กับฉันก็แล้วกัน!”
ถังเมิ่งถึงกับยิ้มแฉ่งและรีบพูดประจบประแจง “ผมคิดอยู่แล้วว่าพี่เมิ่งหานจะต้องดีกับผมที่สุด!”
เวลานี้ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นจากด้านนอกจึงไม่มีใครพูดจาไร้สาระอีก หนิงหลิงยู่เป็นฝ่ายร้องตะโกนบอกทุกคน
“ตอนนี้ทั้งน้าหญิงและพี่ใหญ่ต่างก็ไม่อยู่ที่บ้าน พวกเราคงต้องพึ่งเซียนเอ๋อคนเดียวแล้วล่ะ! ทุกคนมีหน้าที่ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และพยายามอยู่รวมกัน อย่าแยกตัวไปใหน และอดทนรอจนกว่าพี่ใหญ่จะกลับมา!”
“เอาล่ะ..พวกเราไปหลบที่สวนด้านหลังกันดีกว่า!”
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับรู้..จากนั้นตี้เสี่ยวอู๋กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เป็นฝ่ายเดินนำทุกคนไปที่สวนด้านหลัง..
บนเนินเขาเหนือบ้านเลขที่-1นั้น เวลานี้มีร่างสูงใหญ่หลายร่างกำลังยืนเรียงรายอยู่บนนั้น และทุกคนต่างก็ชะโงกหน้าลงมายังบ้านหลังนี้
และหนึ่งในนั้นก็คือชายชุดขาวที่มีรูปร่างสง่างามสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่สาวงามทั้งเจ็ดคนซึ่งยืนเรียงรายอยู่ภายในสวนหน้าบ้าน แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเหี้ยนกระหือต้องการที่จะได้ครอบครองพวกนาง…novel-lucky.
“ช่างงดงามนัก..งดงามมากจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าในเมืองจิงฉูจะมีสาวงามมากมายเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่พวกนางล้วนเป็นผู้หญิงของหลิงหยุน..”
“แต่เอาเถอะ..เพราะในคืนพรุ่งนี้ พวกนางทั้งหมดก็จะต้องตกเป็นของข้าแล้ว! ข้าจะได้บ่มเพาะเคียงคู่กับพวกนาง..”
แน่นอนว่าชายผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโอรสพรรคมาร– ซือกงวู่จี๋!
สิ้นคำพูดของซือกงวู่จี๋..ไฟฟ้าภายในบ้านเลขที่-1 ก็ดับพรึบลงทันที!
ซือกงวู่จี๋ค่อยๆหันไปมองชายที่สวมผ้าดำปิดบังใบหน้าซึ่งอยู่ถัดจากเขาไป แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านเหลิ่ง..ข้าจัดการตัดไฟภายในบ้านหลังนั้นให้แล้ว สัญญาณโทรศัพท์ภายในบ้านก็ถูกองค์การนักฆ่าทำการคลื่นรบกวน จากนี้ไปบ้านหลังนี้จะต้องกลายเป็นหลุมฝังศพเท่านั้น!”
“เอาล่ะ..ในเมื่อสำนักแดนใต้ต้องการเข้าร่วมกับพรรคมารของเรา ในการต่อสู้รอบแรกนี้ก็ควรจะเป็นหน้าที่ของพวกท่าน.. ท่านคิดเห็นเช่นใด”
แม้จะเป็นการถามความเห็นแต่น้ำเสียงของเขาก็คือการสั่งการนั่นเอง..
ชายสวมผ้าคลุมหน้าสีดำนี้ก็คือเจ้าสำนักแดนใต้นามว่าเหลิ่งหยางซูนั่นเองเขาโค้งศรีษะลงพร้อมกับรับคำสั่งจากซือกงวู่จี๋ด้วยท่าทีนอบน้อม..
“ในเมื่อร่วมมือกับโอรสพรรคมารแล้วข้าก็ยินดีรับคำสั่งของท่าน!”
ซือกงวู่จี๋เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า “เอาล่ะ.. ในเมื่อท่านเหลิ่งเต็มใจ ก็สั่งให้คนของท่านบุกเข้าไปในบ้านได้เลย!”
จากนั้นซือกงวู่จี๋ก็หันไปทางอีกด้านเขามองชายที่สวมชุดสีแดงราวกับเลือดพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านเฉี่วย..ท่านรอบุกเข้าไปเป็นชุดที่สอง ท่านเห็นว่าอย่างไร”
เฉี่วยหยินกงแห่งสำนักโลหิตมารยกมือขึ้นประสานพร้อมกับตอบไปว่า“สำนักโลหิตมารยินดีรับคำสั่งโอรสพรรคมาร!”
ซือกงวู่จี๋ยิ้มออกมาพร้อมกับร้องสั่งผู้ที่อยู่ด้านหลังตนเองโดยไม่หันไปมอง“ท่านจิน.. ท่านนำเหล่าราชันย์นักฆ่าทั้งยี่สิบสี่คนไปจัดการทุกอย่างให้จบในคราวเดียว หากไม่สุดวิสัยจริง ห้ามทำให้หญิงสาวทั้งเจ็ดคนได้รับอันตรายโดยเด็ดขาด ข้าต้องการนำตัวพวกนางกลับไปด้วยทั้งหมด.. เข้าใจหรือไม่”
ท่านจินพยักหน้าเงียบๆพร้อมกับร้องสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ออกจากป่าทึบทันที..
แต่จู่ๆเหลิ่งหยางซูก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “โอรสพรรคมาร.. ข้าได้ยินมาว่าหลิงหยุนช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! ไม่ว่าตระกูลเฉินจะส่งยอดฝีมือมากี่คน ก็ล้วนแล้วแต่ถูกหลิงหยุนสังหารตายจนหมด..”
ซือกงวู่จี๋หัวเราะเย้ยหยัน..ก่อนจะเหลือบมองเหลิ่งหยางซูพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านจะไปรู้อะไร ข้าเกรงแต่ว่าหลิงหยุนจะไม่มีปัญญากลับมามากกว่าน่ะสิ! อย่าลืมว่าจุดประสงค์ที่เราบุกมาที่บ้านของเขา ก็เพื่อกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนั้น นั่นนับเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ และแข็งแกร่งที่สุดของพรรคมารเลยทีเดียว!”
เหลิ่งหยางซูฟังแล้วถึงกับเหงื่อตกด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับพยักหน้ารับรู้..
ซือกงวู่จี๋ก้มลงไปมองด้านล่างและพบว่าเวลานี้ชายชุดดำมากกว่าสามสิบคนได้ไปถึงหน้าบ้านของบ้านเลขที่-1 แล้ว จึงหันไปพูดกับเหลิ่งหยางซู
“ท่านเหลิ่ง..ท่านยังไม่ออกคำสั่งอีกรึ”
น้ำเสียงในคำพูดของซือกงวู่จี๋นั้นเป็นการบีบบังคับข่มขู่มากกว่าจะเป็นการถามอย่างปกติ..
เหลิ่งหยางชูรีบหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาพร้อมกับร้องสั่งว่า“บุกเข้าไปได้แล้ว!”
ที่กำแพงด้านนอกข้างบ้านเลขที่-1เวลานี้มีชายชุดดำผู้หนึ่งทำหน้าที่รับคำสั่ง และยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนบุกเข้าไปในบ้านทันที!
และยอดฝีมือทั้งสามสิบหกคนของสำนักแดนใต้ซึ่งอยู่ในชุดสีดำพร้อมผ้าปิดบังใบหน้า ต่างก็ชักกระบี่ออกมา แล้วกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในบ้านทันที..
และในนาทีที่ทุกคนกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปโศกนาฏกรรมก็เริ่มเกิดขึ้น..
หลิงหยุนได้ใช้ลูกเหล็กที่มีน้ำหนักถึงสองสามร้อยกิโลกรัมทำการวางค่ายกลนวสังหารไว้ที่สนามนอกบ้านแล้ว และเมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาค่ายกลจึงเริ่มทำงาน
ทันทีที่เหล่าชายชุดดำกระโดดข้ามรั้วเข้ามาค่ายกลนวสังหารก็ดังครืนๆ ขึ้นมาทันที และลูกเหล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าครึ่งเมตรหลายลูก ก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นอย่างต่อเนื่อง และเรียงตัวกันกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ลอยขึ้น แต่น่าแปลกที่ลูกเหล็กเหล่านั้นกลับไม่พุ่งชนกัน!
จากนั้นลูกเหล็กขนาดใหญ่พวกนั้นก็พุ่งเข้าใส่ร่างของเหล่าชายชุดดำ และด้วยความเร็ว และพลังรุนแรงของลูกเหล็กเหล่านั้น ทำให้ชายชุดดำหลายคนถึงกับเลือดสาด กระดูกแหลกเหลว เนื้อเละ และกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน..
ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวและสยอดสยองยิ่งนัก!
เพราะร่างของผู้ที่ถูกลูกเหล็กขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่นั้นสภาพของแต่ละคนล้วนแหลกเหลว เละเทะไม่ต่างจากโคลนนุ่มนิ่มที่ถูกของหนักทับจนแบนติดกับพื้น
คนอื่นๆที่กระโดดมา และกำลังลอยอยู่กลางอากาศนั้น ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นก็ไม่ต่างจากสำลีที่ชุ่มไปด้วยเลือด!
“แย่แล้ว..นี่มันอะไรกัน”
“นี่มันไม่ใช่ลูกเหล็กสำหรับตกแต่งบ้านหรอกรึจู่ๆ เหตุใดจึงลอยขึ้นมาเช่นนี้ได้?”
“พี่น้องของเราถูกสังหารตายไปมากมาย..”
เวลานี้ยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้ทั้งสามสิบหกคนที่เพิ่งจะกระโดดเข้ามาในบ้านนั้นถูกลูกเหล็กทับตาย และได้รับบาดเจ็บร่วมยี่สิบคน มีเพียงผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งสิบกว่าคนเท่านั้น ที่สามารถฝ่าค่ายกลเข้าไปในบ้านได้..
แต่ถึงกระนั้น..ในสิบกว่าคนที่เข้ามาภายในบ้านได้นั้น สามถึงห้าคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส..
สำหรับผู้ที่ฝ่าค่ายกลเข้ามาได้และมีชีวิตรอดนั้น ยังไม่ทันที่จะได้ยืนนิ่งด้วยซ้ำไป ก็พบว่ามีเงาอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาตรงหน้า แล้วแต่ละคนก็มีรอยเลือดที่หน้าผาก ก่อนจะล้มลงกับพื้นตายในทันที บางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองได้ตายไปแล้ว..
ที่แท้เป็นไป๋เซียนเอ๋อ..นางปรากฏตัวขึ้นที่สวนด้านหน้า และด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างมากของนาง นางได้จัดการใช้ดัชนีจิ้งจอกจิ้มลงไปบนหน้าผากของเหล่าชายชุดดำ และทุกคนต่างก็รู้สึกราวกับถูกหนามแหลมทิ่มแทง ก่อนจะสิ้นใจตายในทันที!
ก่อนที่หลิงหยุนจะออกจากบ้านนั้นเขาได้กำชับไป๋เซียนเอ๋อว่า หากใครก็ตามที่กล้าบุกรุกเข้ามาในบ้านหลังนี้ ให้นางสังหารได้ทันทีโดยไม่ต้องไต่ถามให้เสียเวลา..
ไป๋เซียนเอ๋อนั้นยึดมั่นในคำสั่งของหลิงหยุนยิ่งกว่าสิ่งใดดังนั้นเมื่อมีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาในบ้านจริงๆ นางจึงลงมือสังหารทุกคนทันที บางคนเท้ายังไม่ทันถึงพื้นก็ถูกสังหารตายแล้ว..
“ชิบหายแล้ว..ทำไมถึงได้มีเยอะแยะขนาดนี้วะ!”
ถังเมิ่งที่เพิ่งจะวิ่งมาถึงสวนด้านหลังได้เห็นคนชุดดำมากมายกระโดดข้ามกำแพงบ้านเข้ามาแบบนั้นก็ได้แต่ร้องตะโกนออกมาอย่างตระหนกตกใจ..
“แย่แล้ว..แต่ละคนวิ่งเร็วยังกับอะไร!”
ไป๋เซียนเอ๋อได้ฟังก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“นี่นะเร็ว! ช้าจะตายไป.. เจ้าไม่ต้องสู้กับคนพวกนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง หน้าที่ของเจ้าคือดูแลตัวเองให้ปลอดภัยก็พอ!”
หนิงหลิงยู่เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และคนอื่นๆ ต่างก็หันไปมองหน้ากัน สีหน้าของทุกคนบ่งบอกว่ากำลังตกตะลึงอย่างมาก และได้แต่คิดในใจว่า มิน่าหลิงหยุนถึงได้ย้ำนักย้ำหนาให้ไป๋เซียนเอ๋อดูแลทุกคนในบ้านให้ดี นั่นเพราะนางแข็งแกร่งเช่นนี้นี่เอง!
ไม่เพียงแค่คนในบ้านที่ถึงกับตกตะลึงแม้แต่ซือกงวู่จี๋ และคนอื่นๆที่อยู่บนเนินเขา หลังจากที่ได้เห็นสิ่งทีเกิดขึ้นก็ถึงกับตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน..
ซือกงวู่จี๋ถึงกับอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัวเขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น! เขานึกไม่ถึงว่าภายในบ้านของหลิงหยุนนั้น จะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนเยาว์หน้าตางดงามอีกด้วย..
“เซียงเทียน-9..เป็นไปไม่ได้!”
ซือกงวู่จี๋นั้นนับว่าเป็นผู้ที่มีสายตาแหลมคมยิ่งนักเพียงแค่เห็นไป๋เซียนเอ๋อ เขาก็รู้แล้วว่านางต้องเหนือกว่าระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 อย่างแน่นอน!