SD:บทที่ 31 : ผู้โดยสารคนที่สาม

ณ ตอนนี้ เมื่อพวกเขายืนอยู่บนยอดของภูเขาซีซานที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองแล้ว ทั้งสองสามารถเห็นสายแม่น้ำชิงที่เบื้องหลังของเขาได้อย่างชัดเจน สายธารานั้นไหลจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก แสงไฟสะท้อนจากผิวน้ำดูสวยงามจับใจ พร้อมทั้งยังคงเห็นเรือประมงหลายลำแล่นท่ามกลางน้ำที่หมุนวนเวียน

ตลอดทางที่ขึ้นมา เซี่ย หรงหรง ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใด ซู ฉิวไป่ ถึงคะยั้นคะยอพาเธอขึ้นมาไกลถึงบนนี้กัน แต่เมื่อถึงชั่วขณะที่เธอได้มายืนตรงจุดชมวิวซึ่งเป็นฐานหินแล้ว เธอกลับถูกความงดงามของทิวทัศน์เบื้องล่างสะกดสายตาเข้าราวกับต้องมนตร์

แม้จะโตมาในเมืองชิงเจียงเอง เธอกลับไม่เคยทราบเลยว่าแม่น้ำที่เธอรู้จักมาตลอดจะดูสวยงามมากขนาดนี้ตอนกลางคืน สายลมเย็นพัดผ่านร่างของเธอไป หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายและสงบสุขอย่างที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมกับที่ความเหนื่อยล้าค่อย ๆ มลายหายไป

ซู ฉิวไป่ ยืนพิงราวกั้น แล้วจ้องมองไปที่เส้นขอบฟ้า รอยยิ้มระบายแต่งแต้มบนใบหน้า “ผมเคยมาที่นี่บ่อย ๆ สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ แต่พอเรียบจบแล้วกลับต้องยุ่งกับการทำงาน ไป ๆ มา ๆ เลยแทบไม่ได้มาอีก ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้างล่ะครับ”

ขณะที่เขาพูด ซู ฉิวไป่ ก็หันกลับไปมองที่ เซี่ย หรงหรง ที่ยังคงตกตะลึงในความงามของทัศนียภาพตรงหน้า

“มันสวยมาก…สวยมากจริง ๆ ค่ะ ฉันนึกมาตลอดว่าในเมืองคงมีแต่ตึกซีเมนต์และรถยนต์ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นแม่น้ำชิงในสภาพที่ชวนดึงดูดสายตามากเช่นนี้…”

หญิงสาวยังคงประทับใจในทิวทัศน์ตรงหน้า ดวงตาของเธอตราตรึงไปกับความงามของแม่น้ำ เมื่อเธอตอบเขา เธอถึงกับกระซิบเลยด้วยซ้ำ

คืนนั้นเป็นคืนที่อากาศเย็น โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่บนยอดของภูเขาด้วยแล้ว ซู ฉิวไป่ จึงให้เสื้อนอกของเขากับ เซี่ย หรงหรง ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธน้ำใจ

ซู ฉิวไป่ ดีใจที่ได้เห็นหญิงสาวผ่อนคลายเช่นนี้ เพราะความจริงแล้ว เหตุผลที่ชายหนุ่มพาเธอขึ้นมาบนนี้ก็เพื่อให้เธอคลายเครียดที่เธอคงสะสมมานาน ผู้หญิงคนนี้เหนื่อยมากเกินพอแล้ว เธอสมควรจะได้พักเสียบ้าง และให้เธอได้มองโลกอันงดงามที่เธอไม่เคยเห็นนี้ ด้วยดวงตาคู่ที่งดงามยิ่งกว่า

ทั้งสองคนอยู่บนนั้นนานมากทีเดียว พวกเขาสนทนากันหลายเรื่องราวกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์เมื่อตอนที่พวกเขายังอ่อนเยาว์มากกว่านี้ เรื่องเพื่อนที่เคยมี เรื่องของครูของพวกเขาเอง และอีกหลายเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร

แท้จริงแล้ว ชีวิตนั้นไม่ได้เหนื่อยยากถึงเพียงนั้น ทว่าดวงตาของเรานั่นเอง ที่มองเห็นโลกนี้ด้วยแววตาที่ขุ่นมัว…

เมื่อเขาพลันสังเกตได้ว่าตอนนี้คงใกล้จะถึงเวลาที่แหมาะแก่การจะแยกย้ายกลับบ้านแล้ว ซู ฉิวไป่ ตั้งใจว่าจะเป็นคนส่ง เซี่ย หรงหรง กลับ

หญิงสาวไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามันดึกขนาดนี้แล้ว แม้เธอจะไม่เต็มใจเสียเท่าไหร่ แต่ เซี่ย หรงหรง ก็ยังตอบรับข้อเสนอของชายตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เมื่อพวกเขาขึ้นรถแท็กซี่แล้ว เธอมองเขาติดเครื่องรถก่อนจะพึมพำขึ้นมา “ขอบคุณค่ะ…”

ซู ฉิวไป่ หันมาเผชิญหน้าเธอ แล้วกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง “แค่นี้จิ๊บจ๊อยมาก ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ครับ…”

หลังจากนั้นรถแท็กซี่ก็ติดเครื่อง ชายคนขับจึงเคลื่อนรถออกเดินทาง

……

ในเวลาเดียวกัน องค์กรหนึ่งซึ่งตั้งอยู่เขตตงไห่ ใกล้เมืองชิงเจียง และยังเป็นองค์กรซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ และกำลังเร่งรุดเข้าสู่การมีชื่อเสียงระดับสากลไปทั่วโลก บัดนี้กลับต้องเผชิญภัยพิบัติใหญ่หลวง

ณ ศูนย์บัญชาการของสมาคมนักแข่งรถ ที่ห้องประชุมขนาดมหึมาห้องหนึ่ง กู่ ชิงเหมย วางโทรศัพท์ของเธอลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์

(TL:กู่ ชิงเหมย ไม่ได้เป็นคนของตระกูลกู่ -กู่เฉิงหยา)

“ฉันพึ่งจะยืนยันได้ ตระกูลกู่ได้ยกเลิกการร่วมมือกับเราแล้วจริง ๆ ค่ะ”

คำพูดของเธอสร้างความโกลาหลไปทั่วห้องประชุม

“ทำไมจู่ ๆ ถึงมาเกิดเอาตอนนี้ นี่แกยังไม่ได้จัดการข้อตกลงให้เรียบร้อยไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วเรอะ” ชายผมยาวท่าทางเกรี้ยวกราดคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ลังเลไปไม่กี่วินาที

“ตระกูลกู่อ้างว่าเหตุผลคือ มีหนึ่งในสมาชิกของเราได้ไปกระทำการบางอย่างที่เป็นภัยต่อความปลอดภัยของนายหญิงพวกเขาค่ะ”

สีหน้าของ กู่ ชิงเหมย ไม่สู้ดีนัก ณ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญที่เหมาะสมที่สุดกับการเข้าร่วมในสนามลงแข่งของนานาชาติ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลกู่แล้ว ก็คงไม่เป็นกล่าวเกินจริงเลยที่จะเรียกนี่ว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับพวกเขา

“เป็นภัยต่อความปลอดภัยของนายหญิงพวกเขา? ไอ้สารเลวที่ไหนเป็นคนรับผิดชอบให้เกิดเรื่องโง่แบบนี้กัน!” ชายผมยาวตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ พร้อมกับทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ

“คนนั้นคือเสี่ยวเตา  แต่เขาไม่ได้ไปจีบนายหญิงของตระกูลกู่นะ เขาแพ้เกมแล้วหัวร้อน ดันไปแทงคู่แข่งน่ะสิ”

ชายที่เปรียบได้กับพี่เลี้ยงของ จุน เสี่ยวเตา  หรือ คุน ซาง เป็นคนตอบคำถามนั้น เขายังเป็นหนึ่งในปรมาจารย์มากฝีมือสิบสองท่าน หรือที่มักเรียกกันอย่างติดปากว่า “เทพเจ้าแห่งวงการแข่งรถทั้งสิบสอง” ในสมาคมของเหล่าคนขับรถมืออาชีพ ทั้งที่เขายังเป็นเพียงชายหนุ่มอายุอานามยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น

แม้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเล่าสิ่งที่เสี่ยวเตา สารภาพกับเขาให้ผู้อื่นฟัง แต่เพราะนี่มันเกี่ยวพันกับอนาคตของสมาคม เขาจึงจำใจจะต้องยอมรับ

“แทงคู่แข่ง? คุน ซาน… นี่เด็กฝึกหัดของแกนะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้พวกตระกูลกู่ด้วยล่ะ” ชายผมยาวได้แต่เย้ยหยันชายที่ตอบคำถามเขา แต่พลันสังเกตได้ว่ามีอะไรที่ไม่ขอบมาพากล

คุน ซาน ทำได้แค่เก็บความโกรธในใจ ก่อนที่จะพูดอธิบายขึ้น “เสี่ยวเตา ทำร้ายคู่แข่ง พี่ชายของคู่แข่งเขาเลยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แทบจะฆ่าเสี่ยวเตา เลยด้วยซ้ำ และนั่นแหละที่เกือบทำอันตรายให้กับนายหญิงของตระกูลกู่”

เมื่อเขาอธิบายเช่นนั้น ผู้คนมากหน้าหลายตาในห้องประชุม กลับเอาแต่จ้องเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปทั้งห้อง

“ตระกูลกู่นี่มันเป็นใครหน้าไหน ถึงได้สำคัญขนาดนี้เนี่ย”

“ไม่รู้ได้ยังไงฮะ พวกนั้นเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของเขตตงไห่เชียว”

“มันต้องกล้ามาก ๆ หรือไม่ก็โง่มาก ๆ ที่คิดทำร้าย กู่ เฉิงหยา  ด้วยเรื่องไร้สาระพรรณนั้น”

“แล้วเสี่ยวเตามันแพ้ใครล่ะ” สุดท้าย ชายผมยาวก็เอ่ยถามขึ้น เมื่อตระหนักได้ว่ากุญแจสำคัญของเรื่องทั้งหมดคือคู่แข่งของ จุน เสี่ยวเตา

“คนขับรถแท็กซี่” คุน ซาน กล่าวยอมรับด้วยความละอายใจ

ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งห้องประชุมเงียบงันจากความตกตะลึงของทุกชีวิตในห้องนั้น เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นระรัวอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ

“คนขับรถแท็กซี่? คุน ซาน บอกทีว่าแกกำลังล้อฉันเล่นอยู่” ชายผมยาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขากำลังถูกล้อเลียน หรือไม่ก็ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังจะเล่นมุกตลกอะไรสักอย่าง แม้เขาจะไม่รู้สึกว่ามันน่าขำเลยสักนิด

“นี่ผมจริงจัง เสี่ยวเตา บอกผมด้วยตัวเค้าเองเลย เขาขับรถมาเซราติ แต่ดันแพ้รถแท็กซี่ และไม่ใช่แพ้แบบฉิวเฉียดด้วย…แพ้หนักเลย เขาขับช้ากว่ารถแท็กซี่ไปห้านาทีกว่าทุกรอบสนามเลย”

ถึงอย่างไร เขาก็ยอมรับไปเสียแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรั้งไว้อีก คุน ซาน จึงเลิกห่วงภาพลักษณ์ตัวเอง แล้วบอกให้ทุกคนตามที่เสี่ยวเตา เคยอธิบายกับเขาเอง

ในตอนท้าย แม้แต่ กู่ ชิงเหมย ก็ต้องอ้าปากค้าง

คุน ซาน เองก็เศร้าสลด! เขาอยากจะสารภาพด้วยซ้ำ ว่าตอนแรกที่เขาได้ฟังจากปากลูกศิษย์ของเขาเอง เขาก็ตะลึงงันไม่ต่างกัน!

แม้ว่าเสี่ยวเตา จะยังไม่เก่งกาจเท่า คุน ซาน แต่เขาก็ยังเป็นนักแข่งรถมืออาชีพเชียวนะ รถแท็กซี่จะเร็วกว่ารถมาเซราติได้อย่างไรเล่า แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับนำเสี่ยวเตา ไปถึงห้านาทีทุกรอบสนาม!

ความคิดแรกของ คุน ซาน คือ เสี่ยวเตา เป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ

แต่นักแข่งคนอื่นที่เป็นผู้ชมเห็นการแข่งนั้น ต่างเล่าเหมือนกันทั้งหมด!

“คุน ซาน…นี่แกยังพูดจริงแน่นะ” ชายผมยาวยังคงรู้สึกราวกับว่าถูกล้อเลียนอย่างอธิบายไม่ถูก

“จะเชื่อหรือไม่ ไปถามจาก อา เหลียง เอาก็ได้ เขาก็เห็นการแข่งนั่นเหมือนกัน” คุน ซาน ไม่คิดและไม่อยากจะเล่าต่อแล้ว เขารู้สึกได้ว่าริมฝีปากเขากระตุกอย่างเห็นได้ชัด

แล้วห้องประชุมก็กลับไปสู่ความเงียบงันเช่นเดิม

“เอาเถอะค่ะ อย่างแรกเลยนะคะ ไม่ว่าจะจริงรึเปล่า แต่ที่แน่ชัดเลยคือ จุน เสี่ยวเตา  ถูกไล่ออกจากสมาคม ฉันจะไปพูดคุยเรื่องนี้กับตระกูลกู่อีกทีด้วยตัวเองพรุ่งนี้เลย ว่ายังพอมีโอกาสพอเจรจากันได้มั้ย…อีกอย่างนึง ช่วยส่งใครซักคนไปสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นที่การแข่งขัน ณ เมืองชิงเจียงวันนี้ทีเถอะค่ะ และขอให้ใครคนนั้นหาความจริงมาอย่างด่วนที่สุดด้วยค่ะ!”

กู่ ชิงเหมย สูดหายใจเข้าลึก ๆ ยังมีนักแข่งอีกจำนวนมากในสมาคมที่ต้องมุ่งสนใจกับการเตรียมตัวในการแข่งขันในสนามนานาชาติ เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องจัดการปัญหาทั้งหมดด้วยความรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้

คนอื่นในห้องประชุมต่างพยักหน้ายอมรับ แต่สีหน้าของ คุน ซาน กลับแย่ขึ้นเรื่อย ๆ จะอย่างไรก็ตาม แต่ จุน เสี่ยวเตา  ก็เป็นถึงเด็กฝึกหัดของเขาเอง จะเป็นใครก็ตาม ก็คงอายจนอยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีกันทั้งนั้นหากลูกศิษย์ของตนเองถูกไล่ออก

แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย การกระทำของเสี่ยวเตา นั้นสร้างความเสียหายให้กับสมาคมเป็นอย่างมาก ทว่าเขายังคงสงสัยในสิ่งที่เสี่ยวเตา เล่าให้เขาฟัง มันจะมีรถแท็กซี่ที่ทรงพลังขนาดนั้นจริงเหรอ

ในฐานะที่เขาเป็นถึงหนึ่งในสิบสองเทพเจ้าวงการรถแข่ง คุน ซาน ปรารถนาที่จะยืนยันด้วยสองตาของเขาเอง

การประชุมก็จบลง ณ ตรงนั้น ถึงอย่างไร จุดประสงค์ของการรวมตัวนี้ แต่เดิมก็เพื่อกล่าวถึงปัญหาเรื่องตระกูลกู่อยู่แล้ว

แต่ทว่า โทรศัพท์มือถือของ กู่ ชิงเหมย กลับเริ่มดังขึ้นมาอีกคราหนึ่ง

“อะไรนะคะ ตระกูลเซี่ยตัดสินใจถอนการสปอนเซอร์? ทำไมกันคะ”

ทุกคนได้ยินเสียงแสดงความประหลาดใจของเธอ ดวงตาทุกคู่หันมาทางเธอกันทั้งหมด

“โอเคค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากวางสายโทรศัพท์ หน้าของเธอก็หน้าซีด เธอไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะต้องประสบปัญหารุมเร้าเรียงตัวเอาวันนี้

เธอเงยหน้าขึ้น สูดหายใจลึก ๆ ยิ่งกว่าคราวที่แล้ว แล้วหันไปมองที่ทุกคนในห้อง “ฉันพึ่งจะได้รับข่าวว่าตระกูลเซี่ยก็ได้ตัดสินใจยกเลิกการสปอนเซอร์เราเช่นกันค่ะ สาเหตุก็คือเสี่ยวเตา …”

เมื่อเอ่ยเช่นนั้น เธอเหลือบตาไปมองที่ คุน ซาน ที่หน้าตาเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ทุกคนต้องเข้าใจนะคะ แม้ตอนนี้เซี่ยกรุ๊ปจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ แต่การยกเลิกการสนับสนุนครั้งนี้ก็ยังเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ดังนั้นฉันขอประกาศว่า…ในฐานะที่ จุน เสี่ยวเตา  อยู่ในการดูแลของ คุน ซาน รายได้และโบนัสของเดือนนี้ของเขาจะถูกยกเลิกทั้งหมดค่ะ”

เมื่อกล่าวจบ เธอลุกยืนขึ้นแล้วเดินสะบัดจากไป

ไม่มีใครคาดการณ์ว่าสุดท้ายเรื่องทั้งหมดจะจบลงเช่นนี้ กู่ ชิงเหมย รู้สึกกดดัน จึงรีบเข้าไปรายงานสถานการณ์ทั้งหมดกับพี่ชายของเธอ เพราะพี่ชายของเธอ คือ กู่ ชิงเทียน  ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหัวหน้าใหญ่ของทั้งสมาคมนักแข่งรถ!

……

ซู ฉิวไป่ ไม่เคยคิดฝันเลยว่าสุดท้ายเขาจะรบกวนและส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งรูปแบบและโครงสร้างของสมาคมนักแข่งรถ ส่วน ณ ขณะนี้ เขาแค่อารมณ์ดีหลังจากที่ไปส่ง เซี่ย หรงหรง กลับบ้าน

นอกจากจะเป็นประธานของบริษัทเซี่ยกรุ๊ป ยังสวยประหนึ่งนางฟ้าเดินดิน*! เธอนั่งในรถแท็กซี่คันนี้ และไปเดินเล่นกับฉันด้วยซ้ำ! นี่สิถึงเรียกว่า…ประสบความสำเร็จในชีวิต!*

เมื่อเห็นว่าขณะนี้เวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เขาจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน…ทันใดนั้นเอง ระบบการนำทางเจ้ากรรมกลับดังขึ้น!

“ณ สี่แยกถนนซิ่งหัว ห้าร้อยเมตรตรงไปทิศตะวันตก มีใครกำลังต้องการความช่วยเหลือของคุณ”

เมื่อเขาพลันได้ยินเสียงดังกล่าว ซู ฉิวไป่ รีบขับรถมุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที ระบบการนำทางคงเป็นเจ้านายคนเดียวที่เขาไม่มีวันกล้าพอที่จะปฏิเสธ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรีบเร่งทำตามคำสั่งเท่านั้น

อีกอย่าง หากเขาอยากจะช่วย เซี่ย หรงหรง ตามหาพ่อแม่ของเธอ เขาจะต้องขยันเก็บรวบรวมแต้มสะสมการเติมโตเข้าไว้!

ถนนซิ่งหัวค่อนข้างไกลจาก ณ ตรงนี้มากทีเดียว เมื่อ ซู ฉิวไป่ มาถึงที่หมายแล้ว เขาจึงสังเกตเห็นชายชราคนหนึ่งในเสื้อคลุมสีเขียวท่าทางสับสน ในมือกำห่อของอะไรบางอย่าง

ต้องเป็นเขาแน่*!*

ซู ฉิวไป่ หยุดรถทันที แล้วเดินตรงเข้าไปหาชายขรา

“ปู่ครับ นี่จะไปไหน ให้ผมไปส่งนะครับ”

เขาพยายามสังเกตรูปร่างหน้าตาของชายตรงหน้า ด้วยหวังว่าจะทำให้เขาคาดเดาได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร และเขาจะต้องไปเผชิญภัยแบบไหนกัน แต่สมองเขายังคงตีบตัน นึกอะไรที่มีประโยชน์ไม่ออกเลยสักนิด

ระบบการนำทางไม่ยอมพาเขาไปหาผู้โดยสารปกติเสียที ซู ฉิวไป่ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันทำงานอย่างไร หรือแม้แต่ว่าคนพวกนี้หลุดมาโลกปัจจุบันได้อย่างไร เขาก็ยังไม่เข้าใจเลย

“นี่เราอยู่หนแห่งใดกัน ตัวข้ามาจากเจียงตงทางเรือ ข้าเองกลับไม่ทราบว่าข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไรกันแน่”

ชายชรากล่าวขึ้นด้วยความสับสน สำเนียงของเขาค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

ซู ฉิวไป่ ครุ่นคิดเสียนาน พายเรือมาจากเจียงตง…เป็นใครกันนะเนี่ย

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ซึ่งเหมาะสมที่จะพูดคุยในตอนนี้เสียเท่าไหร่ ดังนั้น ซู ฉิวไป่ จึงช่วยชายชราถือของ และพยุงเขาขึ้นในแท็กซี่

หลังจากที่ปิดประตูรถและรัดเข็มขัดนิรภัยแล้ว เขาจึงเตรียมตัวที่จะเดินทางผ่านมิติข้ามเวลาอีกครั้งหนึ่ง

“ปู่ นี่ปู่ชื่ออะไรนะครับ แล้วนี่จะไปไหนกัน” ซู ฉิวไป่ ถามขึ้น

เขามองไปที่ ซู ฉิวไป่ และตอบเขาอย่างแผ่วเบา “ชื่อสกุลของข้าคือ ฮัว และ หยวนฮั่ว คือชื่อต้นของข้า ตัวข้านั้นมาจากมณฑลเป่ยเฉียว เดินทางมาถึงฝานเฉิงเพื่อมารักษาแผลของท่านแม่ทัพ”