ตกที่นั่งลำบาก

หลังจากปรากฏตัวม้ามืดของวงการผู้ฝึกตน เจ้าอ้วนที่เป็นศิษย์นอกและเป็นบุคคลนิรนามได้มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วเพียงข้ามคืน เพียงเพราะเขาสามารถเอาชนะมู่ซื่อหรงอัจฉริยะอันดับสามของสำนักเสวียนเทียนได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ความกล้าหาญของเขา แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือฝ่ายตรงข้ามของเขาตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อเอาชนะเขาด้วยยาเร่งพลัง แต่ว่านางไม่อาจเข้าถึงตัวเจ้าอ้วนได้แม้แต่ปลายผม เรื่องราวช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของทั้งสองคนถูกพูดถึงไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่เว้นแม้แต่เทียบขั้นกับแม่นางฉุ่ยจิ้ง

ในขณะเดียวกัน ระฆังยักษ์ของเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งอย่างมากและรูปร่างของมันน่าเกรงขาม ในที่สุดมันก็ถูกเอาออกมาเผยแพร่สู่สายตาของคนทั่วไป ซึ่งทำให้มันถูกคาดเดาจากผู้คนไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดมันและการใช้งานของมัน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเท่าไหร่ก็ตาม พวกเขาก็ไม่พบวัสดุอื่นนอกจากเหล็กดำ และไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเหตุใดทำไมเหล็กดำจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น

ข่าวดีก็คือมีกฎที่ผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความวิเศษของอุปกรณ์เหล่านี้ และถือเป็นข้อห้ามในการถามไถ่อย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันการชิงทรัพย์ในอนาคต ดังนั้นแม้ว่าเจ้าอ้วนจะสร้างคลื่นลูกใหญ่ภายในสำนัก แต่กลับไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาสอบสวนเขา ซึ่งความสงบนี้คือสิ่งที่เขาต้องการ

แน่นอน ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีชัยชยะ ก็ต้องมีการพ่ายแพ้” ในขณะที่สถานที่ของเจ้าอ้วนอยู่ในความเงียบสงบ แต่ฝ่ายของนักบวชฮัวอวิ๋นกำลังจะระเบิด

มู่ซื่อหรงเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในฝ่ายของพวกเขา ซึ่งเป็นข้อที่อธิบายได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงมอบอุปกรณ์วิเศษระดับสูงให้กับนาง ในความจริงพวกเขาหวังว่ามู่ซื่อหรงจะจบการแข่งขันนี้ได้ด้วยพายุสักสองถึงสามลูกและอยู่ในกลุ่มสิบอันดับในตำแหน่งที่สาม! แต่โชคร้ายที่ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่พวกเขาหวังไว้ นี่เป็นเพียงรอบสองของการแข่งขันเท่านั้น แต่นางถูกกำจัดออกจากการแข่งเสียแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ได้เสียสิทธิ์ไม่ได้รับผลไม้วิญญาณเท่านั้น แต่อาการบาดเจ็บของนางถือว่ากลายเป็นคนพิการ ต้องใช้เวลานานนับสิบปีจึงจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ ในสิบปีนี้ ถ้าหากระดับการฝึกตนของนางไม่ได้ลดลงก็ยังไม่มีความหมายอะไร ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวโอกาสที่จะให้นางได้ปรับปรุงตัว นั่นหมายความว่าสิบปีต่อจากนี้นางจะกลายเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าความก้าวหน้านั้นต้องเก็บเกี่ยวตั้งแต่วัยเยาว์ แนวคิดที่กล่าวไว้ว่าจะต้องเข้าสู่ระดับปฐมภูมิในช่วงอายุสามสิบถึงสี่สิบปีไม่มีอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่แยกเหล่าอัจฉริยะออกจากก้อนหินดินทราย มู่ซื่อหรงได้รับกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะเพราะนางมีสิทธิ์จะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิก่อนอายุสามสิบ แต่ในตอนนี้ความล่าช้าที่เกิดขึ้นกับนางคือนางสามารถเข้าสู่ระดับปฐมภูมิในวัยสี่สิบปีเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้นางตกอันดับไปกองรวมกับเหล่าศิษย์ธรรมดาที่ไม่หลงเหลือความเป็นอัจฉริยะอยู่เลย

เหตุการณ์นี้มีผลอย่างมากต่ออนาคตของนาง ในตอนแรกนางคาดหวังว่านางจะเข้าสู่ระดับหยวนหยิน แต่ด้วยอาการบาดเจ็บมีผลต่อความก้าวหน้าของตนเอง ความก้าวหน้าที่จะไปยืนอยู่ในระดับหยวนหยินลดลงถึงห้าในสิบ! สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางในครั้งนี้ร้ายแรงเกินกว่าจะรับไหว กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตของนางถูกทำลายลงด้วยการพ่ายแพ้ในครั้งนี้เพียงครั้งเดียว

ในตระกูลของผู้ฝึกตน ไม่ว่าพวกเขาจะมุ่งหวังอนาคตเช่นไร แต่การสร้างอัจฉริยะออกมาแต่ละครั้งไม่ง่ายดายนัก มู่ซื่อหรงเป็นอัจฉริยะที่สายเลือดของฮัวอวิ๋นนับได้ด้วยมือเดียว แต่ในตอนนี้นางกลับถูกทำลายลงในการแข่งขันที่ไม่สำคัญ เรื่องนี้ทำให้เหล่าสายเลือดของนักบวชฮัวอวิ๋นไม่พอใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันนี้ถือว่าเป็นการแข่งขันที่เป็นธรรมและเสร็จสมบูรณ์แล้ว มู่ซื่อหรงทำตัวเองทั้งสิ้น นางเป็นผู้ที่กินยาเร่งพลังจนร่างกายได้รับความเสียหายนี้เอง ถึงแม้ว่าจะกล่าวโทษเจ้าอ้วนที่กล่าววาจายั่วยุนาง แต่มันก็ไม่ได้ผิดกฎแต่อย่างใด นอกเหนือจากมู่ซื่อหรงที่เป็นคนผิด กินยาเร่งพลังเสียเอง จึงไม่มีสิ่งใดให้น่าภูมิใจ ดังนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นจึงไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าเจ้าอ้วนหรือตั้งข้อหาใดกับเขาได้เลย

แน่นอนว่าอาวุโสเหล่านี้กลัวการเสียชื่อเสียงยิ่งกว่าสิ่งใด เขาไม่อาจตั้งข้อหามั่ว ๆ แล้วโยนใส่เจ้าอ้วนได้ การกระทำเช่นนั้นจะนำความอับอายมาสู่ตระกูล มันเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น ผู้คนทั่วไปไม่อาจยอมรับเรื่องเหล่านี้ได้ อีกทั้งจ้าวสำนักและภรรยาของเขาที่คอยสนับสนุนเจ้าอ้วนอยู่เบื้องหลัง ทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นไม่มีทางจะข่มเหงเจ้าอ้วนได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่เฉยไว้อย่างชาญฉลาด พวกเขาไม่เพียงแต่ยับยั้งตนเอง แต่ยังสั่งให้เหล่าศิษย์ไม่ไปรบกวนเจ้าอ้วนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาทั้งหมดจะละเว้นในการหาเรื่องเจ้าอ้วนในตอนนี้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปล่อยให้เรื่องราวตรงนี้หายไป สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีแผนที่จะทำอะไรบางอย่างในอนาคตดั่งเช่นหมาลอบกัด เจ้าอ้วนอาจรู้สึกว่าพายุกำลังจะสลายไป ด้วยเหตุว่าคนจากนักบวชฮัวอวิ๋นยังไร้การเคลื่อนไหว แต่หากถึงเวลาเมื่อไหร่พวกเขาพร้อมก็จะเคลื่อนไหวทันที

ในตอนนี้พวกเขาได้แต่เตรียมการไว้ อย่างไรก็ตามไม่อาจทำการอุกอาจต่อหน้าจ้าวสำนักได้ พวกเขาต้องเล่นสกปรกเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขามีความรอบคอบมากพอ เขาจะไม่เลือกใช้วิธีการต่อสู้แบบเปิดเผย

หลังจากเหตุการณ์สงบได้สี่วัน เจ้าอ้วนได้รับจดหมายจากคนของนักบวชฮัวอวิ๋น!

หลังจากการแข่งขันรอบสุดท้ายของเมื่อวานนี้ ได้ข้อสรุปว่าทั้งสิบคนเป็นผู้ใดบ้าง นอกเหนือจากเจ้าอ้วน อีกเก้าคนเป็นศิษย์ในของสำนักทั้งสิ้น

หลังจากที่การตัดสินได้จบลงแล้ว พวกเขาถูกจับกลุ่มเข้าด้วยกันทันที ความแปลกใจปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลแรกที่เจ้าอ้วนต้องพบเจอคือแม่นางฉุ่ยจิ้ง

หลังจากได้รับสารนี้ เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมกับสาปแช่งในใจ “พวกมันสารเลวจริง ๆ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจงใจ! เขาต้องการให้ข้าสู้กับแม่นางฉุ่ยจิ้งและตายตกไป!”

ถ้าเจ้าอ้วนใช้ทั้งหมดที่เขามีอยู่คือระฆังยักษ์ พยัคฆ์ปีกแหลมหรือวิธีการอื่น ๆ เขาก็อาจจะมีหนทางที่จะชนะได้บ้าง ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเขาได้รับชัยชนะ เขาก็จะยั่วยุผู้คนจากตระกูลอื่นเพิ่มเติม ในตอนนี้เจ้าอ้วนได้ข่มเหงตระกูลของนักบวชฮัวอวิ๋นไปแล้ว และหากเขายั่วยุเทพธิดาเหมยฮวาอีกจะเป็นการสร้างศัตรูที่มากเกินไป ชีวิตของเขาในอนาคตจะยุ่งเหยิง แม้แต่จ้าวสำนักก็ไม่อาจปกป้องเขาได้

แม้ว่าตระกูลของเทพธิดาเหมยฮวาจะไม่ยิ่งใหญ่นัก แต่นางแข็งแกร่งที่สุดในสำนัก หากร่วมมือกับนักบวชฮัวอวิ๋น จะสามารถต่อสู้กับจ้าวสำนักได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม หากเจ้าอ้วนพ่ายแพ้ต่อแม่นางฉุ่ยจิ้ง เขาจะลงไปอยู่ที่ด้านล่างของกลุ่ม ซึ่งหากนักบวชฮัวอวิ๋นต้องการจะเปลี่ยนแปลงจากสิบเป็นเก้า ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก แล้วเจ้าอ้วนที่อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นสิบจะต้องกลายเป็นแพะรับบาปทันที

ดังนั้นในการแข่งขันครั้งต่อไป เจ้าอ้วนไม่อาจเอาชนะ แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน

สวรรค์ ในตอนนี้เขาต้องเข้าพบภรรยาของจ้าวสำนักเพื่อขอคำแนะนำ แต่ด้วยความปากแข็งของตนเองทำให้เขารู้สึกละอายใจอย่างมากหากต้องขึ้นไปขอคำแนะนำตรง ๆ แต่บังเอิญว่าหงหยิงมาพบเขาเพื่อชวนไปเล่นด้านนอกในวันนี้พอดี จึงทำให้เขามีโอกาสที่จะเข้าไปพบ

ดังนั้น เจ้าอ้วนจึงพาหงหยิงไปที่ทะเลสาบทิวทัศน์งามตา จากนั้นเขาเอาเสื่อออกมาพร้อมกับวางอาหารต่าง ๆ ไว้ด้านบน และก่อไฟทันที เขาย่างมัจฉาไร้เนตรทันทีพร้อมกับคิดแผนไว้ในใจอย่างเจ้าเล่ห์ “ศิษย์น้อง เจ้าคิดว่าสิ่งใดจะดีกว่ากันระหว่างชนะหรือพ่ายแพ้ต่อแม่นางฉุ่ยจิ้ง?”