กระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน!
“ฮ่าฮ่า พี่ชายอ้วน เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะแม่นางฉุ่ยจิ้งได้งั้นหรือ?” หงหยิงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น
“ข้าน่าจะมีโอกาสบ้างสิ ถูกต้องหรือไม่?” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “ระฆังของข้านั้นไม่มีจุดอ่อนและมีความแข็งแกร่งมาก แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะกินยาเร่งพลังแต่นางก็ไม่สามารถทำลายระฆังด้วยดาบเทวะเงาครามได้ ข้าไม่เชื่อว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งจะสามารถใช้เวทมนตร์วารีทำลายระฆังใบนี้ได้! ถ้าหากนางไม่สามารถทำลายระฆังได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องพ่ายแพ้ ถูกหรือไหม?”
“ฮ่าฮ่า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” หงหยิงกล่าวพร้อมหัวเราะร่า “แน่นอนว่าระฆังยักษ์ของเจ้านั้นน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่มันผลิตมาจากวัสดุชั้นต่ำ นอกเหนือจากนั้นจะต้องสร้างเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ข้าเชื่อว่ามู่ซื่อหรงได้ทำลายพื้นผิวของมันไปมากกว่าหนึ่งหมื่นจิน ใช่หรือไม่?”
“เจ้ากล่าวถูก ข้าเสียเหล็กดำไปมหาศาล แต่ข้ายังมีสำรองไว้อีกมากมาย แม้ว่ามันจะหายไปอีกหนึ่งหมื่นจิน มันก็ไม่ใช่ปัญหา ข้าไม่เชื่อว่าเวทมนตร์วารีของนางจะแข็งแกร่งกว่าดาบเทวะเงาคราม! ดังนั้น นางไม่มีโอกาสที่จะชนะข้าเลย!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเฉียบคม
“พี่ชายอ้วน ที่ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะท่านไม่รู้จักไพ่ตายของแม่นางฉุ่ยจิ้ง! ถ้าให้ข้ากล่าวตามตรง นางเป็นศิษย์ของเทพธิดาเหมยฮวา ความมั่งคั่งของนางนั้นอยู่เหนือพวกเราทั้งหมด แม้แต่ท่านพ่อและท่านแม่ก็มิอาจเทียบได้!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างโศกเศร้า
“อะไรนะ? แม้แต่จ้าวสำนักก็ไม่อาจเทียบได้งั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อย่าบอกนะว่านางมีอุปกรณ์วิเศษชั้นเลิศอยู่?”
“ผิดแล้ว แม่นางฉุ่ยจิ้งไม่ได้ใช้อุปกรณ์วิเศษ แต่นางมีสมบัติวิญญาณ!” หงหยิงหัวเราะอย่างขื่นขม “เจ้าก็รู้ว่าพ่อแม่ของข้ามีเพียงอาวุธวิเศษระดับสูงเท่านั้น แต่ไม่มีสมบัติวิญญาณสักชิ้นเดียว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนสูดลมหายใจเข้าอย่างติดขัด! แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำ แต่เขายังคงคุ้นเคยกับลำดับขั้นของอุปกรณ์ต่าง ๆ แน่นอนว่าอุปกรณ์วิเศษจะถูกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนและระดับปฐมภูมิ ส่วนอาวุธวิเศษจะถูกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับจินตันและหยวนหยิน สำหรับสมบัติวิญญาณมันเป็นสิ่งที่จะถูกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินเท่านั้น
สมบัติวิญญาณนั้นเดิมทีมันคืออาวุธวิเศษ แต่ขั้นตอนการปรับแต่งมันนั้นลำบากมาก อย่างแรกต้องเลือกอาวุธวิเศษที่สามารถหลอมเข้าด้วยกันได้ จากนั้นจึงนำมันมาปรับแต่งควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง ทุกขั้นตอนของการปรับแต่งต้องใช้สมบัติล้ำค่ามากมายจนนับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งจะอยู่ในทุกขั้นตอนของการสร้างอย่างละเอียดอ่อน นอกเหนือจากนั้นผู้ฝึกตนที่ใช้มันจะต้องใช้พลังจิตวิญญาณเพื่อหล่อเลี้ยงมันอีกด้วย หลังจากผ่านมานานนับทศวรรษ จะมีโอกาสที่สมบัติวิญญาณที่ปรากฏมาสักหนึ่งชิ้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก
กล่าวก็คือจะต้องใช้เวลานานนับพันปีจึงจะปรับแต่งอุปกรณ์วิญญาณสักหนึ่งชิ้นสำเร็จ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทุกสิ่งที่ทำมาจะไร้ประโยชน์ทันที นอกจากนี้แม้ว่าจะสร้างมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าความรู้สึกทางจิตวิญญาณไม่อาจสร้างขึ้นมาเองได้ จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญระดับเฟินเสินเท่านั้นที่รอคอยมันได้เพราะอายุของพวกเขานานนับพันปี เหล่าผู้ฝึกตนทั่วไปจะปรับแต่งอุปกรณ์วิเศษที่สามารถใช้งานได้ทั่วไปเท่านั้น หากพวกเขาครอบครองอุปกรณ์วิเศษที่มีความรู้สึกทางจิตวิญญาณสักหนึ่งชิ้น สิ่งนั้นนับว่าน่าตื่นเต้นมากแล้ว กล่าวได้ว่าพวกเขาอาจจะสำลักความสุขจนตายตกไปได้เลยทีเดียว ซึ่งความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินจำนวนมากไม่สามารถปรับแต่งอุปกรณ์วิญญาณได้แม้เพียงชิ้นเดียวตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา!
หลังจากที่มันถูกปรับแต่งสำเร็จ จิตวิญญาณของมันจะเชื่อมกับผู้ที่เป็นเจ้าของโดยอัตโนมัติ และมีระดับการฝึกฝน จึงนับได้ว่าอุปกรณ์วิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิเศษทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกัน
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดีมาก แต่ทุกครั้งเรื่องราวจะลงเอยด้วยความโศกเศร้า ส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์เหล่านี้มักจะพาเจ้าของของมันให้เดินไปยังหลุมฝังศพของตนเอง นอกจากนี้สิ่งที่น่าประหลาดใจคืออุปกรณ์วิญญาณจะเลือกนายของตนเอง มันเลือกเจ้านายตามใจตนเองแม้แต่จะเลือกผู้ฝึกตนระดับต่ำก็ย่อมได้หากมันต้องการ
ถ้าหากว่าผู้ฝึกตนอื่นต้องการจะแย่งชิงอุปกรณ์วิญญาณ มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ทางแรกคือให้โชคชะตากำหนดหรือบังคับฝืนใจ ถ้าหากว่าความรู้สึกทางจิตวิญญาณถูกลบออกไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นคืออุปกรณ์วิญญาณจะแหกสลายกลายเป็นเพียงอุปกรณ์วิเศษเท่านั้น
เช่นนี้เหล่านิกายต่าง ๆ มักจะยินยอมให้ผู้ฝึกตนระดับสูงสามารถสร้างอุปกรณ์วิญญาณของตนเองได้ อีกทั้งให้มันเลือกเจ้าของเองอีกด้วย
เจ้าอ้วนไม่แปลกใจเลยที่จะมีอุปกรณ์วิญญาณอยู่ในสำนักที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่คือการที่มันอยู่ในมือของแม่นางฉุ่ยจิ้ง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นมันมาก่อน แต่เขารู้ถึงความแข็งแกร่งของสำนักดี แม้แต่อุปกรณ์วิญญาณระดับต่ำสุดยังแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิเศษระดับสูงสุด มู่ซื่อหรงที่ถือครองดาบเทวะเงาครามนั้นถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์วิเศษที่อยู่ในระดับสูง แต่เมื่อเทียบกับอุปกรณ์วิญญาณแล้วมันกลับกลายเป็นขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สีหน้าของเจ้าอ้วนแปรเปลี่ยนอย่างไม่อาจทำอะไรได้ เขาถามออกไปว่า “ศิษย์น้องสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่แม่นางฉุ่ยจิ้งมีคืออะไร?”
“กระดองวิญญาณเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน!” หงหยิงกล่าว
“อุปกรณ์วิญญาณสองชิ้น!?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยิน เขาแทบจะเป็นลม! ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนคนอื่น ๆ กำลังหลงใหลกับอุปกรณ์วิเศษระดับต่ำ แต่ว่านางกลับครอบครองอุปกรณ์วิญญาณถึงสองชิ้น! เรื่องนี้… แล้วช่องว่างระหว่างกันจะกว้างแค่ไหนกัน?
“อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุปกรณ์วิญญาณสองชิ้น หรือสามารถกล่าวว่าเป็นหนึ่งก็ได้ เพราะว่ามันเป็นชุดเดียวกัน!” หงหยิงอธิบาย “กระดองเต่า เหรียญ พวกมันทั้งหมดเป็นอุปกรณ์สำหรับการพยากร!”
“ใช้สำหรับการพยากร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกโพลงพร้อมถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นการต่อสู้จริงพวกมันก็ไม่สมควรจะมีประโยชน์ ถูกต้องหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า ถ้าเทียบกับอุปกรณ์วิญญาณในระดับเดียวกันแน่นอนว่ามันแย่กว่าในด้านของการต่อสู้ เพราะจุดประสงค์ของมันทั้งหมดมีไว้สำหรับการทำนาย แต่ทว่ามันคืออุปกรณ์วิญญาณ แม้อุปกรณ์วิญญาณที่อ่อนแอที่สุดก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์วิเศษในระดับที่สูงที่สุดอยู่ดี” หงหยิงอธิบายพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “กระดองวิญญาณเต่าดำนั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับการป้องกัน ข้ามั่นใจว่ามันแข็งแกร่งกว่าระฆังยักษ์ของเจ้า ส่วนเหรียญชะตาฟ้าดินใช้สำหรับโจมตี กล่าวก็คือมันสามารถหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามและทำการโจมตีได้ ความสามารถของมันสะเทือนฟ้าดินซึ่งนับว่าแข็งแกร่งอย่างมาก!”
“ถ้าหากเจ้าสรุปเช่นนั้น อย่างนี้ข้าคงจบเห่แล้วสินะ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหดหู่
“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? เจ้าจะต้องมีอุปกรณ์วิญญาณที่แข็งแกร่งกว่ากระดองเต่าดำและเหรียญชะตาฟ้าดิน!” หงหยิงหัวเราะ
“เรื่องนั้น…” เมื่อได้ยินหงหยิงกล่าวเช่นนั้น เขาหายตัวเข้าไปในมิติลึกลับมองไปยังไข่มุกเล็ก ๆ ที่เขามีอยู่ หรือจะเป็นระฆังทองแดง ซึ่งพวกมันดูเหมือนกับจะมีความแข็งแกร่งมากมันอาจจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณที่ดีก็ได้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะหลอกผู้อื่นด้วยระฆังเหล็กดำได้ แต่ถ้าหากเขาเปิดเผยพื้นผิวที่แท้จริงของระฆังทองแดง ชีวิตของเขาอาจจะไม่มีวันสงบลงได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ เจ้าอ้วนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับตัดสินใจจะล้มเลิกค้นหาวิธีเอาชนะแม่นางฉุ่ยจิ้ง เขาบ่นพึมพำในใจ ‘เดี๋ยวข้าค่อยประเมินสถานการณ์และตัดสินใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้าเอาแล้วกัน! ถ้าหากข้ามีโอกาส ข้าจะใช้ทุ่มเททุกสิ่งที่ข้ามี แต่ถ้าหากไร้ซึ่งโอกาส มันก็คงไม่แปลกถ้าข้าจะยอมแพ้ เพราะในตอนนี้ข้ายืนอยู่ในสิบอันดับแรกแล้ว คนของนักบวชฮัวอวิ๋นคงไม่อาจออกคำสั่งพลิกฟ้าพลิกดินได้ตามใจถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง?’