บทที่ 105**: สมบัติเคลื่อนที่ทั้งสอง**

แล้วก็มาถึงวันที่เจ้าอ้วนจะต้องต่อสู้กับแม่นางฉุ่ยจิ้ง วันนี้เป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้ากระจ่าง เจ้าอ้วนขี่ดาบบินมายังสนามและยืนรออยู่ขอบสนาม

การแข่งขันในครั้งนี้ได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ผู้ชมมากมายหนาแน่นกินพื้นที่ไปมากกว่าร้อยฟุต ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์ในและบุคคลชั้นสูงในสำนักเท่านั้น เหล่าศิษย์นอกทั้งหลายก็ยืนอยู่ในที่นี้เช่นกัน มีผู้คนนับร้อยค่อย ๆ ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกเรียกมาที่นี่เพราะใครบางคน เพราะถ้าหากพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ ก็คงจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาเหยียบที่นี่ด้วยตนเองอย่างแน่นอน

ดูจากเหล่าฝูงชนมากมายนี้แล้ว เจ้าอ้วนเข้าใจได้ทันทีว่าบุคคลเหล่านี้เป็นคนของนักบวชฮัวอวิ๋น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังมองมาที่เจ้าอ้วนราวกับตัวตลก

แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเกิดความไม่พอใจอย่างมาก แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาเหล่านี้ เขาทำได้เพียงยืนอย่างสงบและอยู่บนเวทีการแข่งขันคนเดียวเงียบ ๆ ซึ่งภาพนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่เข้ามาชมการแข่งขันนินทาเขาอย่างสนุกปากว่าเป็นเพียงสัตว์ที่ถูกนำมาแสดงบนเวทีเท่านั้น

“โฮ่! มู่ซื่อหรงพ่ายแพ้ให้กับมารตนนี้!”

“โคตรอ้วนและไม่มีความหล่อเหล่าใดทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนักอีกทั้งยังไม่พบจุดประสงค์ที่เขาจะเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้เลย แต่เขากลับเอาชนะดาบเทวะเงาครามของมู่ซื่อหรงได้งั้นหรือ?”

“ว่ากันว่าเขามีระฆังใบยักษ์ แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะได้ใช้ยาเร่งพลังและใช้ดาบเทวะเงาครามแล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ ในตอนจบนางได้ถูกเบี่ยงเบนให้ออกนอกเส้นทางของการฝึกตนแล้ว!”

“จริงหรือ? แล้วทำไมนางจึงทำอะไรเขาไม่ได้?”

“อาจเพราะเขาซ่อนอยู่ในระฆังที่เป็นสมบัติของเขา แต่ว่าการป้องกันของเขาอาจจะเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับแม่นางฉุ่ยจิ้งเป็นคนแรกในสำนักก็ได้!”

“ไร้สาระ! แม่นางฉุ่ยจิ้งถนัดเวทมนตร์ประเภทวารี ซึ่งเป็นการโจมตีระดับต่ำเท่านั้น แต่นางสามารถรับรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ยากเย็นนัก ในเวลานี้ระฆังของซ่งจงสามารถปกคลุมร่างกายของเขาไว้ได้ ข้าเกรงว่าแม่นางฉุ่ยจิ้งจะไม่มีความคิดว่าจะทำลายมันลงได้อย่างไรเสียมากกว่า!”

“เหอะ มู่ซื่อหรงและเหล่าเพื่อนของนางทั้งหมดล้วนแต่มีอาวุธวิเศษ แม่นางฉุ่ยจิ้งนั้นแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม นางจะไม่มีสิ่งใดซ่อนอยู่เลยงั้นหรือ? ข้าแน่ใจว่านางจะมีอาวุธวิเศษระดับสูงอย่างแน่นอน เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามก่อนหน้านี้อ่อนแอเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยมัน!”

“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าในครั้งนี้นางจะต้องนำมันออกมาเพื่อแสดงให้พวกเราดูอย่างแน่นอน!”

“เฮ้เฮ้ เราต้องขอบคุณพี่น้องซ่งสำหรับเรื่องนี้ซะแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงไม่สามารถเข้ามาชมการแข่งขันนี้ได้! ว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ซ่งเป็นเพียงศิษย์นอกของสำนัก ข้าหวังว่าเขาจะสร้างความมหัศจรรย์และดูแลเหล่าศิษย์ในที่เป็นคนของตระกูลชนชั้นสูงได้เป็นอย่างดี!”

“ถูกต้อง พวกสารเลวที่เป็นศิษย์ในนั้นเหิมเกริมมากเกินไป! พวกมันทั้งหมดดูถูกและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มันไม่ได้มองว่าพวกเราเป็นมนุษย์เช่นกัน! แน่นอนว่านี่เป็นเวลาที่ข้ารอคอยมาตลอดเพื่อให้มีใครบางคนสั่งสอนบทเรียนให้กับพวกมัน!”

ในขณะที่เจ้าอ้วนยืนอยู่บนเวทีและฟังเสียงทุกคนที่พูดถึงเขา เขาไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี พร้อมกล่าวเบา ๆ “ข้าถูกบังคับให้สอนบทเรียนให้กับมู่ซื่อหรงเพียงคนเดียว พวกเขาคิดว่าข้าต้องการที่จะเป็นตัวแทนศิษย์นอกเพื่อเข้ามาสั่งสอนบทเรียนให้กับเหล่าศิษย์ในงั้นหรือ? พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพ่นออกมานั้นจะส่งข้าไปสู่ประตูความตาย!?”

เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าอ้วนมองไปรอบตัวอย่างช่วยไม่ได้ ทันใดนั้นเขามองไปเห็นเจ้าลิงที่อยู่ริมสนาม สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันทีแต่ทว่าสีหน้าของเจ้าลิงนั้นเต็มไปด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าอ้วนเผยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาสบายดี เจ้าลิงเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขายังไม่ดีขึ้นนัก

ในขณะนั้นเกิดความวุ่นวายในฝูงชน มีผู้ชมมากมายที่อยู่ด้านหน้าของเจ้าอ้วนกำลังสร้างปัญหา

เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าตอนนี้มีคนกำลังสร้างปัญหาให้กับเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กังวลกับตรงนี้มากนัก ไม่มีผู้ใดหาญกล้าขนาดที่ว่าสามารถขึ้นมาบนเวทีอย่างเปิดเผย เพราะนั่นจะสร้างปัญหาให้กับการแข่งขัน และแน่นอนว่ามันจะทำให้เหล่าอาวุโสชั้นสูงไม่พอใจ แม้การมีตัวตนของพวกเขาจะเป็นเรื่องที่พิเศษมากกว่าผู้อื่น แต่หากกระทำการออกนอกหน้าเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาก็จะถูกตำหนิโดยไม่มีข้อละเว้น ผู้คนเหล่านี้เพียงโยนคำพูดแดกดันเจ้าอ้วนเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้เจ้าอ้วนไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทเท่านั้นมิใช่หรือ? ทำไมเขาต้องกลัวเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้? ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงแสดงท่าทีหงุดหงิดใจพร้อมขมวดคิ้วแน่นไปยังบุคคลที่สร้างปัญหาเพียงเท่านั้น

เขาอยู่ในกลุ่มที่สิบ ซึ่งถูกชักนำโดยเด็กหนุ่มสองคนแต่งตัวสะอาดสะอ้าน แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีระดับการฝึกตนที่สูงพอสมควร แต่พวกเขาทั้งหมดกลับดูคุ้นเคยอย่างน่ารังเกียจ เจ้าอ้วนไม่ได้สนใจเหล่าผู้ที่ติดตามและจ้องมองที่เด็กสองคนนี้อย่างรอบคอบ

ผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเขียว อีกคนสีเหลือง มันเป็นผ้าไหมที่ถูกถักทอด้วยเทคนิคชั้นสูงและปรับแต่งด้วยการสะกด การป้องกันของมันไม่ต่ำกว่าอุปกรณ์วิเศษใด เสื้อผ้าของพวกเขาประดับไปด้วยความหรูหราต่าง ๆ มีทั้งจี้หยก แหวนที่เป็นอุปกรณ์วิเศษหรือแม้แต่กำไลหยก อุปกรณ์ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์วิเศษที่มีหน้าที่ในตัวมันเอง โดยปกติแล้วคนผู้หนึ่งจะครอบครองเพียงหนึ่งชนิดเป็นอย่างมาก แต่บุคคลเหล่านี้กลับครอบครองสามถึงห้าชิ้นด้วยตัวคนเดียว นั่นทำให้ร่างกายของพวกเขาส่องประกายแวววาวจากเหล่าอัญมณี

แต่วิธีการที่พวกเขานำมารวมกันเช่นนั้นเป็นการทำให้พวกเขาดูแย่มาก อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าพวกเขายังไม่เข้าใจ และคิดว่าการทำเช่นนี้ทำให้พวกเขาดูดี พร้อมกับเดินเชิดหน้าไปรอบ ๆ อย่างภูมิใจ

การแสดงออกเช่นนี้คือต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้น พวกเขาเดินเข้าไปหาเจ้าอ้วน ผู้สวมชุดสีเหลืองหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นพร้อมกับมองที่เจ้าอ้วนแบบหัวจรดเท้า จากนั้นเขาก็กล่าววาจาเย้ยหยันออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าคือซ่งจงงั้นหรือ?”

“เป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างใจเย็น

“เหอะ ‘ซ่งจง’? ชื่อนี้มันช่างโง่เขลายิ่งนัก!” ชายชุดเหลืองกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยัน “นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจ้าน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก เหตุใดเจ้าจึงมีชื่อที่น่าอับอายเช่นนี้?”

“ถูกแล้ว!” ชายชุดเขียวเข้าร่วมการถากถางทันที “แม้แต่คนที่งี่เง่าเช่นนี้ยังสามารถมีพื้นที่ในสำนักได้งั้นหรือ? นี่เป็นความอัปยศของสำนักอย่างเห็นได้ชัด! ถ้าหากข้าเป็นเจ้า แน่นอนว่าข้าคงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความอัปยศเหล่านี้อย่างแน่นอน!”

“ฮ่าฮ่า!” เมื่อเขากล่าวจบ มันทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างไร้มารยาท

เมื่อมองเห็นความหยาบคายเช่นนี้ เจ้าอ้วนโกรธที่สุดจากก้นบึ้งในหัวใจ แต่แม้ว่าเขาจะโกรธแต่กลับไม่แสดงสีหน้าออกมาให้เห็นเลย เขากล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย “เป็นเรื่องจริงที่ชื่อของข้าไม่ได้ดีนัก แต่ชื่อของพวกเจ้าก็ไม่ได้ดีนักมิใช่หรือ?”

“ไร้สาระ!” เด็กสองคนตะโกนออกมา “พวกแก บอกมันไปซิว่าข้ามีฉายาว่าอะไร!”

“เจ้าอ้วน เจ้าจงฟังให้ดี!” คนรับใช้ของนายน้อยทั้งสองยืนขึ้นพร้อมตะโกนอย่างภาคภูมิใจ “ท่านผู้นี้คือหยกเม็ดงามเสี่ยวไป่หลง นายน้อยแห่งท่านหลี่จิ่งหลงและหลี่เจี่ย! หรือที่ผู้อื่นรู้จักกันในนามดาบเทวะไร้ผู้ต้าน จางฉิงเจียง ผู้ซึ่งเป็นนายน้อยแห่งตระกูลจาง”

ทันทีที่ได้ยินฉายาของตนเองและเหล่าลูกน้องประกาศถึงตัวเขาด้วยเสียงดังก้อง นั่นทำให้ใบหน้าของเขาสว่างไสวขึ้นพริบตา เชิดคอขึ้นอย่างภูมิใจ ลูกน้องคนอื่นที่เห็นดีเห็นงามด้วยรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมาสรรเสริญเขา

หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหันหลังและเดินออกไปอย่างไร้คำพูด

บุคคลแต่งตัวประหลาดในชุดสีเหลืองกังวลและตะโกนออกมาทันที “เด็กเหลือขอ เจ้าจะไปไหน!?”

“ข้าจะไปอ้วกสักหน่อย!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมกลับเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย