“เย่เทียน นายทำเกินไปขนาดนี้ ไม่กลัวว่าวันหน้าจะโดนล้างแค้นเหรอ?!”
ดวงตาของหยางหยงฟาจ้องเย่เทียนเขม็งราวกับมีไฟพ่นออกมา หากสายตาฆ่าคนได้ เกรงว่าเย่เทียนคงโดนแทงไปเป็นพันเป็นหมื่นครั้งจนตายไปแล้ว
“การเอาคืนในวันหน้า?”
เย่เทียนส่ายหัวเล็กน้อย และหัวเราะเย็นๆ “หยางหยงฟา ฉันไม่รู้จะว่านายว่าจอมปลอมหรือไร้เดียงสาดี”
“ฉันว่าฉันไม่ใช่คนที่ระรานเจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าแค่เรื่องในคืนนี้ขอเพียงนายขอโทษอย่างจริงใจ แล้วรับประกันว่าหลังจากนี้จะจัดการดูแลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ครั้งนี้อย่างดิบดี ใช่ว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยนายไป”
“แต่ตั้งแต่ตอนที่นายส่งผู้ชายเสื้อหนังมาหาฉัน เรื่องนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง”
“ฉันรับรองได้ว่าอีกไม่กี่วันหยงฟากรุ๊ปของพวกนายจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป!”
แม้ว่าจะพอเดาได้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับคำยืนยันหยางหยงฟาก็อดตะลึงไม่ได้
แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้สติอีกครั้ง และโกรธจัดจนหัวเราะออกมา
เจ้านี่มีหน้ามาบอกว่าอีกไม่กี่วันหยงฟากรุ๊ปจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป เป็นการเพ้อเจ้ออย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาไม่ปฏิเสธว่าเย่เทียนมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ไม่ว่ายังไงหยงฟากรุ๊ปก็ตั้งรกรากในเมืองเอกมานานหลายปี มูลค่าบริษัทหลักร้อยล้าน จะล้มละลายง่ายๆได้ยังไง?!
“เย่เทียน ฉันไม่มีอารมณ์มาเปลืองน้ำลายกับนาย ฉันให้เวลานายสามนาที ปล่อยจิ่งหมิงเดี๋ยวนี้!”
คิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหยางหยงฟาอึมครึมลง “แล้วก็ญาติมิตรของพวกเขาด้วย มิฉะนั้นต่อให้ฉันต้องทุ่มกำลังทั้งหมดของหยงฟากรุ๊ปก็ไม่ปล่อยให้นายได้อยู่อย่างมีความสุขหรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ให้เวลานายสามนาทีในการคุกเข่าเหมือนกัน”
เย่เทียนจะโดนหยางหยงฟาขู่เอาได้ยังไง เขาเผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก “ไม่อย่างนั้นนายได้เตรียมโลงศพแน่!”
“แล้วก็พวกนาย ถ้าผ่านไปสามนาทีแล้วเขายังไม่คุกเข่า พวกนายก็กลับไปเตรียมโลงศพได้แล้ว!”
เย่เทียนเบนสายตาออกจากหยางหยงฟา หันไปมองกลุ่มผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ป”ฉันแนะนำให้พวกนายอย่าสงสัยในคำพูดของฉันจะดีกว่า ฉันไม่ใช่คนชอบล้อเล่น!”
“ประธานหยาง คุณคุกเข่าเถอะครับ!”
“หยงฟา ลูกชายของฉันเพิ่งจะอายุแปดขวบเอง คุณยังเคยอุ้มเลย!”
“老杨 ต่อให้คุณไม่คิดถึงเราก็คิดถึงจิ่งหมิงบ้างสิ!”
เย่เทียนเพิ่งจะพูดจบ บรรดากลุ่มผู้บริหารระดับสูงสิบกว่าคนของหยงฟากรุ๊ปที่เลือกคุกเข่าตั้งแต่แรกก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และรีบพูดเกลี้ยกล่อมหยางหยงฟา
“เปลี่ยน เปลี่ยนที่ได้มั้ย?”
สีหน้าหยางหยงฟาอึมครึมลงในบัดดล เขาลังเลอยู่หลายวินาทีถึงได้เอ่ยถามเสียงแผ่ว
ต่อให้ไม่พูดถึงลูกชายแท้ๆอย่างหยางจิ่งหมิง แต่สิบกว่าคนที่คุกเข่าอยู่ล้วนแต่เป็นลูกน้องที่อยู่กับเขามานาน ขืนเขายังมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมต้องทำให้คนเหล่านี้หมดใจแน่
ถ้าใจคนไม่อยู่แล้วก็ยากจะทำงานเป็นทีมได้ อนาคตของหยงฟากรุ๊ปหลังจากนี้ก็จะถดถอยลง
“ไม่ได้!”
น่าเสียดาย เย่เทียนไม่แม้แต่จะลังเลสักนิด เขาส่ายหัวปฏิเสธข้อเสนอของหยางหยงฟา
“นาย…..”
หยางหยงฟาได้ยินก็ฉุนเฉียวจนกำหมัดแน่นด้วยสัญชาตญาณ
ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นคนใหญ่คนโตของเมืองเอก เขายอมอ่อนข้อ ยอมลดตัวลงแล้ว
เย่เทียนกลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดี จะไม่ให้เขาโมโหได้ยังไง
เขาเหลือบมองคนที่อยู่ตรงนี้ด้วยหางตา หยางหยงฟาแทบจะกระอักเลือดด้วยความอัปยศ คุกเข่าให้เย่เทียนท่ามกลางสายตามากมายขนาดนี้ หลังจากนี้เขาจะเอาหน้าที่ไหนมาอยู่ในสังคมต่อ?
แต่ท่าทีแข็งกร้าวที่เย่เทียนแสดงออกมาไม่อนุญาตให้เขาได้ถอย!
“เย่เทียน ต่อให้นายไม่คิดถึงตัวเอง แล้วนายจะไม่คิดถึงคนรอบตัวบ้างเหรอ?”
หยางหยงฟาผู้เจ็บใจดึงดันเป็นหนสุดท้าย และขู่ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “อย่างคนสวยข้างกายนายคนนี้ นายไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอ?”
“นายว่าอะไรนะ!”
ไม่รอให้เย่เทียนตอบ จี้เหยียนหรันก็ชิงก้าวออกมาก่อน เธอควักตราตำรวจออกมายื่นไปตรงหน้าหยางหยงฟา “หยางหยงฟา เชื่อมั้ยว่าแค่ประโยคเมื่อกี้ของคุณ ฉันก็ฟ้องคุณข้อหาข่มขู่เจ้าหน้าที่ราชการได้แล้ว!”
“เป็นดาวตำรวจซะด้วย”
แต่หยางหยงฟากลัวที่ไหน เขาพูดด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน “คุณตำรวจจี้ใช่มั้ย เมื่อกี้ฉันแค่เปรียบเปรย คุณอย่าเก็บไปใส่ใจนะ!”
“คุณ….”
จี้เหยียนหรันโมโหในบัดดล เธอเตรียมจะตอบโต้ออกไป แต่เย่เทียนกลับห้ามไว้
“หยางหยงฟา นายวางใจเถอะ ฉันไม่ปล่อยให้นายมีโอกาสล้างแค้นหรอก!”
เย่เทียนแสยะยิ้มมุมปาก เขายกมือขึ้นดูนาฬิกาด้วยท่าทีเกียจคร้าน และเอ่ยเตือน “ตอนนี้ผ่านไปสองนาทีแล้วนะ”
“ฉันล่ะอยากรู้จริงๆว่านายไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าทำตัวเป็นปรปักษ์กับฉันอย่างแข็งกร้าวขนาดนี้ แค่เพราะจิวหยู่เหรอ?”
หยางหยงฟาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พยายามสืบเสาะภูมิหลังของเย่เทียน
เย่เทียนไม่สนใจเขาเลยสักนิด เขาจ้องนาฬิการและนับถอยหลัง “เหลืออีกสามสิบวิ”
“เย่เทียน อย่าให้มันเกินไปนัก!”
ดวงตาของหยางหยงฟามีเปลวเพลิงแห่งความโกรธเคืองลุกโชนอยู่ เขาคำรามเสียงต่ำ “ฉันหยางหยงฟาโลดแล่นอยู่ในเมืองเอกมาสิบกว่าปี ถ้านายบีบให้ฉันหมดทางเลือกจริงๆไม่ว่านายมีใครอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องจ่ายราคาให้กับเรื่องนี้อย่างน่าสลด!”
“สิบห้าวิ!”
เย่เทียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลสบกับหยางหยงฟาโดยไม่เกรงกลัว แม้ว่ามุมปากยังมีรอยยิ้มอยู่ แต่บารมีของผู้เหนือกว่าแผ่ซ่านออกจากทั้งร่าง
หยางหยงฟาเป็นคนแรกที่สัมผัสถึงแรงกดดันนี้ เขารู้สึกลางๆว่ากระทั่งหายใจยังลำบาก
เจ้านี่เป็นแค่หมอตัวเล็กๆไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้มีบารมีน่าเกรงขามขนาดนี้?
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น สองคนนั้นคุยกันนานแค่ไหนแล้ว? ทำไมถึงยังไม่จริงจังกันสักที?”
“หรือว่า คงไม่ใช่ว่าแม้แต่หยางหยงฟายังเอาไอ้หนุ่มนั่นไม่อยู่หรอกนะ ถ้าเขายังเอาไม่อยู่ แล้วเขาจะปล่อยข่าวออกมาทำไม?”
ความไม่มีใครยอมใครของเย่เทียนและหยางหยงฟาส่งผลให้ฝูงชนในที่นี้พากันขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่กล้าเร่งเร้าเสียงดัง จึงต้องข่มอารมณ์และรอดูผล
“เหลืออีกห้าวิ!”
เย่เทียนไม่สนหรอกว่าหยางหยงฟาคิดอะไรอยู่ เขายังคงนับถอยหลังและมองนาฬิกา
สีหน้าหยางหยงฟาซับซ้อนถึงขีดสุด ที่เขามาสายในคืนนี้ก็เพราะเขาได้ข่าวว่าจิวหยู่เป็นคนพาตัวพวกหยางจิ่งหมิงไป
เขาจึงตั้งใจไปเจรจากับจิวหยู่ก่อน แต่ไม่ว่าเขาจะข่มขู่หรือเอาผลประโยชน์เข้าล่อ จิวหยู่ก็ยืนยันแค่ประโยคเดียว นั่นก็คือให้เขาไปเจรจากับเย่เทียน
ยังไงซะเขาก็เคยผ่านอะไรมา รู้นิสัยพวกนักเลงอย่างจิวหยู่ดี หากคิดจะฆ่าจริงๆ ไม่มีทางใจดีปล่อยไปแน่นอน
เขามีลูกชายแค่หยางจิ่งหมิงคนเดียว หากอยากสืบสานตระกูลหยาต่อไปก็หวังได้แค่กับหยางจิ่งหมิง ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้หยางจิ่งหมิงตายไปต่อหน้าต่อตา แบบนี้เขาจะมีหน้าไปเจอกับบรรพชนหลังตายไปได้ยังไง!
“สาม!”
“สอง!”
“ตุ้บ!”
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนกำลังจะพูดคำว่า ‘หนึ่ง’ สุดท้ายหยางหยงฟาก็ทนไม่ไหว งอเข่าสองข้างอย่างแรงและคุกเข่าลงกับพื้น…