TQF:บทที่ 567 เตรียมเลื่อนขั้น (2)

 

“ฮูหยินฟาง ที่ผืนดินฉางไห่มีกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 1 มั้ย” หยูเฮงน้อยถามอีก

 

“มีสิ ต้องมีอยู่แล้ว ชื่อของมันคือกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชัง จากที่ข้ารู้มามันถูกก่อตั้งขึ้นได้นับร้อยปีแล้ว จำนวนสมาชิกอย่างน้อยๆก็มีถึงล้านคน เรียกได้ว่าเป็น 1 ในกลุ่มทหารรับจ้างที่มีสมาชิกมากที่สุด ทั้งผืนดินฉางไห่มีสมาชิกของมันอยู่ทั่ว เป็น 1 ในอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุด แม้แต่สำนักชั้น 1 ก็เทียบพวกเขาไม่ติด รากฐานของกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชังก็ไม่สามารถประเมินได้ จึงยังไม่มีอิทธิพลไหนกล้าลงมือกับมันจนถึงทุกวันนี้”

 

พูดถึงกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชัง แม้แต่ฟางซูหยุนก็มีแววตาปลาบปลื้ม ไม่ทันที่ทุกคนจะถามนางก็อธิบายต่อ “ทหารรับจ้างทุกคนที่เข้าร่วมกลุ่มเอ้าชังต่างถือเป็นเกียรติของตัวเอง เพราะผู้ก่อตั้งเป็นคนระดับตำนาน เขาเริ่มจากผู้ฝึกฝนวิทยายุทธธรรมดาไต่เต้าขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด เอาชนะเหล่าคนที่ถือตนเหนือคนอื่นได้อย่างราบคาบ เหลือเพียงเขาที่โดดเด่นอยู่เพียงผู้เดียว เขาก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชังในอายุ 15 เมื่อเขาอายุ 30 กลุ่มเอ้าชังก็อยู่ระดับ 2 แล้ว วิทยายุทธของเขาในตอนนั้นก็อยู่ระดับปรากฏเทพเทวา ปรากฏเทพเทวาในอายุเพียง 30 เท่านั้น เป็นเรื่องฮือฮาไปทั่วผืนดินฉางไห่เลย ณ ตอนนั้น เขามีผู้ฝึกฝนวิทยายุทธคอยติดตามเยอะมากจนนับไม่ถ้วน กลายเป็นปรากฏเทพเทวาที่มีอายุน้อยที่สุด ในตอนที่กลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชังของเขาอยู่ระดับ 1 นั้น เขามีอายุเพียง 50 ปี ได้ข่าวว่าวิทยายุทธของเขาสูงถึงระดับเทพเจ้า ส่วนตำนานนี้จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ เพราะเขาไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีก ต่อให้ออกมาก็คงไม่ใช้ใบหน้าเดิม ไม่มีใครจำเขาได้”

 

“อีกตำนานได้กล่าวไว้ว่าจนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่ตาย เพราะคนของโถงวิหารสวรรค์เคยแอบดูชะตาชีวิตเขา รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นคนที่สามารถบรรลุเป็นบรรพบุรุษแห่งเต๋าได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้จนถึงบัดนี้ เป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น แม้จะผ่านไปหลายล้านปีแล้วทุกคนก็ยังบูชาเขาราวเทพเจ้าอยู่ เป็นการมีตัวตนแบบเทพเจ้าที่แท้จริง”

 

“…..”

 

เมื่อฟางซูหยุนพูดจบ ทุกคนก็เงียบกันหมด มีความทึ่งอยู่ในสายตาของทุกคน บนโลกนี้มีคนระดับนี้อยู่ด้วยหรือ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ

 

ผ่านไปเนิ่นนาน ในสายตาของหยูเฮงน้อยเกิดประกายความมั่นใจแต่ความเร่าร้อนขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างแน่วแน่ “พวกเราก็ทำได้เหมือนกัน ใจภายภาคหน้ากลุ่มทหารรับจ้างของพวกเราก็ต้องขึ้นสู่ชั้น 1 ได้แน่ๆ พวกเราจะอยู่เหนือบารมีของเขา ใต้หล้านี้เป็นของเรา ไอเจ้าคนนั้นน่ะเป็นอดีตไปตั้งหลายล้านปีแล้ว พวกเราต่างหากคือผู้แข็งแกร่งยุคใหม่ ทุกอย่างที่นี่ต้องเป็นของเราเท่านั้น”

 

เห็นเจ้าตัวเล็กท่าทางพูดจริงทำจริงทุกคนต่างยิ้มออกมา ไม่มีใครคิดว่านางจะทำจริง

 

มีเพียงเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่หน้าไม่เปลี่ยน มีความแน่วแน่เช่นเดียวกับหยูเฮงน้อยอยู่บนใบหน้า เอ่ยเบาๆ “ก็จริง โลกของเราก็ต้องสร้างด้วยมือของเราเอง พวกตำนานเล่าขานก็เป็นได้แค่เรื่องเล่า พวกเรามาลบล้างมันกันเถอะ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป เรื่องเก่าก็ปล่อยไป เรื่องใหม่ต้องมาถึงแล้ว”

 

“เสี่ยวเสี่ยว…”

 

ทั้ง 4 คนอ้าปากค้างมองไปที่นาง ต่างคิดไม่ถึงกันเลยว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะมีทัศนวิสัยที่กว้างไกลขนาดนี้ โดยเฉพาะฟางซูหยุน เมื่อความตะลึงผ่านไปแล้วก็เหลือแต่ความปิติในใจ

 

ความสามารถของหลานสาวนางรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องพูดถึงมิติมหัศจรรย์ของนาง ลำพังแค่พรสวรรค์ของนางที่บรรลุถึงบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ตอนต้นในระยะเวลาเพียง 4 ปี เป็นตำนานขนานแท้ คนอื่นๆต้องใช้เวลาฝึกฝน 10 ถึง 20 ปีหรือบางคนมากถึง 30-40 ปี ส่วนนางย่นระยะเวลาลงถึง 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนวิเศษวิโสมาจากไหนก็เทียบกับนางไม่ติด

 

“หัวหน้ากลุ่มต้องเป็นระดับจักพรรดิ์อมตะ วิทยายุทธของหยูเฮงน้อยก็ถึงแล้ว เพียงแต่อายุของนาง…..” หลังจากที่ฟางซูหยุนสงบจิตใจได้ก็บอกปัญหาที่ตัวเองกังวลออกไป

 

“ท่านย่า ไม่ต้องร้อนใจ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม “โอกาสวาสนามาแล้ว ใกล้แล้วล่ะ”

 

“ใช่แล้วฮูหยินฟาง ไม่ต้องร้อนใจ” หยูเฮงน้อยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้สมบัติของเราก็มีมากแล้ว เลื่อนขั้นมิติก่อน เรื่องกลุ่มทหารรับจ้างค่อยว่ากันตอนเราออกไป”

 

ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ฟัง ต่างคาดหวังอยู่ในใจ ผู้เฒ่าหยิงชี้ไปยัง 3 คนข้างล่าง “เอาอย่างไรกับพวกเขาดี จะให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว”

 

“ง่ายๆ เดี๋ยวข้าโยนพวกเขาออกไปก็จบ” หยูเฮงน้อยยังคงอันธพาล

 

“ข้าว่าไม่ดี” หรงจิ้งซือส่ายหน้า “พวกเขาก็แค่อยากหาทรัพยากรเพื่อการบรรลุ ของที่นี่พวกเราก็เอามาครบแล้ว พวกเขาได้แต่มองแต่ไม่ได้อะไรเลย แล้วยังจะไล่พวกเขาไปอีก นี่มันจะเกินไป…”

 

นางพูดไม่จบ แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมายของนางดี โม่อู๋เซอมองนางอย่างรักใคร่ “เจ้าน่ะใจอ่อน ระวังจะโดนเอาเปรียบเอาได้”

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าก็ว่าไปตามคนๆเท่านั้นแหละ” หรงจิ้งซือยิ้มอ่อนโยน

 

ทุกคนยิ้มออกมา ฟางซูหยุนมองไปที่หลานสาวและเอ่ยถาม “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าว่าจะเอาอย่างไรกับพวกเขาดี”

 

“ในเมื่อพวกเขาต้องการทรัพยากร ส่วนพวกเราเองก็มีไม่ขาดสาย ก็ยกให้พวกเขาสักนิดจะได้ให้พวกเขาไปซะ จะปล่อยให้เฝ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ไหว”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองไปยังพวกเขาแว้บหนึ่งก่อนจะหันไปบอกกับหยูเฮงน้อย “เจ้าเอาของไปให้พวกเขา แล้วให้พวกเขาไปซะ”

 

“ได้ ไม่มีปัญหา”

 

หลังจากที่นางออกไป เพียงแค่ครึ่งนาทีหยูเฮงน้อยก็กลับมาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อย พวกเขาไปแล้ว”

 

และก็จริง 3 คนนั้นประสานมือมาทางนี้ก่อนจะเดินจากไป

 

เกาชิงหยางพาสหายอีก 2 คนรีบก้าวออกไปจากหุบเขา เดินทางไปได้ครึ่งลี้ก็พากันนั่งลงในถ้ำแคบๆถ้ำหนึ่ง

 

“พี่เกา รีบดูเร็วว่าพวกนางให้อะไรเรามา” โจวไห่หยันผู้ซึ่งใจร้อนที่สุดเอ่ยปากเร่งเขาคนแรก

——————————