ตอนที่ 494 ลูกครึ่งเอลฟ์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ห้าแสนหินผลึกครั้งที่หนึ่ง !”

ในเมื่อฮั่วหลินและอู่ถงถอนตัวแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครสู้ราคาประมูลอีก จวินอู่ซิ่วจึงยิ้มอย่างสุภาพและเริ่มกล่าวทวนราคาทันที

กรอดดด~

ภายในห้องพิเศษของเขา เฝินชวี่กัดฟันกรอดจนสีหน้าบิดเบี้ยว เขาจะไม่รู้ตัวได้อย่างไรว่าครานี้อู่ถงและฮั่วหลินตั้งใจหลอกเขาเพื่อให้ตกหลุมพราง อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของแหวนมิติวงนี้ เขาก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย แม้ว่าราคาประมูลของมันจะสูงเกินมูลค่าจริงไปมาก ทว่ามันก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทีเดียว

การได้แหวนวิเศษเช่นนี้มาครอบครองจะมีส่วนช่วยเขาได้มาก ต่อให้บิดาของเขาทราบเรื่องนี้ คาดการณ์ได้ว่าก็คงจะไม่ขัดข้องหรือว่าตำหนิต่อว่าเขา

“ห้าแสนหินผลึกครั้งที่สอง !”

ยังคงไม่มีผู้ใดเสนอราคาเพิ่ม ถึงอย่างไรราคานี้ก็สูงเกินความคาดหมายของทุกคน แน่นอนว่าไม่มีใครโง่เขลาพอที่จะขานราคาสู้กับหุบเขากรุ่นกำยานต่อไป

“ห้าแสนหินผลึกครั้งที่สาม… ปิดการประมูล !”

จวินอู่ซิ่วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ราคาปิดประมูลของแหวนมิติวงนี้สูงกว่าที่โรงประมูลคาดการณ์ไว้ถึงสองเท่าตัว กล่าวได้ว่าแหวนวงนี้เพียงอย่างเดียวก็สร้างรายได้ให้กับโรงประมูลได้เป็นอย่างมาก

สวี่ฉู่—ผู้จัดการโรงประมูลรั่วอานได้มุ่งหน้าไปยังห้องแยกของเฝินชวี่เพื่อรับเงินประมูลและมอบสินค้าให้กับเขา

หลังออกจากห้องพิเศษของหุบเขากรุ่นกำยาน เขาก็ตรงไปยังห้องพิเศษหมายเลขสองซึ่งก็คือห้องของฉินอวี้โม่และคณะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก~

เขาเคาะประตูเบา ๆ ก่อนเดินเข้าไปและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเคารพนอบน้อม

“ท่านจอมยุทธ์ ของประมูลนับสิบชิ้นที่ท่านฝากพวกเราประมูลในครานี้ได้ถูกประมูลออกไปทั้งหมดแล้ว ราคารวมทั้งหมดคือเจ็ดแสนหินผลึก โดยปกติโรงประมูลของเราจะคิดค่าดำเนินการในอัตราหนึ่งต่อสิบ ทว่าครานี้ท่านก็สร้างรายได้ให้กับโรงประมูลของเราได้เป็นอย่างมาก หลังจากที่หารือกัน พวกเราจึงตัดสินใจที่จะคิดค่าดำเนินการจากท่านเพียงหนึ่งต่อยี่สิบเท่านั้น นี่คือหินผลึกทั้งหมดของท่าน เชิญรับไปได้เลยขอรับ”

หินผลึกรวมหกแสนหกหมื่นห้าพันก้อนถูกบรรจุลงในแหวนมิติวงหนึ่งและมอบให้กับฉินอวี้โม่ ส่งผลให้นางมีหินผลึกจำนวนมหาศาลในทันที

“ต้องขอบคุณลุงสวี่มาก”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและรู้สึกถูกชะตากับโรงประมูลรั่วอาน

“หากท่านมีสิ่งของที่ต้องการนำมาประมูลในภายภาคหน้า โปรดอย่าลืมโรงประมูลรั่วอานของเรา นอกจากที่ดินแดนทางเหนือ โรงประมูลของเราก็มีสาขาในสถานที่อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน”

สวี่ฉู่ยิ้มอย่างนอบน้อม ครานี้ฉินอวี้โม่เพียงคนเดียวสร้างผลกำไรให้กับโรงประมูลได้เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะคิดค่าดำเนินการเพียงหนึ่งต่อยี่สิบ แต่มูลค่ารวมที่โรงประมูลได้รับก็ถือว่าไม่น้อยเลย ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง หากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางและได้รับสิ่งของล้ำค่าต่าง ๆ นานาจากนางมาประมูลในอนาคต มันจะสร้างชื่อให้กับโรงประมูลรั่วอานของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าข้าจะไม่ลืม”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมกล่าวตอบรับ อย่างไรก็ตาม สำหรับนางแล้วไม่ว่าโรงประมูลที่ใดก็ไม่ต่างกัน

“นี่คือบัตรทองของโรงประมูลรั่วอานของเราขอรับ ไม่ว่าท่านไปที่สาขาใดของเรา ท่านจะได้รับการปฏิบัติเป็นแขกคนสำคัญของเราและวัตถุอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ท่านประมูลจะถูกคิดค่าดำเนินการเพียงหนึ่งต่อยี่สิบเท่านั้น”

สวี่ฉู่ยื่นบัตรสีทองอร่ามให้กับฉินอวี้โม่และกล่าวแนะนำการใช้งานของมัน

“ขอบคุณลุงสวี่ที่จัดการดูแลทุกอย่าง”

ฉินอวี้โม่รับบัตรสีทองพร้อมรอยยิ้มและกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

“ฮ่า ๆ ๆ เช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนท่านแล้ว หลังจากนี้ยังมีของประมูลอีกจำนวนหนึ่ง เชื่อว่าท่านจะสนใจอย่างแน่นอน”

สวี่ฉู่ยิ้มอีกครั้งและกล่าวร่ำลาก่อนเดินออกไป

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ ขณะหันไปจดจ่อกับความเคลื่อนไหวข้างนอก แหวนมิติของนางถูกประมูลไปแล้วและน่าจะมีวัตถุล้ำค่ายิ่งกว่านั้นอีก หากว่ามันน่าสนใจ นางจะไม่พลาดโอกาสอย่างแน่นอน

“อวี้โม่ หากเฝินชวี่ทราบว่าเขาจ่ายหินผลึกกว่าครึ่งล้านก้อนเพื่อซื้อแหวนมิติที่เจ้าเป็นคนหลอมขึ้นมาเอง เจ้าคิดว่าเขาจะแสดงกิริยาท่าทางอย่างไรออกมา ? ฮ่า ๆ ๆ”

ฉินเฟิงหัวเราะเบา ๆ ราวกับว่าเขากำลังนึกภาพของเฝินชวี่ที่กัดฟันกรอดเมื่อได้รู้ความจริง

ซวงเสวี่ย เหมาซานและคนอื่น ๆ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน ฉู่เจี๋ยเองก็ยิ้มออกมาบาง ๆ ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงช่างเป็นคู่หูท้องดำจริง ๆ

*腹黑 ท้องดำ ความหมายคือ ภายนอกดูใสซื่อแต่ภายในเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแผนการ

“สำหรับของประมูลชิ้นต่อไป ข้าเชื่อว่าทุกท่านจะต้องประหลาดใจเป็นแน่”

จวินอู่ซิ่วปรบมือเรียวเบา ๆ และเด็กรับใช้หลายคนปรากฏกายพร้อมกรงล้อมขนาดเล็ก กรงดังกล่าวมีผ้าสีแดงผืนใหญ่คลุมบดบังจนมิอาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

“สิ่งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นมนุษย์ หรือเป็นอสูรมายาก็ได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของนางไม่ได้มากนักทว่ามีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น รูปลักษณ์ของนางก็งดงามสะดุดตาอย่างยิ่ง แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกด้อยกว่าเมื่อเปรียบตัวเองกับนาง”

จวินอู่ซิ่วยิ้มกว้างและยื่นมือออกไปดึงผ้าแดงผืนใหญ่โดยตรงเพื่อเผยให้เห็น ‘สิ่ง’ ที่อยู่ภายในกรง

ภายในกรงนั้นคือร่างของดรุณีน้อยรูปงามซึ่งสวมเพียงกระโปรงฟางข้าวที่แทบจะเปลือยกายและเผยให้เห็นเรือนร่างสมบูรณ์แบบที่ปรากฏเด่นชัดต่อหน้าทุกคน

ดรุณีน้อยร่างบางมีใบหน้าเรียวเล็กประกอบด้วยเครื่องหน้างดงามประณีตดุจดั่งภาพวาดกอปรกับดวงตาสีเขียวมรกตดูงดงามดึงดูดสายตาอย่างที่สุด หูแหลมเล็กของนางก็เป็นลักษณะที่โดดเด่นและเสริมความงามให้ดูสมบูรณ์แบบอย่างน่าประหลาด

เมื่อผ้าแดงคลุมกรงถูกเปิดออกซึ่งทำให้นางมองเห็นทุกคนในโรงประมูล สีหน้าของเด็กสาวก็มิได้บ่งบอกถึงความตื่นตระหนก ทว่าแววตางุนงงแปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังอย่างรวดเร็วโดยมิอาจทราบได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด

“ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบแล้วว่านี่คือสิ่งมีชีวิตจากชนเผ่าใด นี่คือสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ผู้แกร่งกล้าจับตัวมาได้โดยบังเอิญ แม้ว่าภายนอกดูงดงาม ทว่านางก็มีสายเลือดที่หลาย ๆ คนไม่ชอบใจนัก ยิ่งไปกว่านั้น นางก็สามารถสื่อสารและทำพันธสัญญากับมนุษย์ได้ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีคนสนใจอย่างแน่นอน”

จวินอู่ซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตภายในกรง อย่างไรก็ตาม นางยิ้มบาง ๆ และกล่าวแนะนำออกไป

เด็กสาวในกรงงดงามอย่างยิ่งจนโฉมนารีงดงามอย่างจวินอู่ซิ่วก็ยังต้องอาย หากไม่ใช่เป็นเพราะนางทราบนี้ว่าสิ่งมีชีวิตนี้มิใช่มนุษย์ จวินอู่ซิ่วก็คงจะสงสัยใคร่รู้ไม่น้อยว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นใครมาจากไหน

“นี่มันเอลฟ์นี่นา !”

ภายในห้องโถงตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดครู่หนึ่ง จากนั้นใครคนหนึ่งก็นึกขึ้นได้และโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตกใจ

‘ชนเผ่าเอลฟ์’ เป็นชนเผ่าที่หายสาบสูญไปเกือบพันปีและเคยได้ยินเพียงในเรื่องเล่าจากอดีตเท่านั้น ทว่าไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นด้วยตัวเองมาก่อน วันนี้ดรุณีน้อยตรงหน้าเป็นเอลฟ์คนแรกที่พวกเขาเคยพบ

“ชนเผ่าเอลฟ์สูญพันธุ์ไปในสงครามใหญ่เมื่อพันปีก่อนมิใช่รึ ?”

ใครบางคนกล่าวด้วยความสงสัย ทว่าเขาก็ไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับสงครามเมื่อพันปีก่อนมากนัก

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร ? เอลฟ์เป็นชนเผ่าที่ทรงพลังอย่างยิ่งและไม่มีทางสูญพันธุ์ไปได้ง่าย ๆ เท่าที่ข้ารู้ บรรดาสมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์น่าจะอาศัยอยู่ในมิติปิดบางแห่งที่เราไม่รู้จักโดยที่เก็บตัวฝึกยุทธ์และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น”

ใครอีกคนกล่าวสิ่งที่เขาทราบออกมา

“ถูกต้อง นอกจากนี้ก็ยังมีชนเผ่าอสูร พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ในมิติพิเศษเพื่อฝึกยุทธ์เช่นกัน”

อีกคนกล่าวแสดงความเห็นด้วย เขามองไปที่ร่างเด็กสาวในกรงและกล่าว “เพียงแต่…เหตุใดจู่ ๆ เอลฟ์จึงปรากฏตัวขึ้นมาในดินแดนทางเหนือของเราได้ ? พวกเขากำลังคิดที่จะทำอะไรกันแน่ ?”

คนอื่น ๆ ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา พวกเขามองดูเอลฟ์ภายในกรงอย่างสงสัยใคร่รู้โดยไม่มีผู้ใดกล่าวออกไป

ภายในห้องพิเศษ ฉินอวี้โม่ผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเอลฟ์ดังกล่าว นางไม่คาดคิดเลยว่าโรงประมูลรั่วอานจะเปิดประมูลดรุณีน้อยคนนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกอย่างเกินบรรยายแผ่มาจากร่างของเด็กสาวควบคู่กับความปรารถนาจะเอาตัวรอดอย่างแรงกล้าที่ฉายชัดในแววตา ร่องรอยความปรารถนานั้นเองที่ทำให้ฉินอวี้โม่เกิดความคิดที่จะช่วยเหลือเธอ

“นี่มิใช่สมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์…ทว่าเป็นเพียงลูกครึ่งเอลฟ์”

มารยามองดูเด็กสาวตรงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วและกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน แววตาที่อสูรสาวมองเด็กสาวในกรงมีร่องรอยของความสงสารระคนความกังวล

เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงสารและความกังวลของอสูรสาวข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจไม่น้อย นั่นเป็นเพราะมารยาไม่เคยแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนี้ออกมาให้เห็นนัก

“ลูกครึ่งเอลฟ์คืออะไรงั้นรึ ?”

ฉู่เจี๋ยเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัยและไม่เข้าใจว่า ‘ลูกครึ่งเอลฟ์’ คืออะไร เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกของเด็กสาวในกรงและความชิงชังที่มีต่อเผ่าพันธ์ุมนุษย์

“ลูกครึ่งเอลฟ์เป็นทายาทที่กำเนิดจากการรวมกันของเอลฟ์และมนุษย์ พวกเขามีสายเลือดเป็นมนุษย์ครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกับสายเลือดของชนเผ่าเอลฟ์ สิ่งมีชีวิตเช่นนี้มีพรสวรรค์มากยิ่งกว่ามนุษย์และงดงามในแบบเอลฟ์ พวกเขามีความว่องไวและสติปัญญาที่เหนือกว่าคนทั่วไป ทว่าเป็นเพราะสายเลือดของพวกเขาที่ไม่บริสุทธิ์ พวกเขาจึงถูกขับไล่จากชนเผ่าเอลฟ์และถูกปฏิบัติเป็นของเล่นของมนุษย์ ลูกครึ่งเอลฟ์หลายคนกลายเป็นทาสของมนุษย์และได้รับคำสั่งให้ทำสิ่งชั่วร้ายและไร้ยางอายมากมาย เคราะห์ร้ายเหลือเกินที่เป็นเพราะจำนวนของลูกครึ่งเอลฟ์นั้นมีน้อยมาก เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาจึงมิอาจทำอะไรได้เลย แม้ว่าลูกครึ่งเอลฟ์จะทรงพลัง ทว่าหากไม่มีเวลาเติบโตที่มากพอ มันก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด”

มารยาอธิบายอย่างง่ายทว่าน้ำเสียงของมันแสดงถึงความเวทนาและกังวลอย่างชัดเจน ต้องกล่าวเลยว่าลูกครึ่งเอลฟ์เป็นชนเผ่าที่ไม่ได้รับการยอมรับจากโลกภายนอก เอลฟ์ชิงชังสายเลือดที่แปดเปื้อนของพวกเขาในขณะที่มนุษย์ก็ใช้งานพวกเขาดั่งของเล่น หากไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ลูกครึ่งเอลฟ์เหล่านี้ไม่มีทางยืนหยัดได้เลย

“แล้ว… ลูกครึ่งเอลฟ์เหล่านี้มีจำนวนมากแค่ไหน ?”

ขณะมองดูลูกครึ่งเอลฟ์ในกรง ฉินอวี้โม่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดอาจหาญในใจ หากสยบลูกครึ่งเอลฟ์เหล่านี้ได้ นางจะมีกองกำลังที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

“ข้าก็ไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าในเมื่อเด็กสาวนั่นเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ นางก็น่าจะรู้อะไรบางอย่าง ตราบใดที่นายหญิงประมูลนางมาได้ เราก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการเป็นแน่”

มารยามองไปที่เด็กสาวพร้อมกล่าวออกมา มันเคยได้ยินเพียงข้อมูลโดยรวมเกี่ยวกับลูกครึ่งเอลฟ์เท่านั้นทว่าไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและหันไปมองลูกครึ่งเอลฟ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อมองออกไป นางก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็มองมาที่ตนเช่นกันโดยมีร่องรอยความคาดหวังและวิงวอนปรากฏในแววตา

“นายหญิง นางมองเห็นท่านเช่นกัน”

มารยากล่าวเพื่อไม่ให้ฉินอวี้โม่ต้องแปลกใจเกินไป

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งขณะสายตามองไปที่เด็กสาว จากนั้นจู่ ๆ นางก็พยักศีรษะให้กับลูกครึ่งเอลฟ์เบา ๆ

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ ดรุณีน้อยร่างบางก็พยักศีรษะอย่างแผ่วเบาพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ทว่านับตั้งแต่วินาทีแรกที่พบหน้าสตรีในห้องพิเศษหมายเลขสอง นางก็รู้สึกไว้วางใจคนผู้นั้นอย่างประหลาด

นางเชื่อมั่นอย่างไม่มีคำอธิบายว่าหากนางได้ติดตามสตรีผู้นี้ สักวันชนเผ่าลูกครึ่งเอลฟ์ของนางจะสามารถยืนหยัดอยู่ในดินแดนได้อย่างมั่นคง

“ราคาเริ่มต้นของเด็กสาวเอลฟ์คนนี้อยู่ที่หนึ่งแสนหินผลึก และข้อกำหนดขั้นต่ำในการเสนอราคาแต่ละครั้งคือหนึ่งพันหินผลึก”

จวินอู่ซิ่วยิ้มและกล่าวเสียงใส ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ทั้งโรงประมูลก็เริ่มสงครามการประชันราคาอีกครั้ง

.