วันรุ่งขึ้น
เย่เทียนหอมแฮ่กขณะที่ยกกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ในมือไปวางบนสายพานลำเลียงกระเป๋า หยิบตั๋วเครื่องบินมาจากมือเฉินหวั่นชิง แล้วถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่พอเห็นว่าห่างจากเวลาขึ้นเครื่องอีกตั้งสองชั่วโมง เย่เทียนก็ตากระตุกอย่างแรง และหันกลับไปมองเฉินหวั่นชิงด้วยความกระเง้ากระงอด
ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน เฉินหวั่นชิงก็ปลุกเขาอย่างเร่งรีบ ตะโกนโหวกเหวกว่าจะขึ้นเครื่องไม่ทันแล้ว ไม่ให้เวลาเขาได้ล้างหน้าล้างตาด้วยซ้ำก็ลากเขาที่หัวยุ่งอย่างกับรังนกออกจากบ้าน
ทีแรกเย่เทียนยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมเฉินหวั่นชิงไม่ถึงพูดเหตุการณ์เมื่อคืนเลยตลอดทั้งทาง สรุปนี่คือการลงโทษของเธอ ให้เขาออกจากบ้านในสภาพดูไม่ได้!
“เมียจ๋า ผมขอไปเข้าห้องน้ำได้มั้ย?”
เย่เทียนมองเฉินหวั่นชิงที่ยิ้มแย้มเบิกบานตรงหน้าแล้วส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ไปสิๆ! เดี๋ยวฉันไปรอคุณที่เลานจ์สำหรับแขกวีไอพี”
เฉินหวั่นชิงบีบจมูกอย่างรังเกียจ ก่อนจะหันหลังเดินไปที่จุดตรวจสอบความปลอดภัยด้วยฝีเท้าชื่นมื่น
“คนโบราณพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ จิตใจสตรีนี่แหละร้ายกาจที่สุด!”
เย่เทียนมองหุ่นเพรียวบางของหญิงสาวแล้วถอนหายใจเศร้าๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อ
เขาซื้อหมากฝรั่งในร้านสะดวกซื้อ เป็นการทำความสะอาดช่องปากถูๆไถๆ แล้วถึงได้ไม่สนสายตาของคนรอบข้าง เดินไปจัดการทรงผมรังนกที่ห้องน้ำสาธารณะ
หลังจากจัดการปัญหารูปลักษณ์ลวกๆแล้ว เย่เทียนซื้อแฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารเช้า แล้วจึงเดินเข้าไปที่จุดตรวจสอบความปลอดภัย เดินไปที่เลานจ์วีไอพี
แต่ตอนที่เขาบุกเข้าไปในเลานจ์วีไอพี กลับพบว่าเฉินหวั่นชิงที่เข้ามาก่อนกำลังคุยกับผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคนด้วยความเพลิดเพลิน!
เขารู้จักแค่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของเฉินหวั่นชิง เธอก็คือเหลียงเยว่หรู คุณหนูตระกูลเหลียงที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน
ตั้งแต่เหลียงเยว่หรูเปิดใจกับเขา เขาก็เว้นระยะห่างจากเธอตามสัญชาตญาณ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่
ที่เย่เทียนแปลกใจคือเมื่อก่อนเฉินหวั่นชิงและเหลียงเยว่หรูไม่ได้รู้จักมักจี่กัน เหตุใดตอนนี้ถึงมานั่งคุยกันตรงนี้ด้วยความสนิทสนมล่ะ?
“เย่เทียน มาสิ ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จัก”
เฉินหวั่นชิงไม่รู้หรอกว่าเย่เทียนคิดอะไรอยู่ พอเห็นเขาเดินมาก็รีบยืนขึ้นและเดินไปคล้องแขนเขา “คุณรู้จักเยว่หรูอยู่แล้ว ฉันไม่แนะนำแล้วนะ คนนี้คือตากล้องที่ช่วยถ่ายรูปแต่งงานให้เรา เซ่อัน”
เฉินหวั่นชิงชี้ผู้ชายที่ห้อยกล้อง แต่งหน้าอ่อนๆ จีบนิ้ว ท่าทางตุ้งติ้งสุดๆที่เมื่อกี้นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
“สวัสดีครับคนหล่อ”
เซ่อันลุกขึ้นอย่างถูกจังหวะ ยื่นมือออกมาด้วยท่าทีอรชร ตาคู่ที่ทาอายแชโดว์มาหนาเตอะมองเย่เทียนขึ้นลง
“สวัสดีครับ”
ตาเย่เทียนกระตุกเล็กน้อย อดทนกลั้นความสะอิดสะเอียนในใจ และเป็นฝ่ายยื่นมือออกมา
แต่เย่เทียนแทบจะดึงกลับมาทันทีที่แตะโดนนิ้วของเซ่อัน อย่างกับกลัวติดโรคติดต่อ
ในโลกที่วัตถุนิยม ทุกคนมีวิถีชีวิตของตัวเอง เย่เทียนไม่ดูหมิ่นทางเลือกของเซ่อัน
แต่ประเด็นสำคัญคือสายตาของเซ่อันอย่างกับหมาป่าที่เจอหนูน้อยหมวกแดง แทบจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว เขารับไม่ได้จริงๆ!
“นี่คือเจียงเชี่ยน เป็นผู้ช่วยของเซ่อัน”
เมื่อสังเกตเห็นเย่เทียนเผลอทำกิริยาไม่ดี เฉินหวั่นชิงอดคลี่ยิ้มมุมปากไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ชี้ไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลียงเยว่หรูและแนะนำ
“เจียงเชี่ยน? นี่เป็นชื่อผู้หญิงรึเปล่า?”
เย่เทียนรำพึงอย่างแปลกใจ ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยน เขายื่นมือออกไปอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับคุณเย่”
ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าเจียงเชี่ยนยื่นมือมาจับมือเย่เทียนอย่างมีมารยาท เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมากลับเป็นเสียงผู้หญิงเจื้อยแจ้ว!
“หืม?!”
เย่เทียนอึ้งไปเลยกับเจียงเชี่ยนตรงหน้าที่สวมชุดสูท ท่าทางหล่อเหลา
ถ้าไม่ใช่ว่าผิดกาลเทศะ เขาอยากจะถามเฉินหวั่นชิงจริงๆว่าไปหาตากล้องมาจากไหน?
เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับเดินบนเส้นทางของผู้หญิง ทั้งๆที่เป็นเด็กสาวน่ารัก แต่กลับเดินบนเส้นทางของผู้ชาย
หรือว่าคนที่อยู่ในแวดวงศิลปะนิสัยอินดี้กันแบบนี้ทุกคน?
“ฮ่าๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณจะเป็นแบบนี้”
เฉินหวั่นชิงเห็นสีหน้าประหลาดของเย่เทียนแล้วปิดปากหัวเราะเบาๆอย่างอดไม่ได้ เขาดึงเย่เทียนนั่งลงอีกครั้ง “คุณอย่าไปดูถูกพวกเขานะ พวกเขาเป็นตากล้องถ่ายรูปแต่งงานที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงหนันของเรา มีคนดังมากมายให้พวกเขาถ่ายรูปแต่งงานให้”
“ถ้าคราวนี้ไม่ได้นอ้งเยว่หรูมาช่วย แค่ฉันคนเดียวคงจ้างพวกเขาไม่ได้หรอก!”
“หืม?!”
เย่เทียนได้ฟัง ทันใดนั้นก็หันไปมองเหลียงเยว่หรูด้วยสีหน้าพิศวง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆเหลียงเยว่หรูถึงช่วยหาตากล้องให้ ยอมล้มเลิกความตั้งใจแล้วเหรอ? อวยพรตัวเองกับเฉินหวั่นชิงด้วยความจริงใจเหรอ?
ติ๊งติ๊ง!
เวลานั้นเอง มือถือของเย่เทียนดันดังขึ้นมา เขาหยิบออกมาดู เป็นสายจากฮั่วเยี่ยนจื่อที่ไม่ได้ติดต่อกันนาน
เย่เทียนรีบบอกกล่าวกับคนที่อยู่ตรงนี้ แล้วจึงเดินออกจากเลานจ์วีไอพีเพื่อรับสาย
“อาจารย์! คุณหล่อเกินไปแล้วนะคะ!”
เพิ่งจะรับสาย เสียงตื่นเต้นของผู้หญิงก็ดังเข้ามาทันที เย่เทียนตกใจจนต้องรีบเอาหูออกจากมือถืออย่างรวดเร็ว
แต่เขาก็ฟังออกว่าคนที่ตะโกนไม่ใช่เจ้าของเครื่องอย่างฮั่วเยี่ยนจื่อ แต่เป็นน้องสาวของเธอ ฮั่วหลิงเยว่!
“เดี๋ยวก่อนยัยเด็กนี่ กินข้าวมั่วๆได้แต่อย่าพูดมั่วๆนะ! ฉันไปเป็นอาจารย์ของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตอนที่คุณไปจากจ๊กกลาง บอกว่าจะให้บททดสอบพี่สาวไม่ใช่เหรอคะ ตราบใดที่เธอสามารถกำราบตระกูลหยางและตระกูลหลี่ได้ภายในหนึ่งเดือน คุณก็จะรับพี่สาวเป็นศิษย์นี่คะ?”
ฮั่วหลิงเยว่หัวเราะเฮ่ะๆ “จนถึงวันนี้ เพิ่งผ่านไปได้ยี่สิบสามวัน พี่สาวได้ทำบททดสอบของคุณสำเร็จแล้วนะคะ ตอนนี้ตระกูลฮั่วของเราเป็นอันดับหนึ่งในจ๊กกลางอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว!”
“สำเร็จแล้วเหรอ?”
เย่เทียนผงะ อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
ฮั่วเยี่ยนจื่อสมกับเป็นอัจฉริยะสาวด้านธุรกิจ ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ!
ไม่ว่ายังไงตระกูลหยางและตระกูลหลี่ต่างเป็นสิ่งมโหฬารที่ตั้งรกรากในจ๊กกลางมานานหลายปี ต่อให้จู่ๆผู้นำของทั้งสองตระกูลตายไป คนใต้บังคับบัญชาจะตกอยู่ในความวุ่นวายของการแย่งชิงอำนาจ แต่ถ้ามีศัตรูภายนอกเข้ามารุกราน พวกเขาก็จะวางทิฐิลงและผนึกกำลัง
ฮั่วเยี่ยนจื่อสามารถกำราบทั้งสองตระกูลภายในเวลาสั้นๆแค่ยี่สิบสามวัน แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความเก่งกาจของเธอ
ฮั่วหลิงเยว่พูดอย่างได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ดูด้วยว่าพี่สาวใคร!”
“เดี๋ยวสิ ฉันว่าฉันต้องค้านเธอหน่อย”
เย่เทียนหลุดขำ และพูดหยอกล้อ “ข้อแรก ถึงแม้ฉันจะรับปากว่าถ้าพี่สาวเธอทำบททดสอบสำเร็จจะรับเธอเป็นศิษย์ แต่ก่อนที่จะเข้าพิธีกราบไหว้อาจารย์ เธอยังไม่นับว่าเป็นศิษย์ของฉัน”
“ข้อสอง ต่อให้ฉันตกลงรับพี่สาวเธอเป็นศิษย์ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
“ฉัน….ฉัน….”
ฮั่วหลิงเยว่พูดอะไรไม่ออกในบัดดล “ไม่สนล่ะ ฉันกับพี่สาวเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก ถ้าเธอมีอาจารย์เป็นคุณ คุณก็ต้องเป็นอาจารย์ของฉันเหมือนกัน”
เย่เทียนเบ้ปาก “เธอขี้โกงนี่”
“ฉันขี้โกงแล้วจะทำไมเล่า!”
ฮั่วหลิงเยว่ไม่มีอะไรจะเสีย เธอข่มขู่ “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่สนามบินจ๊กกลางนะคะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเมืองเจียงหนัน ถ้าคุณไม่รับปากฉัน ระวังฉันจะไปฟ้องอาจารย์แม่ว่าคุณลวนลามฉัน!”