บทที่ 2146+2147

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2146 ทำไมเขารู้สึกว่านางแย่งบทเขาไปกันนะ?

ประกอบกับเขาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ด้านนอกอยู่หลายปี คบหาสหายจำนวนหนึ่ง ในนั้นมีสหายเสเพลอยู่ด้วย สหายเสเพลเหล่านั้นเคยนำภาพวาด ‘กระบวนยุทธ์โฉมงาม’ ที่รวบรวมไว้มาให้เขาดู บนนั้นมีสารพัดท่วงท่าครบถ้วนสมบูรณ์ ยามนั้นถึงแม้เขาจะไม่ค่อยแยแส แต่บังเอิญว่าเขามีความสามารถในการอ่านผ่านตาแล้วจดจำได้ไม่ลืม ด้วยเหตุนี้จึงจดจำได้…

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่ถึงขั้นที่ ‘เมื่อจำเป็นต้องใช้กลับจนใจที่เรียนรู้มาน้อยเกินไป’

….

เวลาที่กู้ซีจิ่วนัดหมายทุกคนไว้คือช่วงต้นยามเหมา นางจึงต้องตื่นนอนในช่วงปลายยามอิ๋น

ตี้ฝูอีรู้สึกว่าเมื่อนางเหนื่อยล้าถึงเพียงนั้น นางน่าจะตื่นเช้าไม่ไหว ดังนั้นเลยเตรียมการไว้ว่าเมื่อถึงเวลาจะปลุกนาง

กลับคาดไม่ถึงว่าเป็นเพราะตนไม่หลับไม่นอนอยู่ค่อนคืน จึงผล็อยหลับไปในยามที่ฟ้าใกล้จะสางแล้ว เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ก็สบเข้ากับนัยต์ตาโตคู่หนึ่งพอดี

นางตื่นเองแล้ว!

เพียงแต่นางยังคงงัวเงียอยู่บ้าง ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังจะทักทายนาง กลับเห็นนางหดกายเข้าด้านในทันทีเสมือนโดนผึ้งต่อยก็มิปาน

“เจ้า…เป็นใคร…”

ตี้ฝูอีงงงัน

ไม่ใช่มั้ง? หลับไปคืนเดียวก็จำเขาไม่ได้แล้วหรือ?!

ขณะที่เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ๆ ก็คล้ายว่าสติของกู้ซีจิ่วจะกลับมาแล้ว ตบหน้าผากตัวเองคราหนึ่ง

“อ่า ใช่แล้ว เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า…ไม่นึกเลยว่าข้าจะมีคู่หมั้นเพิ่มมาหนึ่งคนในชั่วข้ามคืน…ข้า…ไม่น่าเชื่อเลยว่าข้าหลับนอนกับเจ้าไปแล้วจริงๆ…”

ตี้ฝูอีทำตัวไม่ถูกแล้ว!

เขายกยิ้มแวบหนึ่ง

“ตกใจขนาดนี้เชียว? เจ้าคงไม่ได้ลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้วกระมัง?”

รอยยิ้มของเขาค่อนข้างเย็นชา ดูเหมือนจะขุ่นเคืองอยู่บ้าง

ยามนี้กู้ซีจิ่วได้สติอย่างสมบูรณ์แล้ว รู้สึกเช่นกันว่าปฏิกิริยาเมื่อครู่ของตนน่าจะทำร้ายผู้อื่นยิ่งนัก รีบอธิบาย

 “ประเด็นสำคัญที่สุดคือฉุกละหุกเกินไปไง…ถึงอย่างไรพวกเราก็เพิ่งรู้จักกันได้วันเดียว…ช่วงที่ผ่านมาข้านอนคนเดียวจนชินแล้ว เช้านี้จู่ๆ ก็มีเจ้าโผล่มา ค่อนข้างงัวเงียอยู่ชั่วขณะ ถึงได้…วันหน้าความเคยชินคงจะดีขึ้น”

ตี้ฝูอีเม้มริมฝีปากบางไม่พูดไม่จา เพียงหรี่ตานิดๆ มองดูนาง

กู้ซีจิ่วถูกเขามองอย่างเคืองๆ จึงคิดแวบหนึ่ง โพล่งประโยคหนึ่งออกมา

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่กินเจ้าเปล่าๆ แน่ ข้าจะรับผิดชอบ!”

ตี้ฝูอีเหวอไปแล้ว ทำไมเขารู้สึกว่านางแย่งบทเขาไปกันนะ?

เขามองนางอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้ม มองไปที่นางอย่างคาดหวัง

“เจ้าจะรับผิดชอบยังไง?”

กู้ซีจิ่วตอบอย่างไม่หยุดคิดเลย

“ข้าจะไปสู่ขอ…ออกเรือนกับเจ้า รอเมื่อชีวิตมั่นคงแล้ว พวกเราค่อยจัดงานแต่งกันดีไหม?”

“ดี! เจ้าพูดแล้วนะ ไม่อนุญาตให้กลับคำ!”

ตี้ฝูอียื่นนิ้วก้อยออกมา

“มา เกี่ยวก้อยสัญญากัน”

กู้ซีจิ่วขำคิกๆ

“เจ้าเป็นเด็กหรือไง? ยังนิยมเกี่ยวก้อยเช่นนี้อีก…”

เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้จี้ใจดำของตี้ฝูอีเข้า เขาหดนิ้วกลับไป พลิกตัวอย่างเฉื่อยชา

“ในสายตาข้า เจ้าสิที่เป็นเด็กน้อย…”

กู้ซีจิ่วย่อมไม่คิดจะโต้เถียงกับเขาในหัวข้อที่ไร้แก่นสารเหล่านี้ ลุกขึ้นนั่งแล้วสวมเสื้อผ้า

“สายแล้วนะ พวกเราลุกจากเตียงเถอะ”

เธอสวมเสื้อผ้าว่องไวยิ่ง แทบจะเสร็จเรียบร้อยในชั่วพริบตา

ตี้ฝูอีกลับสวมเสื้อผ้าอย่างอืดอาดไม่ร้อนใจ สวมเข้าไปทีละชิ้นๆ…

ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงได้เห็นแผงอกที่แข็งแรงทรงพลัง ช่วงเอวเพรียวบาง สองขาที่เรียวยาวของเขา…

กู้ซีจิ่วกลืนน้ำลายเสียงดังเอื้อก รูปร่างคนผู้นี้ได้สัดส่วนเหลือเกิน!

เป็นประเภทที่สวมเสื้อผ้าอย่างจริงจังแล้วดูผอมบาง พอถอดแล้วดูมีเนื้อมีหนัง โดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าเรือนร่างของบุรุษคนไหนๆ ของที่นี่ ทำให้คนมองแวบเดียวก็ไม่อาจละสายตาไปได้ ทำให้เธอแทบอยากผิวปากแซวสักครา…

“สตรีลามก ดูพอหรือยัง?”

จวบจนเสียงของตี้ฝูอีแว่วขึ้นอย่างคล้ายจะหยอกล้อ กู้ซีจิ่วถึงได้รู้สึกตัวว่าตนจ้องมองร่างกายของเขามาหลายนาทีแล้ว…

————————————————————————————-

บทที่ 2147 เรี่ยวแรงย่อมดีเยี่ยม…

กู้ซีจิ่วหัวเราะคิกๆ ก้าวเข้าไปหา มือน้อยๆ แตะลงบนแผงอกเขา เขยิบเข้าไปใกล้ๆ เขา

“ต่อไปห้ามแสดงเรือนร่างอันงดงามนี้ให้ผู้อื่นดูอีก!”

ตี้ฝูอีนิ่งงัน

กู้ซีจิ่วผูกสาบเสื้อให้เขาอย่างดี แม้แต่ลำคอก็ปกปิดไว้อย่างมิดชิด

ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แน่นอน เรือนร่างนี้มีเพียงเจ้าที่ได้ยล”

กู้ซีจิ่วพอใจแล้ว ตบไหล่เขาเบาๆ

“เช่นนี้ก็ดี…”

ตี้ฝูอีกุมมือน้อยๆ ของนางไว้

“มือไม้รุ่มร่ามเช่นนี้…จะยั่วยวนข้าหรือ? อยากได้อีกสักรอบใช่ไหม?”

กู้ซีจิ่วชะงักไป

ลมหายใจเขาเป่าอยู่ริมหู ใบหูกู้ซีจิ่วแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้!

เธอกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ในที่สุดก็ผลักเขาออก

“ยังจะเล่นอยู่อีก! เอาล่ะ เจ้าไวหน่อยเถอะ ข้าจะออกไปดูสักหน่อยก่อน”

แล้วหันหลังวิ่งจากไป

ตี้ฝูอีหัวเราะออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ ที่แท้นางก็ยังรู้จักความเขินอายอยู่…

เขาหลงนึกว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษเสียจนลืมเลือนไปแล้วว่าความเขินอายคือสิ่งใด

….

ยามที่กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปยังลานกว้างที่มีเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้าน ที่นั้นก็มีคนรออยู่ไม่น้อยแล้ว

คนเหล่านี้พากันสนทนาพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น หัวข้อที่สนทนากันย่อมเป็นคืนเข้าหอของ ‘พี่สือโทว’…

“วันนี้พี่สือโทวต้องมาสายแน่ๆ ถึงอย่างไรเมื่อคืนนางก็ร่วมหอกับคุณชายตี้ผู้นั้นแล้ว…”

“พูดยากนะ ดูจากสถานการณ์ของพวกเขาเมื่อคืนแล้วไม่คล้ายว่าจะร่วมหอกันเลย”

“ยามนั้นไม่ได้ร่วมหอ ไม่ได้หมายความว่าหลังจากพวกเราจากมาแล้วพวกเขาจะไม่ร่วมหอกันนี่ ถึงอย่างไรก็เป็นชายโสดหญิงสาว ฟืนแห้งย่อมติดไฟง่าย…”

“ข้ารู้สึกว่าต่อให้พวกเขาร่วมหอกันแล้ว พี่สือโทวก็ยังใช้ชีวิตโลดโผนได้เหมือนเดิม คุณชายตี้ผู้นั้นดูอ่อนแอถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอาจทนได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ ไม่มีทางทำให้พี่สือโทวเหนื่อยได้…”

“มิใช่กระมัง? ยามที่คุณชายตี้สังหารสัตว์ร้ายมายานั้นดุดันยิ่ง เรี่ยวแรงย่อมดีเยี่ยม…”

“ฮ่าๆ ต่อให้เขาแรงดีแค่ไหน แต่ร่างกายเขาก็ดูเหมือนไก่อ่อนอยู่ดี ตรงส่วนนั้นอาจจะเล็กเหมือนไม้จิ้มฟันก็ได้…”

เมื่อบุรุษกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน จึงกินเนื้อสัตว์มายาเป็นอาหารเช้าไปพลาง พูดเรื่องสัปดนไปพลาง…

เถี่ยตั้นเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็มองเห็นกู้ซีจิ่วที่ยืนอยู่ในมุมมืด ตกใจตัวสั่นทันที

“พี่สือโทว…”

กู้ซีจิ่วเดินตรงเข้ามา

“พวกเจ้าช่างว่างเหลือเกินนะ…ทุกคนวิดพื้นห้าร้อยครั้ง!”

ฝูงชนตะลึงงัน

เสียงโอดครวญระงมไปทั่ว แต่ไม่ใครกล้าขัดขืนไม่เชื่อฟัง

ถึงอย่างไรทุกคนก็ฟังคำสั่งจากเธอจนเคยชินไปแล้ว และในแต่ละวันขอเพียงพี่สือโทวว่างก็จะมาเคี่ยวเข็ญฝึกฝนพวกเขาอยู่เสมอ เสริมสร้างร่างกายพวกเขาให้แข็งแกร่ง…

เมื่อก่อนนี้พอรุ่งเช้าต้องวิดพื้นหนึ่งร้อยครั้งเป็นบทเรียนภาคบังคับ ตอนนี้เพิ่มเป็นห้าร้อยครั้งในรวดเดียว…

ทุกคนมองกู้ซีจิ่วที่เดินเหินปานโบยบิน ไม่โซเซเลยสักนิด ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในสมอง ‘ความปรารถนาของพี่สือโทวไม่ได้รับการเติมเต็มกระมัง…’

คาดเดาก็ส่วนคาดเดา ทว่าคำสั่งของพี่สือโทวไม่อาจลดทอนลงได้เลยสักนิด

ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มาทีหลังจึงได้เห็นชายฉกรรจ์ผลุบขึ้นผลุบลงกันอยู่เกลื่อนพื้น ตระการตายิ่ง…

เมื่อวิดพื้นห้าร้อยครั้งเสร็จ ทุกคนก็เหงื่อโชกไปทั้งตัว ฟุบอยู่กับพื้นแทบไม่อยากลุกขึ้นแล้ว

กู้ซีจิ่วกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง

“ทำไมยังไม่ลุกขึ้นมาล่ะ? ยังทำไม่พอรึ? ต่ออีกห้าร้อยครั้งดีไหม?”

ด้วยเหตุนี้ เหล่าชายฉกรรจ์ที่นอนฟุบอยู่บนพื้นเหมือนปลาตายจึงกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อไปแล้ว

ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีโผล่ออกมามาจากซอกหลืบรูใด มองดูพวกเขาที่ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ หยักยิ้มแวบหนึ่ง

“อบอุ่นร่างกายเช่นนี้ไม่เลวเลย ให้พวกเจ้าได้ยืดเส้นยืดสายแล้ว เอาล่ะ ของจริงกำลังจะเริ่มแล้ว…”

ฝูงชนะพลันสั่นสะท้าน สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่เขา

คุณชายตี้ผู้นี้ดูสดชื่นแจ่มใสดี

———————————-