SD:บทที่ 38 : พี่น้อง ขึ้นรถของพวกนายเร็วเข้า
สีหน้าของ กู่ จ้านชุน เปลี่ยนไปทันที เขากำมือเสียแน่น ทว่าเมื่อมองเข้าไปในดวงตาเยือกเย็นของ ซู ฉิวไป่ แล้ว เขายังจดจำพละกำลังมหาศาลของน้องชายคนตรงหน้าได้ดี ผู้คุ้มกันประจำตัวของ กู่เฉิงหยา จึงคลายมือลงอย่างช้า ๆ
เขาไม่ต้องการจะมีเรื่องกับ ซู ฉิวไป่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายหญิงยังดูอยู่เช่นนี้ น่าเสียดายที่หนึ่งในลูกน้องของเขาคงจะคิดไม่เหมือนกัน หมอนั่นนิ่วหน้าแล้วพุ่งตรงไปต่อย ซู ฉิวไป่
ตั้งแต่ที่เขาช่วยในการผ่าตัดของกวนอู เขาก็ยังไม่ตระหนักว่าระบบการนำทางหมายความอย่างไรกับการที่ให้ทักษะพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้ตัวอย่างให้ประจักษ์ชัดแล้ว
ชายที่ปรี่เข้ามาต่อยเขา กลับถูกเขาเตะออกไปอย่างง่ายได้!
อะไรเนี่ย*! แกร่งขึ้นชัด ๆ !*
ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่ชายซึ่งนอนกุมท้องอยู่บนพื้น ซู ฉิวไป่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขานั้นเป็นต้นเหตุ การเตะของเขาทำให้ กู่ จ้านชุน ตกตะลึง
คนขับรถคนนี้นี่มัน…เป็นปริศนาเสียจริง*!*
ความหวาดกลัวที่มีต่อน้องชายของคนขับรถยังทรงพลังมากกว่าความโกรธ กู่ จ้านชุน จึงไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาหยุดไม่ให้คนคุ้มกันคนอื่นต่อสู้ หันไปมอง ซู ฉิวไป่ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับ กู่เฉิงหยา
เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะจบลงเช่นนี้แล้ว ซู ฉิวไป่ พลันรู้ตัวดีว่าคงไม่มีทางที่เขาจะช่วย กู่เฉิงหยา ต่อไปได้ เขาทำได้แค่มองพวกเขาออกจากบ้านเขาไปในความเงียบเท่านั้น
ชายหนุ่มถอนหายใจช้า ๆ สุขภาพของ กู่เฉิงหยา ต่อไปคงมีแต่แย่ลงนับจากนี้ แต่เขาก็พยายามช่วยเธอเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตมาแล้วก็เป็นได้
คนขับรถยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำความสะอาดห้อง เขาคว้ากุญแจรถแล้วเดินลงไปชั้นล่าง
ฮัว โต๋ และ จาง จ้งจิ่ง ยืนรออยู่ข้างรถแท็กซี่ของเขา พวกท่านยังคงนิ่งเงียบแม้ว่าจะเห็น ซู ฉิวไป่ แล้ว
ซู ฉิวไป่ เองก็อับอายแทนพวกเขา ชายหนุ่มอุตส่าห์พาชายชราทั้งสองมาตั้งไกล เพียงเพื่อให้พวกเขาถูกดูถูกเช่นนี้ ท่านทั้งสองไม่ได้ร้องขอเงินตอบแทนใด ๆ แต่กลับถูกมองเป็นพวกต้มตุ๋นไปเสียได้!
ถ้าเป็นฉันล่ะก็ คงโกรธไม่ต่างกัน!
ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากเอ่ยขอโทษนับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงการให้เข็มฉีดยาเป็นของขวัญกับเหล่านายแพทย์ อารมณ์พวกเขาก็ดีขึ้นเสียที ขณะที่อยู่ในรถ ซู ฉิวไป่ ลองเอ่ยปรารภถึงความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะยอมรักษาอาการป่วยของ กู่เฉิงหยา อีกหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนดูจะไม่ยินยอมอีกแล้ว…
เขารู้สึกซึมเศร้ามากหลังจากที่ส่งพวกเขากลับบ้านไปแล้ว ทว่า อู่ ซง กลับส่งคำเชิญชวนมาให้เขา ณ ตอนนั้นพอดี
ซู ฉิวไป่ ไม่คิดอะไรมาก แล้วไปเยี่ยมเขาในทันที แต่กลับพบว่า อู่ ซง ได้ออกจากมณฑลจิ่งหยางเรียบร้อยแล้ว สาเหตุคือเขาได้ฆ่า ซีเหมิน ชิ่ง ไปแล้ว!
นั่นทำให้ ซู ฉิวไป่ ตกตะลึงไม่น้อย เขาคาดเดาเอาว่า พาน จินเหลียน คงนอกใจ อู่ ต้า อีกคราด้วยการไปคบกับ ซีเหมิน ชิ่ง อีกครั้งหนึ่ง และจบลงด้วยการฆ่า อู่ ต้า ทว่าความจริงนั้นตรงกันข้าม!
จากนวนิยายเรื่อง ซ้องกั่ง นั้น อู่ ซง มีพี่ชายเป็นคนเตี้ยค่อมขี้ริ้วชื่อว่า อู่ ต้า ผู้มีภรรยาชื่อว่าพานจินเหลียน นางแอบคบชู้กับ ซีเหมิน ชิ่ง ซึ่งมาติดพันเกี้ยวพาราณสีนางเป็นประจำ ทว่า อู่ ต้า กลับบังเอิญไปพบเข้า จึงวางแผนฆ่าผู้เป็นสามีเสีย เพราะเกรงว่าเขาอาจจะไปรายงานฟ้องน้องชายตน ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าของเหล่าพลตระเวนในมณฑลนั้น
ทว่าเหตุผลที่ อู่ ซง ฆ่า ซีเหมิน ชิ่ง นั้น กลับดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับ พาน จินเหลียงเลย
ซู ฉิวไป่ ถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้เขาจะยังไม่ทราบว่าทำไมเรื่องมันถึงดำเนินแตกต่างไปจากในนวนิยาย แต่หาก อู่ ต้า และ พาน จินเหลียง ยังปลอดภัยอยู่ เขาก็ยังไม่เป็นอะไร
อู่ ซง ได้กระทำผิดกฎหมาย และไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร จึงมาร้องขอความช่วยเหลือจาก ซู ฉิวไป่
ตามนวนิยายแล้ว อู่ ซง ควรจะมุ่งหน้าไปที่ภูเขาเอ้อหลงในตอนนี้ แต่เมื่อชายหนุ่มพิจารณาทบทวนเนื้อเรื่องอีกที สุดท้าย อู่ ซง จะต้องไปภูเขาเหลียงซานอยู่ดี ซู ฉิวไป่ จึงไปส่งเขาเสียที่นั่นเลย
แล้วพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาเหลียงซานด้วยรถแท็กซี่ของ ซู ฉิวไป่
เมื่อมาถึง เขากลับประหลาดใจที่พบว่า ซ่ง เจียง ผู้นำของเหล่าผู้กล้า รออยู่ที่ภูเขาเหลียงซานแล้วเรียบร้อย!
ชายหนุ่มซวนเซ เขาไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ซ่ง เจียง ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่สิ…
แต่พี่น้องร่วมสาบานก็ดูรักใคร่กันดีเมื่อได้เจอกันแล้ว พลัน ซ่ง เจียง เห็นว่า ซู ฉิวไป่ จอดรถของเขาที่เบื้องล่างของภูเขา ผู้นำของเหล่าผู้กล้าจึงนำกลุ่มชายฉกรรจ์มาต้อนรับเขา
หลิน ชง ผู้มีสมญานามว่า “เศียรเสือดาว”, หลี ขุ่ย ผู้ถูกเรียกว่า “ลมกรดทมิฬ”, หลิว ทัง ผู้มีสมญานามว่า “ปีศาจผมแดง” และแม้แต่ หลู่ จื้อเชน ผู้มีฉายาว่า “นักบวชดอกไม้” ก็อยู่ที่นั่น!
คนขับรถรู้สึกท่วมท้นที่ต้องเห็นคนมากมายขนาดนี้…เขาเร่งเดินขึ้นภูเขาด้วยความตกตะลึง หลังจากการแลกเปลี่ยนถ้อยคำเล็กน้อย จะมีงานเลี้ยงถูกจัดขึ้น ในจังหวะที่พวกเขาจะเริ่มดื่มสุรานั้นเอง ซู ฉิวไป่ ก็ขัดจังหวะพวกเขา
“พี่น้อง หากเราจะหาความสุขกันแล้ว เราจะดื่มเหล้าอย่างนี้ได้ยังไง รอผมก่อนนะ…อีกไม่นานเดี๋ยวก็มา!”
ซู ฉิวไป่ พูดเช่นนั้น แล้ววิ่งออกไป
เมื่อ ซ่ง เจียง เห็นว่าพวกพ้องของตนเองยังงงงวย เขาจึงอธิบายอย่างรวดเร็วว่าน้องคนนี้มักเฟ้นหาของดี ๆ มาให้ โดยมี อู่ ซง พยักหน้าเห็นด้วยตลอด
และแน่นอน ชายหนุ่มกลับมาอย่างรวดเร็ว
รถแท็กซี่ของเขาเต็มไปด้วยขวดเหล้าชั้นดี! เงินเก็บของเขาเกือบทั้งหมดถูกใช้จนเหลือเพียงน้อยนิด แต่ถ้าใช้เพื่อเลี้ยงผู้กล้าเช่นนี้แล้ว เขาก็นับว่าเป็นการใช้อย่างคุ้มค่า มีแม้แต่บุหรี่ด้วยซ้ำ
เหล่าผู้กล้าจากภูเขาเหลียงไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย ไม่มีใครอยากดื่มเหล้าเก่าเช่นนั้นอีกแล้ว นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดสูบบุหรี่ได้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากและมากขึ้นไปอีกกับทุกมวนที่สูบ!
จากการดูแลอย่างดีเช่นนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลายก็ประทับใจ ซู ฉิวไป่ มากเหลือเกิน หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างได้ดื่มและกินอย่างอิ่มหนำสำราญทีเดียว
……
กว่า ซู ฉิวไป่ จะกลับบ้านจากภูเขาเหลียงก็เป็นวันถัดไปเสียแล้ว เขาดื่มมากเกินกว่าจะขับรถได้เมื่อคืน
หลังจากที่เขากลับบ้าน ชายหนุ่มใช้เวลาถึงสองวันในการศึกษาระบบการนำทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาค้นพบว่าเขาสามารถพัฒนาเลื่อนขั้นใบขับขี่ได้!
ซู ฉิวไป่ ใคร่อยากรู้มากว่าใบขับขี่แบบออนไลน์ของเขา มันจะเลื่อนขั้นให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร แต่ทว่า เวลาสองวันที่เขาเสียไปดูจะไม่ได้อะไรเลย ระบบการนำทางมันซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ดูท่าเขาคงต้องใช้เวลาเรียนรู้มันอีกนาน
ขณะนั้นเอง เฉา ตั้วเฟยกลับติดต่อ ซู ฉิวไป่ ว่าจะมีอะไรบางอย่างที่จะมอบให้เขา ในตอนแรก ซู ฉิวไป่ ไม่ได้อยากจะไปพบหมอนั่นเลย แต่เขาทนการรบเร้าของไอ้เด็กคนนั้นไม่ไหว ไป ๆ มา ๆ เขาจึงยอมไปพบกับ เฉา ตั้วเฟยที่ร้านอาหารขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
เฉา ตั้วเฟยเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว หลังจากการแข่งขันคราวที่แล้ว เขาสาบานว่าจะให้เกียรติ ซู ฉิวไป่ ด้วยการยกให้เขาเป็นถึงลูกพี่คนใหม่ของแก็ง ซึ่งเจ้าตัวดูจริงจังมากทีเดียว
เขาพ่ายแพ้ให้กับความแข็งแกร่งและทักษะในการขับรถของ ซู ฉิวไป่ เด็กหนุ่มจึงต้องการให้ ซู ฉิวไป่ เป็นหัวหน้าของแก็งนักแข่งข้างถนน
ในความคิดเห็นของเขา คนหนึ่งใช้ชีวิตได้เพียงหนเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่! หาก ซู ฉิวไป่ เก่งกาจกว่าเขา เด็กหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่าหากเขาและแก็งเลือกเดินตาม ซู ฉิวไป่ ล่ะก็ พวกเขาต้องได้กระทำการใหญ่แน่ แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนี้ก็เถอะ!
แต่ช่างมันปะไร*!*
จังหวะที่ ซู ฉิวไป่ ลงจากรถแท็กซี่ของเขา เฉา ตั้วเฟยที่ย้อมผมเป็นสีเหลืองนีออนแสบตา ก็วิ่งอย่างเด่นหราเข้ามาหาเขาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง พร้อมตะโกนเรียกหาเขาว่าเป็นลูกพี่
“ก็บอกไปแล้วไง…อย่างเรียกฉันว่าลูกพี่” คนขับรถรู้สึกว่าตนเองเลือกอะไรไม่ได้เลย เขาไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าของแก็งนักแข่งข้างถนนหรอกนะ
“หึหึ ไม่สนหรอก ผมจะเรียกลูกพี่ว่าอย่างงั้นอ่ะ!” เฉา ตั้วเฟยยิ้มกว้าง สีหน้าประทับไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างประหลาด
ซู ฉิวไป่ ทำได้แค่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วทั้งสองก็เลือกหาที่นั่งในร้าน
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมากะทันหันในตอนที่เขากำลังจะถามเด็กหนุ่มพอดีว่าทำไมถึงเอ่ยชวนเขามา
เขาแปลกใจ ยิ่งเมื่อเห็นว่าสายโทรเข้านั้นมาจากเขตเมืองตงไห่
เมื่อเขารับโทรศัพท์ก็พบว่าคนโทรหาเขานั้นเป็นผู้หญิง น้ำเสียงของเธอดูขี้อายและเร่งรีบชอบกล
“ฮัลโหล นี่ใช่… ซู ฉิวไป่ ใช่ไหมคะ ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นของ ซู เซี่ยวเซี่ยว นะคะ ชื่อ เสี่ยว หลี ค่ะ”
ซู ฉิวไป่ งงงัน
เพื่อนของเซี่ยวเซี่ยว? เขาสัมผัสได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
“ใช่ ผม ซู ฉิวไป่ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ซู ฉิวไป่ ถามออกไปโดยไม่ลังเล
“คือ…เซี่ยวเซี่ยวประสบอุบัติเหตุน่ะค่ะ ตอนนี้เธออยู่ในโรงพยาบาล แล้วเรามีเงินไม่พอในการจ่ายค่ารักษา ได้โปรดช่วยโอนเงินมาให้เธอหน่อยได้มั้ยคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวคู่สนทนาดูลังเลกว่าเขาอีก
เมื่อเขาได้ยินว่า ซู เซี่ยวเซี่ยว เกิดอุบัติเหตุ ทั้งร่างเขาก็ไม่อาจขยับเขยื้อน!
“เกิดอะไรขึ้น ต้องการเท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะไปหาทันที…” เขาตอบเธอไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่การต้มตุ๋น เพราะเขาสังเกตเห็นความกลัวในน้ำเสียงของเธอ พวกต้มตุ๋นคงไม่กลัวหรอก
“คุณ… คุณห้ามมานะคะ เซี่ยวเซี่ยวไม่ยอมให้ฉันโทรหาคุณ ตอนนี้ฉันแอบออกมาโทรโดยที่เธอไม่รู้” หญิงสาวกลับเริ่มสะอื้นเสียแล้ว ซู ฉิวไป่ ยิ่งมั่นใจมากว่ามันต้องมีอะไรเบื้องหลังแน่
“เกิดอะไรขึ้นกัน บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!” คนขับรถสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง แล้วกล่าวร้องกับเธอ
คู่สนทนาของเขากลับเงียบ หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที หญิงสาวก็เริ่มร้องไห้
“ขอโทษค่ะ เธอกระโดดตึกน่ะค่ะ ตอนนี้เธออาการร้ายแรง ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วก็เลยโทรหา แต่เธอไม่ยอมให้ฉันบอกคุณ…ขอโทษจริง ๆ นะคะ”
หญิงสาวร้องไห้หนักกว่าเดิม ใจเขาตอนนี้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว ในหัวของเขาขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ไปตั้งแต่ที่เขาได้ยินว่าเซี่ยวเซี่ยวพยายามฆ่าตัวตาย
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกัน…” เสียงของเขาแหบขึ้นมาฉับพลัน เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้นมาหลายครั้งเหลือเกิน แต่กลับยังสับสน
“เป็นเพราะ เซี่ยวหยุนน่ะค่ะ เขาบังคับให้เธอต้องกระโดดลงมา เขาคิดจะลวนลามเซี่ยวเซี่ยว… ครอบครัวเขามีอิทธิพล เขาข่มเหงเซี่ยวเซี่ยวมาตลอด แต่เธอไม่ได้ออยากให้คุณกังวล เลยเก็บเงียบมาไว้โดยตลอด…” หญิงสาวที่ยังหวาดกลัว ในที่สุดก็พออธิบายเหตุผลให้เขาฟังได้
ซู ฉิวไป่ นิ่งเงียบ
ส่วน เฉา ตั้วเฟย ที่นั่งอยู่ข้างเขา รู้สึกได้เพียงว่าร่างตัวเองกำลังสั่นเทา เด็กหนุ่มสามารถได้ยินคำพูดจากสายโทรศัพท์นั้นทุกคำ เขาจึงได้แต่สั่นสะท้านขึ้นเท่านั้น โดยไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยวผมจะโอนเงินไปในบัญชีของเสี่ยวเสี่ยว บอกเธอด้วยว่าผมกำลังไปตงไห่ ความยุติธรรมที่เธอควรได้รับ… ผมจะเอามันมาให้ได้!”
หลังจากนั้น เขาก็วางสายแล้วลุกขึ้นยืนในความเงียบ
“ลูกพี่!” เฉา ตั้วเฟยตะโกนเรียกเขาอย่างกระวนกระวาย แต่กลับหยุดในบันดล ซู ฉิวไป่ ตอนนี้กลับดูน่ากลัวเป็นอย่างที่สุด ซู ฉิวไป่ เพียงเหลือบตามองเขา แล้วหันกลับไปปรีขึ้นรถแท็กซี่ตน เขากระโดดขึ้นมันแล้วขับจากไป
ระหว่างทาง ประหนึ่งว่าหัวใจของชายหนุ่มได้ถูกบดขยี้ไปแล้ว
ยัยเด็กบ๊องนั่นตามเขาต้อย ๆ มาตลอดตั้งแต่ที่เธอยังเป็นเด็ก เวลาเขามีเรื่องอะไร หญิงสาวก็มักล้อตลอดว่าเธอฟ้องพ่อแม่ของพวกเขาแน่ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ เธอก็จะมาขอความช่วยเหลือจากเขาก่อนไปหาพ่อแม่เสมอ
เธอเป็นคนมีเหตุผลมากเกินไปด้วยซ้ำ น้องสาวของเขาเอาแต่กังวลตลอดว่าจะทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน
หญิงสาวต้องทุกข์ทรมานแต่เพียงลำพัง เธอเป็นคนโทรหาเขาก่อนทุกครั้ง พร้อมกำชับไม่ให้เขาหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัว… แต่ว่า ฉันไม่เคยถามเธอเลยว่าเธอเป็นยังไงบ้าง*!*
ฉันไม่สมควรจะเป็นพี่ชายเซี่ยวเซี่ยวเลย ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดกับเธอได้นะ… ถึงเวลาที่ฉันต้องปกป้องเซี่ยวเซี่ยวบ้างแล้ว*!*
เมื่อเขาถึงน้าน สิ่งแรกที่เขาทำคือโทรหา เซี่ย หรงหรง
“ขอยืมเงินคุณหน่อยยได้มั้ยครับ” ซู ฉิวไป่ เอ่ยถามเธอตรง ๆ
หญิงสาวแปลกใจมาก เธอไม่เคยได้ยินเขาในน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไร แต่เธอก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“ต้องการเท่าไหร่ล่ะคะ เดี๋ยวฉันทำบัญชีให้ ในฐานะที่คุณเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท คุณสามารถควบคุมใช้ทุนได้อย่างอิสระถึงห้าล้านดอลลาร์ค่ะ…”
“ขอบคุณนะรครับ… ว่าแต่ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลเซี่ยวในเมืองตงไห่บ้างมั้ย” ซู ฉิวไป่ จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมาก่อนจะวางสาย
เซี่ย หรงหรง สับสนไปสักพัก ก่อนจะตอบเสียยาวเหยียด
“ตระกูลเซี่ยวเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลของเมืองตงไห่ พวกนั้นมีอิทธิพลมากกว่าตระกูลเซี่ยเสียค่ะ แต่ธุรกิจของพวกเขาดูน่าสงสัยอยู่ค่ะ ธุรกิจส่วนใหญ่จะมุ่งที่บริเวณรอบถนนต้งโข่ว พวกเขามีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกนักสู้… ถามทำไมเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ซู ฉิวไป่ พูดเพียงเช่นนั้นแล้ววางสาย
เซี่ย หรงหรง วางโทรศัพท์ลงอย่างเฉยเมย ยิ่งเธอคิดถึงมันมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเธอก็ฝังความกังวลลึกลงในใจ และเรียกผู้จัดการแผนกคนหนึ่งในเมืองตงไห่ เพื่อสอบถามว่าครอบครัวเซี่ยวมีการทำอะไรแปลก ๆ ในสองสามวันที่ผ่านมาบ้างหรือไม่
ในตอนแรก ผู้จัดการไม่ได้กล่าวอะไร แต่ทันใดนั้น เขากลับนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ก่อนที่สายนั้นจะจบลง
“ใช่ครับ นายน้อยของตระกูลเซี่ยวที่ชื่อ เซี่ยว หยุน เหมือนจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยตงไห่พยายามฆ่าตัวตายน่ะครับ…”
“ผู้หญิงคนนั้น ชื่ออะไรเหรอ” หัวใจชองเธอราวกับจะหยุดเต้น ประธานฯสาวถามขึ้นในทันที
“เหมือนว่าจะสกุลซูนะครับ ซู… ซู เซี่ยวเซี่ยว ละมั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”
เซี่ย หรงหรง ไม่รับรู้ประโยคส่วนท้ายตั้งแต่ที่ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นสกุลซูแล้ว หน้าของเธอตอนนี้ซีดเผือก เธอเข้าใจแล้วว่าทำไม ซู ฉิวไป่ ถึงพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น
หญิงสาวคาดเดาได้เลยว่า…กำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!
เมื่อท่านประธานสาวลองโทรหาเขาอีกครั้ง โทรศัพท์ของเขากลับถูกปิดเสียแล้ว…
ณ เมือง ชิงเจียง ฝนเริ่มตกหนัก และดูท่าจะตกแรงทุกที
หลังจากที่ ซู ฉิวไป่ สูบบุหรี่มวนสุดท้ายที่เขามีเหลืออยู่ในห้องของตัวเอง เขาลุกขึ้น เดินลงไปขั้นล่าง ขึ้นรถแท็กซี่ของเขา ติดเครื่อง และมุ่งตรงไปที่ทางด่วน
เขามีแผนอะไรบางอย่าง!
แม้จะเป็นเวลาสายที่ไม่ควรจะมีใครอื่นอยู่บนทางด่วน แต่เขากลับเห็นรถเฟอร์รารี่สีแดงอยู่ไกลลิบ เมื่อชายหนุ่มมองเข้าไปใกล้… เฉาตั้วเฟย ยืนอยู่ข้างมัน ซู ฉิวไป่ หยุดรถแล้วเดินลงมา ในใจยังสงสัยว่าทำไม เฉา ตั้วเฟยถึงมาที่นี่กัน
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่า ซู ฉิวไป่ ลงจากรถแล้ว เฉา ตั้วเฟยก็ยิ้มกว้าง ตัวของเขาเปียกฝน แล้วจ้องมอง ซู ฉิวไป่ เขาตะโกนขึ้น
“ลูกพี่ใหญ่ ถ้าเกิดว่าผมไม่หนุนหลังพี่ในเวลาแบบนี้ ผมคงไม่มีสิทธิ์จะเรียกพี่ว่าลูกพี่หรอก!”
หลังจากที่เขาตะโกนเช่นนั้นแล้ว เฉา ตั้วเฟยยื่นมือเข้าทางกระจกรถเฟอร์รารี่แล้วบีบแตรดังลั่น
ก่อนที่ ซู ฉิวไป่ จะได้ตบ เสียงของเครื่องยนต์ดังลั่นขึ้นกลางเสียงฝน รถสปอร์ตหลากสีสันนับสิบโผล่มาจากทุกสารทิศ ทั้งหมดจอดข้างรถแท็กซี่ และคนขับรถแต่ละคนก็ก้าวออกมา
“ลูกพี่ เดี๋ยวเราไปจัดการมันเลย!”
“คราวนี้ เราเอาเมืองตงไห่เละแน่!”
“ลูกพี่ใหญ่ ถ้าไม่พาเราไป งั้นเป็นการดูถูกพวกเราชัด ๆ เลยนะ”
ซู ฉิวไป่ เหลือบตามองไปที่หน้าของเด็กกะโปโลพวกนี้ และอดไม่ได้ที่จะตื่นตันด้วยการสนับสนุนอย่างแรงกล้าของพวกเขา ในขณะเดียวกัน ที่สุดแล้วเขาก็มองว่าไอ้เด็กพวกนี้ไม่ต่างจากน้องชายของเขา! สุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้าช้า ๆ
“พี่น้อง! ขึ้นรถของตัวเองเลย…เรากำลังมุ่งหน้าไปตงไห่!”