ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 463 ของวิเศษที่ใช้ผนึกปฐพีพิภพ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

คนที่มีระดับต่ำกว่ามหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ ห้ามเข้าปฐพีพิภพโดยเด็ดขาด

ข้อห้ามนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่คงอยู่สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอทะลุหมอกสีดำอันแผ่ไพศาลตามคำบอกทาง ครั้นปรากฏตัวเบื้องหน้าหยวนเจิ้งเฟิงและฟางจุ่น คนทั้งสองเห็นเขามากลับรู้สึกไม่อยู่เหนือความคาดหมาย

หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “จ้าวเกอกลับมาจากบึงทะเลมายาแล้วหรือ”

ชายหนุ่มเห็นคนทั้งสองก็คารวะ ก่อนจะเห็นทั่วร่างของของฟางจุ่นมีปราณพิสุทธ์วนเวียนสั่นไหว เกี่ยวกระหวัดกับปราณสีดำหลายสายด้านในเหวลึกเบื้องล่าง ครอบคลุมคนเอาไว้ด้านในเหมือนกรง

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ฟางจุ่นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มบาง แต่ไม่ได้เอ่ยปาก สมาธิของเขาอยู่บนหมอกสีดำที่หมุนเวียนอยู่เบื้องหน้า

สามารถบอกได้ว่า ไม่ใช่แค่เขากว่างเฉิงเท่านั้น ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันทั่วทั้งโลกแปดพิภพ ฟางจุ่นเป็นคนที่รู้จักปฐพีพิภพล้ำลึกที่สุดนอกจากเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอรู้จักนพยมโลก จากคัมภีร์ในวังเทพที่สร้างขึ้นก่อนมหาภัยพิบัติ

หลังจากมหาภัยพิบัติ สถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมของนพยมโลกและปฐพีพิภพ ในด้านรายละเอียดบางประการ ฟางจุ่นที่เคยล้วงลึกเข้าไปในอเวจีเพื่อสำรวจสถานที่ของจริง รู้สึกคุ้นเคยยิ่งกว่าเยี่ยนจ้าวเกอเสียอีก

ชายหนุ่มสัมผัสกับหมอกสีดำนั้นอย่างละเอียด ค่อยๆ มั่นใจมากขึ้น ‘ที่นี่มีพลังชั่วร้ายที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าพลังชั่วร้ายจากคำสาป ด้านในมีกลิ่นอายมารจากนพยมโลกแทรกอยู่ สั่นสะท้านจิตใจ และล่อลวงคนให้กลายเป็นมาร’

‘เคล็ดวิชาเหวเวหาทวนกระแสสามารถจัดการกับความอันตรายของพลังชั่วร้ายจากคำสาปได้ แต่มิอาจจัดการพลังชั่วร้ายจากนพยมโลกที่รุนแรงกว่าได้’

เขาตั้งใจมอง เห็นส่วนลึกของหมอกสีดำมีแสงสีทองอ่อนส่องออกมาอย่างเลือนราง

แสงสว่างริบหรี่ปรากฏให้เห็นวับแวม น่าจะถูกฝังอยู่ในส่วนลึกสุดของเหวลึก

ภายใต้หมอกสีดำที่วนเป็นเกลียว แสงสีทองนั้นถึงแม้จะริบหรี่ แต่ก็มิได้อ่อนแรงมาก เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ข้างใน ซึ่งแตกต่างกับสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายที่อยู่โดยรอบอย่างสิ้นเชิง

ลักษณะนั้นเหมือนกับถึงแม้ดวงอาทิตย์จะถูกเมฆดำบดบัง แต่ก็ยังคงมีแสงหลายสายทะลุชั้นเมฆสาดใส่ผืนดิน

‘เป็นผนึกแบบใดกันแน่?’

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น เขาพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดเชื่อมโยงถึงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก่อนเป็นอันดับแรก

แต่ว่าตอนที่ปฐพีพิภพเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นอเวจี สำนักสุรยันศักดิ์สิทธิ์ยังมิได้พัฒนาถึงระดับขั้นในตอนนี้

ผนึกในปฐพีพิภพที่ไม่ทราบว่าถูกใคร หรือพลังใดสร้างขึ้น กลับอยู่ในนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว

อีกทั้งตามการประเมินของเยี่ยนจ้าวเกอ มันยังแตกต่างกับผนึกก่อนหน้าของตนที่ไม่ให้ประตูนพยมโลกเข้ามาก็ได้ บางทีส่วนลึกของปฐพีพิภพอาจจะเปิดเป็นเส้นทางที่เชื่อมไปยังยมโลกสายหนึ่งมาตั้งนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ถูกคนอุดเอาไว้ด้วยความสามารถระดับสุดยอด

ความสามารถเช่นนี้ มิใช่เรื่องที่ยอดฝีมือในอดีตของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะทำได้

เขารู้สึกได้อย่างละเอียดว่าลักษณะของพลังที่แฝงอยู่ในแสงสีทองนั้น แตกต่างกับวรยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่สัมผัสได้บ่อยๆ

‘แต่ว่า ก็มีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่ด้วย’ ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอเคร่งขรึมเล็กน้อย ‘ดูเหมือนก่อนหน้านี้จะเคยสัมผัสได้ที่ไหนมาก่อน’

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็มองไปยังหยวนเจิ้งเฟิง “อาจารย์ปู่ สถานการณ์ของที่นี่ตอนนี้ค่อยๆ สงบลงแล้ว ในตอนที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “พลังชั่วร้ายพุ่งขึ้นท้องฟ้า ล่อลวงจิตใจคน ไม่เหมือนกับการทรมานให้ตายโดยใช้การล่อลวงจิตใจเหมือนนพยมโลกในอดีต สถานการณ์ในตอนนั้นคล้ายลากคนเข้าไปอยู่ในเหวลึกที่มิอาจถอนตัวได้”

“ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ก็ล้วนคล้ายกับถูกคนกัดกร่อนจิตใจ และทำลายความเป็นมนุษย์”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น มีสีหน้าจริงจังขึ้น “เช่นนั้นกํค่อนข้างรุนแรงแล้ว ก่อนหน้านี้พบได้น้อยยิ่ง ในตอนที่คนจากบึงไร้ขอบเขตสร้างความปั่นป่วน พลังมารที่ถูกปลุกก็เหมือนจะไม่ได้รุนแรงถึงเพียงนี้

“ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ใช่คนทางโลกแปดพิภพถูกยมโลกชักจูง แต่ยมโลกที่อยู่อีกฝั่งมีมารร้ายที่แข็งแกร่งคอยก่อกวน”

หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ยขึ้น “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ความสงบในตอนนี้ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะลงมืออีกครั้งเมื่อใด”

“เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าครั้งนี้จะเป็นแค่การทดลอง”

ชายหนุ่มพยักหน้า “อาจารย์ปู่พูดถูก นี่คือเรื่องที่ควรกังวลที่สุด”

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ากับพวกหวงกวงเลี่ย เฉินลี่ และฉู่เหยียนเคยเข้าไปที่ส่วนล่างสุดของเหวลึกอเวจีพร้อมกันแล้ว”

“ที่นั่นมีแสงสีทองละลานตาส่องสว่าง ไม่รู้ว่าเป็นผนึกที่ยอดฝีมือรุ่นก่อนท่านไหนทิ้งไว้ และมันปิดผนึกส่วนล่างสุดของเหวลึกมาโดยตลอด”

หยวนเจิ้งเฟิงรำพึงรำพันอย่างเสียดาย “หลังจากสำรวจแล้ว ก็พบว่า ที่นั่นกำลังอยู่ในความสมดุลอันน่าอัศจรรย์ ถ้าหากพวกเราแตะต้องเข้า อาจจะก่อให้เกิดการเสียสมดุล ทำให้ผนึกแหลกสลายโดยสิ้นเชิง ดังนั้นได้แต่ต้องถอยกลับมาคอยสังเกตการณ์อยู่ที่นี่”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางครุ่นคิด “ถึงแม้จะทำได้แต่เป็นฝ่ายรอ แต่ถ้ายมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก ผนึกสีทองอาจจะไม่แหลกสลายโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้พวกเราสามารถใช้พลังที่อยู่ด้านในต้านทางยมโลกได้”

หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นเพราะการพิจารณานี้ ข้ากับพวกตาเฒ่าหวงถึงได้ตัดสินใจว่า จะคอยดูการเปลี่ยนแปลงไปก่อน”

ชายหนุ่มกล่าว “อาจารย์ปู่ ท่านได้เก็บแสงสีทองมาหรือไม่ขอรับ”

“ถึงแม้จะต้องหลีกเลี่ยงการกระทบกับผนึก แต่ก็เอาพลังหลายส่วนที่อยู่ด้านในมาได้ แต่ข้ายังไม่รู้ถึงที่มาของมัน” หยวนเจิ้งเฟิงแบมือ กลางฝ่ามือปรากฏแสงสีทองอ่อนจางหลายสาย มันแยงตาคล้ายกับประกายแสงอาทิตย์ “แต่รู้สึกว่าจะเป็นวิชาสำนักเต๋าก่อนมหาภัยพิบัติ”

เยี่ยนจ้าวเกอหยิบแสงสายหนึ่งมาอย่างระมัดระวัง แล้วเก็บไว้ เพื่อใช้ศึกษา

“อาจารย์ปู่ ครั้งนี้ข้าไปบึงทะเลมายา” เยี่ยนจ้าวเกอเลือกเรื่องที่สำคัญจากการพบเจอในการเดินทางครั้งนี้ รายงานต่อหยวนเจิ้งเฟิง

สำหรับเรื่องของมารดาตนเอง หยวนเจิ้งเฟิงเป็นคนที่ทราบรายละเอียดเพียงไม่กี่คน เยี่ยนจ้าวเกอไม่จำเป็นต้องปิดบัง

หยวนเจิ้งเฟิงตั้งใจฟังจบ อดจุ๊ปากชมเชยไม่ได้ “โลกซ้อนโลก โลกลอยน้ำ โลกผืนสมุทร จอมยุทธ์เลือดปีศาจ”

พอทราบเรื่องของสวีเฟยและสือจวิน สายตาของหยวนเจิ้งเฟิงก็ปรากฏความกังวลเล็กน้อย “หวังว่าฟ้าจะช่วยดูแลคนดีอย่างพวกเขา”

เยี่ยนจ้าวเกอมองหยวนเจิ้งเฟิงที่ในตอนนี้เหมือนกับชายชราทั่วไป รู้สึกคิดถึงสวีเฟยและสือจวินขึ้นมา ในใจอดเกิดความเศร้าไม่ได้

หยวนเจิ้งเฟิงสลัดความคิด มองเยี่ยนจ้าวเกอ ปลอบประโลมว่า “เด็กน้อยชูฉิงผู้นั้น ข้ายังจำได้ดี ถึงเรื่องปกติจะดูเลอะเลือนไปบ้าง ไม่ละเอียดเหมือนสตรีทั่วไป แต่ก็เป็นคนมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง”

“ถึงแม้ว่าจะหานางไม่เจอในโลกลอยน้ำ แต่เจ้าไม่ต้องเศร้าใจไป ในอนาคตจะต้องมีวันได้พบกันแน่”

ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หยวนเจิ้งเฟิงเงยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะ “โลกผืนสมุทรกับโลกลอยน้ำยังพอทำเนา ตามที่ท่านพูด โลกซ้อนโลกที่ชูฉิงพูดถึงในข้อความดูไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงแม้คำพูดจะน้อยนิดดุจมองเห็นลายเสือจุดเดียวผ่านกระบอกไม้ไผ่ แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าเกิดเส้นทางใหม่ขึ้น”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน”

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าวหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เจ้ากลับสำนักเถอะ ตอนนี้บิดาเจ้าคอยดูแลสำนักอยู่ เจ้ากลับไปสงบจิตสงบใจเสียก่อน หากที่นี่มีการเปลี่ยนแปลง ข้าจะแจ้งพวกเจ้าเอง”

การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของปฐพีพิภพ จำเป็นต้องให้หยวนเจิ้งเฟิงที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คอยดูแล

เยี่ยนจ้าวเกอมีความคิดมากมายในใจต้องจัดระเบียบ การเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของปฐพีพิภพ ก็สมควรเตรียมตัวไว้บ้าง

หลังจากบอกลาหยวนเจิ้งเฟิงและฟางจุ่น เยี่ยนจ้าวเกอก็กลับเขากว่าเฉิงที่นภาพิภพ