ภาคที่ 4 บทที่ 104 ป้อมเล่อกู่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 104 ป้อมเล่อกู่

หลังออกจากปราการลุ่มน้ำทองและข้ามลุ่มน้ำทองคำมาก็จะถึงทุ่งหญ้าฮาเหวย

เผ่าคนเถื่อนนั้นตั้งค่ายอยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้น ถูกโจมตีจากทุกทิศทาง อาณาเขตอยู่ในสภาพเดี๋ยวมากเดี๋ยวน้อยอย่างต่อเนื่อง ผู้ครองทุ่งหญ้าฮาเหวยจึงเปลี่ยนมืออยู่บ่อยครั้ง

วันนี้ ทุ่งหญ้าฮาเหวยไม่ใช่ศูนย์กลางเขตแดนของเผ่าคนเถื่อนอีกต่อไป หากแต่เป็นเขตทางตอนใต้ของอาณาจักรเหล็กเลือด ผ่านจากทุ่งหญ้าฮาเหวยไปจะเป็นที่รกร้างเยือกแข็ง ที่รกร้างโลหิต ป่าฮัลมา ที่ราบดำ และมีลักษณะทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ อีกมากมาย และอย่างที่ชื่อบ่งบอก แม้พื้นที่เหล่านี้จะมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็ไม่อุดมสมบูรณ์

เมื่อครั้งราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ขับไล่เผ่าคนเถื่อนออกไปเรื่อย ๆ เผ่าคนเถื่อนได้ใช้กำลังกายในการเดินทางข้ามที่ราบ พื้นที่รกร้างและป่าเขา สูญเสียไปหนักหนาเพื่อกำจัดเผ่าอื่น ๆ ในพื้นที่ ก่อนจะมาถึงที่ราบดำในที่สุด ซึ่งค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาจึงตั้งค่ายที่นั่น และพักฟื้นก่อนโจมตีสวนกลับไป

ระหว่างเส้นทางนี้มีเลือดหลั่งไว้มากมาย ศพกองพะเนินสองฝั่งสูงราวกับภูเขา

ถนนเส้นนั้นยังมีมาถึงทุกวันนี้ มันเรียกว่าถนนพุ่มหนามโบราณ อันเป็นตัวแทนจิตใจแน่วแน่และกล้าหาญของเผ่าคนเถื่อน ที่ผ่านการเดินทางที่ยากลำบากจากทุ่งหญ้าฮาเหวยมาจนถึงที่ราบดำ

มีที่อยู่อาศัยและเมืองมากมายนับไม่ถ้วนเรียงรายตามเส้นทาง โดยมีเผ่าคนเถื่อนอยู่หลายกลุ่ม ราวกับไข่มุกที่กระจายไปทั่วที่ราบ

และเพราะเผ่าคนเถื่อนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ใกล้กับชายแดน ดังนั้นจึงตื่นตัวตลอดเวลา กระทั่งคนธรรมดายังเก่งกาจเรื่องการต่อสู้พอสมควร

เผ่าคนเถื่อนทุกคนจะกลายเป็นทหารได้ยามชักดาบออกมา

พวกเขาเป็นแนวหน้าที่ป้องกันการโจมตีของมนุษย์ ทั้งยังเป็นทหารเดนตายแนวหน้าด้วย

ซึ่งไม่เหมือนกับมนุษย์ที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญพลังมาปกป้องตำแหน่งตน เผ่าคนเถื่อนนั้นจัดคนธรรมดาเอาไว้ในตำแหน่งนี้ทั้งหมด ทำให้เป็นทั้งเหยื่อล่อและกับดักหนู

ดังนั้นทุ่งหญ้าฮาเหวยจึงเป็นสถานที่ป่าเถื่อนนัก หากกองทัพมนุษย์รุดหน้าเข้ามาก็จะเผชิญกับเผ่าคนเถื่อนจำนวนมากที่เข้าพัวพันและกลืนกินมนุษย์ผู้รุกราน

นี่เป็นวิธีปกป้องตนเองอย่างไม่เหมือนใครที่เผ่าคนเถื่อนเลือก

ป้อมเล่อกู่นั้นเป็นจุดควบคุมหลักภายในหนองน้ำแถบนี้

มันตั้งอยู่บนที่ราบใกล้กับทะเลสาบต้วนฉือลา และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัศมี 200 ลี้

ลักษณะของมันค่อนข้างรกร้างป่าเถื่อน ใครจะไปรู้ว่าซุกซ่อนกองทัพขนาดใหญ่ของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดไว้ ทั้งยังลอบโจมตีกองทัพกำลังสวรรค์ได้

ช่างเป็นสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ!

เพราะศึกนี้เกิดขึ้นเมื่อราว 4 เดือนก่อน ดังนั้นเมื่อซูเฉินมาถึง ป้อมเล่อกู่จึงกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว

กำแพงที่สร้างจากโคลนแดงดูเตี้ยไม่ใหญ่โตนัก ประตูหน้าเองก็ดูราวกับผลักทีเดียวก็จะพังอยู่รอมร่อ ทว่าคูน้ำหน้ากำแพงและอักขระที่เห็นอยู่บนกำแพงเมืองนั้นบ่งชี้ว่าเมืองนี้มีความสามารถในการป้องกันซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเผ่าคนเถื่อนรู้จักปิดบังสิ่งของ

เขาใช้สสารต้นกำเนิดเปลี่ยนรูปเปลี่ยนรูปร่างตนให้กลายเป็นเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่ง

ตอนนี้ชายหนุ่มมีร่างล่ำเขี้ยวหนา สะพายขวานใหญ่บนหลัง ซึ่งเขาเจอมาจากห้องเก็บของในปราการลุ่มน้ำทอง มันเคยเป็นของ แม่ทัพเผ่าคนเถื่อนผู้ชั่วร้ายมาก่อน

ป้อมเล่อกู่เข้ามาไม่ยาก ตอนนี้วิชาแปลงกายยังหาได้ยาก ดังนั้นจึงยังไม่มีใครสามารถมองทะลุร่างแปลงได้มากมายเช่นกัน

ซูเฉินแทรกซึมเข้าป้อมเล่อกู่ได้อย่างง่ายดาย มีซากศพถูกแขวนอยู่ที่ประตูหน้าสองสามซาก เห็นได้ชัดว่าเป็นศพทหารมนุษย์

ซูเฉินโล่งใจเมื่อไม่เห็นศพกองพะเนินตรงไหน ซึ่งเป็นการกระทำที่เผ่าคนเถื่อนชื่นชอบทำนัก นั่นคือการกองซากกระดูกของศัตรูเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายเสียขวัญ

ดั่งที่เซียวเฟยหนานว่าไว้ กองทัพกำลังสวรรค์หนีมาได้และรุดหน้าเข้าลึกไปในที่ราบจริง ๆ

ตอนนี้เขาต้องเดาให้ออกมากองทัพกำลังสวรรค์หนีไปทางไหน

ซึ่งคงไม่ยากนัก เพียงต้องรู้ว่าคนเถื่อนมุ่งหน้าไปทางใดก็เท่านั้น

และแน่นอนว่าสถานที่เก็บข้อมูลที่ดีที่สุดคือร้านเหล้า

ยังมีร้านเหล้าหนึ่งอยู่ใจกลางป้อมเล่อกู่ ชื่อว่าร้านเหล้าสีเลือด

ซูเฉินถือศพหมาป่าตัวใหญ่ที่เขาล่าระหว่างทางเข้าร้านเหล้าไป รอบข้าวมีแต่เผ่าคนเถื่อนกำลังดื่มเหล้าตะโกนใส่กันเสียงดัง ไม่มีใครสนใจเขาเป็นพิเศษ

ซูเฉินเดินไปหาคนชงเหล้า โยนของไปทางเขา “เจ้านี่ได้เหรียญกระดูกเท่าไหร่”

หินพลังต้นกำเนิดเป็นค่าเงินหนึ่ง แต่ซูเฉินทำทีเป็นนักล่าเผ่าคนเถื่อน ด้วยถ้าใช้ค่าเงินท้องถิ่นย่อมจะดีกว่า

เคราะห์ดีที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นสอนภาษาด้วย ซูเฉินจึงพูดภาษาเผ่าคนเถื่อนได้ค่อนข้างคล่องแคล่ว ทั้งยังรู้ขนบธรรมเนียมของอีกฝ่ายไม่น้อย

คนชงเล่าพลิกศพหมาป่าตรวจดู “50”

ซูเฉินยักไหล่ “ต่ำไปหน่อย แต่ก็ช่างเถอะ ขอเหล้าหน่อย”

คนชงเหล้าจึงเทเหล้าให้เขาแก้วหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเหล้าอะไรด้วยกลิ่นมันคล้ายเลือดนัก สมกับชื่อร้านจริง ๆ

ซูเฉินลองจิบคำหนึ่ง กลิ่นเลือดฉุนตีขึ้นจมูก

เชามุ่นคิ้ว “มีเหล้าเลือดมังกรไหม ?”

“เรามีแค่เจ้านี่ หากไม่อยากดื่มก็ไม่ต้องดื่ม มันเป็นของนำเข้าเชียวนะ” คนชงเหล้าตอบเสียงห้วน

แม้ซูเฉินจะรู้จักพูดจาเช่นเผ่าคนเถื่อน แต่ก็ยังให้บรรยากาศของคนต่างถิ่น โชคดีที่ในเผ่าคนเถื่อนนั้นมีอีกหลายชนเผ่าปะปนกัน ดังนั้นแม้เขาจะพูดภาษาเผ่าคนเถื่อนแบบติดสำเนียง คนก็แค่คิดว่าเขามาจากชนเผ่าอื่น แต่หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับทุกสำเนียงคนเถื่อนอย่างผู้นำบรรพชน เขาคงไม่วายมีปัญหา

ดังนั้นสิ่งต่อไปคือซูเฉินต้องทำความคุ้นเคยกับภาษาเผ่าคนเถื่อนให้มากกว่านี้

แต่ก็ยังดีที่ความสามารถเขามีมากพอจะรับมือคนชงเหล้าผู้นี้

“น่าเสียดาย แถบชายแดนไม่มีของดี ๆ เลย หากไม่ใช่เพราะอยากสังหารพวกมนุษย์สักหน่อย ข้าไม่มีวันมาที่นี่หรอก” ซูเฉินจงใจพึมพำ

“สังหารมนุษย์ หือ ?” คนชงเหล้าหัวเราะหยัน “เรื่องเกิดเมื่อหลายเดือนก่อน เจ้ามาช้าไปแล้ว”

“ข้าไม่ผิดนะ ข่าวมันช้าเอง ข้ารุดมาที่นี่นับตั้งแต่ได้ข่าว ใครจะไปรู้ว่าพวกมันจะแพ้เร็วเช่นนี้ ? ทีนี้ข้าก็ไม่รู้จะไปหาพวกมันจากไหนแล้ว” ซูเฉินครวญพลางดื่มเหล้าเลือดอีก

“พวกมันขึ้นเหนือ อาจจะตายกันหมดแล้วกระมัง” เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งว่า

“ไม่ ยังหรอก อย่างน้อย ๆ ลาหมี่เค่อจู้ฉุย ก็ยังไม่กลับมาพร้อมทัพคนเลย” เผ่าคนเถื่อนอีกคนเสริม

“เดี๋ยวเขาก็กลับมาพร้อมกับกระดูกพวกมนุษย์เอง”

“ไม่ก็กลับมาพร้อมกับทัพที่พ่ายแพ้”

“ปาเอ่อจา ระวังปากหน่อย เดี๋ยวก็มีปัญหาหรอก”

“ข้าชอบมีปัญหา เจ้าจะทำไม ? ข้าเกลียดลาหมี่เค่อจู้ฉุย ชิงชังเขายิ่งนัก เจ้าจะทำอะไรข้าได้ !”

“ไอ้เวรนี่ !”

เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งพุ่งเข้าไปส่งหมัดใส่ปาเอ่อจา เขาไม่หลบ แต่โต้กลับด้วยหมัดดุดัน ร้านเหล้าพลันเกิดการทะเลาะวิวาทกันเต็มที่ ทว่าคนชงเหล้ายังเทเหล้าต่อราวกับไม่มีเรื่องอะไร

ซูเฉินเคยได้ยินจากอาจารย์ในสถาบันว่าเผ่าคนเถื่อนนั้นชอบกิน ดื่ม สู้ และก็นอน

ดูท่าจะเป็นคำที่จริงอยู่บ้าง

ความบ้าคลั่งของพวกเขาอยู่ในสายเลือด ทำให้ความอยากสู้พลุ่งพล่านขึ้นมา

หากเขาได้เลือดของคนพวกนี้มา ไม่แน่ว่าเขาอาจแยกสสาร ‘บ้าคลั่ง’ ตัวใหม่ออกมาก็ได้

ในตอนที่ซูเฉินกำลังคิดไปไกลนั่นเอง เขาก็กรอกเหล้าเลือดหม่าลี่ที่เหลือลงคอไป

ช่างสดชื่นเสียนี่กระไร !