SD:บทที่ 42 : ใครกันคือ เซี่ยว หยุน

ในตอนแรก ทั้งนายแพทย์ฉีและคณบดีเหอต่างก็แสดงความเหยียดหยันกับชายชราทั้งสองที่ ซู ฉิวไป่ พาตัวมา แม้ตอนนี้จะเป็นสมัยที่การรับรองและประกาศนียบัตรเป็นสิ่งสำคัญ แต่เมื่อท่านคณบดีเอ่ยถาม ฮัว โต๋ ว่าเชาจบการศึกษาจากโรงเรียนใด ชายชรากลับไม่เข้าใจคำถามของเขาได้!

พวกเขาคงยอมให้อภัยหากแค่มีเพียงหนึ่งคนที่ไม่เข้าใจคำถามของเขา แต่ชายเฒ่าอีกคนดันไม่เข้าใจเหมือนกัน!

แต่ไม่นาน ความเหยียดหยามกลับเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ พวกเขาไม่เคยพบเห็นการฝังเข็มที่เชี่ยวชาญขนาดนี้จากที่ไหนมาก่อน

ส่วน ฮัว โต๋ และ จาง จ้งจิ่ง นั้น ทั้งสองเมินนายแพทย์สองคนนั้นเสียสนิท ระหว่างทางที่พวกเขาจะมาโรงพยาบาล ทั้งสองกลับค้นพบว่าคนป่วยคนนั้น เป็นถึงน้องสาวของ ซู ฉิวไป่ แล้วจะไม่ให้พวกเขาช่วยเหลือเธอได้อย่างไรกัน

อันที่จริง มันไม่ใช่แค่การช่วยชีวิตเธอเท่านั้น แต่เป็นการช่วยเธออย่างสง่างาม!

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าหลังจากที่ชายชราสองคนนั้นทำการรักษาแบบฝังเข็มแล้ว อาการของ ซู เซี่ยวเซี่ยว จะดีมากขึ้นเลยทีเดียว อีกไม่นาน เธอก็จะฟื้นเลยด้วยซ้ำ

ซู ฉิวไป่ ตื่นตะลึงไปเสียพักใหญ่ หากเขารู้ว่านายแพทย์อาวุโสทั้งสองมีทักษะมากถึงเพียงนี้ เขาจะปล่อยให้เธอนอนในโรงพยาบาลที่ขาดทรัพยากรเช่นนี้ทำไมกันเล่า

ที่นี่ไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป ฉันต้องเป็นคนไปหาของมารักษาเองซะด้วย

ในที่สุด การผ่าตัดก็เสร็จสิ้น หลังจากที่ ฮัว โต๋ เก็บเข็มทองไปแล้ว เขาก็แนะนำให้ ซู ฉิวไป่ ปล่อยให้เซี่ยวเซี่ยวทานยาบำรุงกำลังและได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แล้วเด็กสาวจะไม่เป็นไรหลังจากที่ได้พักผ่อนไม่กี่วัน

ณ ตอนนั้นเอง นายแพทย์ฉีและท่านคณบดีเหอจึงตระหนักได้ว่าชายชราทั้งสองกำลังจะกลับ พวกเขาเร่งไปขอข้อมูลในการติดต่อ รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ของเหล่าชายชรา แต่ทั้งสองต่างยืนยันว่าพวกท่านไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกันแน่

นั่นทำให้นายแพทย์ทั้งสองอึดอัดใจ หากไม่ต้องการให้ ก็บอกมาตรง ๆ ซะสิ อะไรคือการบอกว่าไม่เข้าใจกัน

แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าพวกเขาจะมีทางเลือก ชายชราทั้งสองนั้นมีความสามารถมากเหลือ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะบ่นอะไรได้ล่ะหากพวกเขาไม่พอใจ

เหล่าบุคลากรโรงพยาบาลได้แต่มอง ซู ฉิวไป่ ส่งสองนายแพทย์จีนอาวุโสจากไป ตอนนั้นเอง พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

เมื่อ ซู ฉิวไป่ กลับมา ทั้งสองอับอายเกินจะยังอยู่ในแผนกผู้ป่วย จึงมุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานตน

เมื่อมองดูใบหน้าซีดของน้องสาวตนผ่านทางหน้าต่าง และแน่ใจว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ ซู ฉิวไป่ สามารถผ่อนคลายตนเองได้เล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดในใจเขายังคงหลงเหลืออยู่

เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าครั้งหนึ่ง ยามที่ฝนเริ่มตกหนักในตอนที่เขากำลังเดินไปโรงเรียน พ่อแม่ของเขาตอนนั้นยังทำงานอยู่ แต่เมื่อเขามาถึงประตูโรงเรียน เขาเห็นเซี่ยวเซี่ยวยืนอยู่คนเดียว ในมือกำร่มสีดำไว้แน่น

ตอนนั้นเขาตกใจมาก เขาวิ่งแล้วตะโกนถามเธอ “มาที่นี่ทำไม” แต่เธอแค่หัวเราะอย่างร่าเริง เสื้อผ้าเธอเปียกชื้นเพราะฝน จากนั้น น้องสาวของเขาก็ได้เอ่ยสิ่งที่เขาจะจำไปตลอดชีวิต

เธอเอ่ยขึ้น “พี่ เดี๋ยวก็ป่วยเพราะตากฝนพอดี ถ้ายังเอาแต่ลืมพกร่มแบบนี้”

ไม่รู้ทำไม ตอนนั้นเขาถึงกับกอดเธอและร้องไห้ ขากลับ เขาแบกเธอไว้ในระหว่างที่เด็กหนุ่มเดินบนถนนภูเขาที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำฝน

ซู ฉิวไป่ รำลึกถึงช่วงเวลาในอดีตและรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่งดงามที่สุดของเขา ความโศกเศร้าในนัยน์ตาเขาเลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยความสงบ ในเมื่อเซี่ยวเซี่ยวไม่เป็นไรแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือการสั่งสอนตระกูลเซี่ยวเสียหน่อย!

เขาหันกลับไปมองเด็กสาวสองคนที่ยังหุบปากเงียบ ซู ฉิวไป่ พูดขึ้นมาพลางพยายามข่มใจลง

“แล้วตอนนี้ เซี่ยว หยุน อยู่ที่ไหนกัน”

ณ ขณะเดียวกัน ที่ลานหน้าบ้านของครอบครัวเซี่ยว ภรรยาของ เซี่ยว ซิวเหวิน หรือ ฝาง ชุนหยู เพิ่งจะคุยทางโทรศัพท์กับรองคณบดีจางเสร็จ

เธอไม่รู้หรอกว่าจะเป็นเพราะความบ้าคลั่งหรือความโง่เขลาเช่นใด คณบดีเหอจึงกล้าขัดคำสั่งของเธอได้ แต่เธอมั่นใจว่ายัยเด็กนั่นคงไม่สามารถฟื้นตัวได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์พิเศษจากสหรัฐอเมริกาแล้ว โอกาสรอบแทบจะเป็นศูนย์ คุณนายแห่งตระกูลเซี่ยวพึงพอใจอย่างมากที่สุดเพียงแค่ได้จินตนาการ

หยุนเอ๋อนั้นเป็นลูกชายที่เธอหวงแหนมากที่สุด นับว่าเป็นโชคดีของหล่อนด้วยซ้ำที่เขาไปหลงชอบนางได้ แต่ยัยเด็กนั่นดันเลือกทางโง่ ๆ กลับไปกระโดดตึกเสียได้ ช่างนำความอับอายมาให้ตระกูลเซี่ยวอย่างที่สุด และยังทำให้สามีเธอโกรธจัดด้วย

ทั้งหมดนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากตัว ซู เซี่ยวเซี่ยว เองนั่นแหละ หากเจ้าหล่อนทำตัวให้น่ารักและยอม ๆ เขาไปเสีย เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่เกิด! ตอนนี้ เด็กสาวคงต้องพิการไปตลอดชีวิต

ฝาง ชุนหยู ยิ้มกริ่ม คุณนายจ่อถ้วยน้ำชากับริมฝีปาก เธอรู้สึกดีกับการที่ได้ตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่น ทว่าก่อนที่เธอจะได้จิบน้ำชา รองคณบดีจางกลับโทรมาขัดจังหวะ

เธอหน้าบึ้งตึงก่อนจะกดรับสาย

“คุณนายเซี่ยว สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่เลย พี่ชายของ ซู เซี่ยวเซี่ยว หาเครื่องมือนั่นจากสหรัฐฯได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบ และยังหาปรมาจารย์การฝังเข็มชั้นเลิศ พร้อมกับสมุนไพรทางการแพทย์มาได้อีก ดูเหมือนว่า ซู เซี่ยวเซี่ยว จะหายดีนะครับ”

เมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น หน้าบึ้งตึงของคุณนายกลับบูดเบี้ยวมากขึ้นไปอีก ที่สำคัญ ความรู้สึกไม่สบายใจเหมือนตอนที่คณบดีเหอกล้าขัดคำสั่งเธอดันกลับมาอีกครั้ง

“ฉันเข้าใจ” ในที่สุด เธอก็พึมพำตอบคู่สนทนาได้

“ยังมีอีกเรื่อง เหมือนกับว่าพี่ชายของ ซู เซี่ยวเซี่ยว จะดั้นด้นถ่อมาจากเมืองฉิงเหอพร้อมกับลูกน้องนับสิบที่ทุกคนต่างก็ขับรถยี่ห้อหรูครับ ท่าทางเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่คิด”

น้ำเสียงของรองคณบดีจางอ่อนโอนลงเมื่อเขาพูดประโยคท้าย เขารู้ว่า ฝาง ชุนหยู คิดมาตลอดว่า ซู เซี่ยวเซี่ยว เป็นแค่เด็กบ้านนอกที่ไร้ภูมิหลัง แต่ดูท่าว่าเธอจะคิดผิดเสียแล้ว

“ฉันเข้าใจ” เป็นครั้งทีสองแล้วที่ ฝาง ชุนหยู เอ่ยประโยคเดิม สุดท้ายเธอก็วางสาย ห้องพลับเงียบน่าอึดอัดโดยพลัน แม้ว่าคุณนายเซี่ยวจะไม่อยากยอมารับว่าเธอประเมิน ซู เซี่ยวเซี่ยว และพี่ชายของเธอ ซู ฉิวไป่ ต่ำไปมาก ความจริงก็ปรากฏต่อหน้าสองตาของเธอแล้ว

“นี่รู้มั้ยว่าตอนนี้นายน้อยอยู่ที่ไหน” เธอกล้ำกลืนความวิตกกังวลที่กำลังสูงขึ้นในใจ แล้วเอ่ยถามคนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างเธอ

“ตอนนี้คงเที่ยวเล่นอยู่น่ะค่ะ ดิฉันเองก็ไม่แน่ใจ จะให้โทรหาคนคุ้มกันเลยมั้ยคะ”

เมื่อฟังคำของคนรับใช้แล้ว ฝาง ชุนหยู ไม่อาจวางเฉยได้อีก เธอลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ทันที “เร่งสั่งพวกบอดี้การ์ดเร็วเข้า พานายน้อยกลับมาที่ถนนตงโขว่ทันที จะปลอดภัยกว่าถ้าให้เขาอยู่ในแหล่งกบดานของท่านหัวหน้าใหญ่”

หลังจากที่มอบหมายคำสั่ง คุณนายเซี่ยวเดินทอดน่องไปที่หน้าต่างและมองไปยังฝนที่กำลังเทกระหน่ำ ความกังวลของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในช่วงเวลาเดียวกัน หากมีคนสังเกตแล้ว สามารถเห็นรถสปอร์ตหลายสิบคันกำลังมุ่งหน้าออกมาจากโรงพยาบาล โดยมีรถแท็กซี่นำหน้า พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกับสายฝน

สปริงเฮาส์ หรือ บ้านยามฤดูใบไม้ผลิ เป็นสถานบันเทิงอันโด่งดังในเมืองตงไห่ แขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยือนล้วนแต่ร่ำรวยกันทั้งสิ้น แม้ว่าความจริงลูกค้าควรจะน้อยเนื่องจากฝนตก ทว่านายน้อยของตระกูลเซี่ยวได้จองชั้นบนทั้งชั้นเอาไว้สำหรับฉลองวันเกิดเพื่อนของตน ดังนั้นจึงมีรถจำนวนมากจอดที่หน้าทางเข้า

ภายในอาคาร ทั้งผู้ชายและผู้หญิงกำลังออกลวดลายเต้นกันอย่างเมามัน สถานที่นั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างมาก

“นายน้อยหยุน ได้ยินว่านายไปชอบผู้หญิงจากม.ตงไห่ นายไม่ชอบฉันแล้วเหรอไง”

ณ มุมหนึ่งใกล้ ๆ เซี่ยว หยุ่น กำลังแอบลอบโอบกอดนางแบบหญิงคนหนึ่ง มือทั้งสองข้างของเขาลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของอีกฝ่าย น้ำเสียงเบาของนางแบบสามารถเป็นที่ได้ยินอย่างชัดเจน

“ฮ่าฮ่า ไร้สาระน่า ฉันไปชอบคนอื่นซะเมื่อไหร่กัน ฉันชอบแค่เธอเท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มหัวเราะดังลั่น หัวของ เซี่ยว หยุน แนบพิงสนิทกับหน้าอกของเพื่อนหญิงนางแบบ แล้วทั้งสองก็แทบจะเกี่ยวพันร่างกายเข้าด้วยกันเสียด้วยซ้ำ

ในโถงขนาดใหญ่นั้น เซี่ยว หยุน ไม่ใช่คนเดียวที่กำลังนัวเนียกับผู้หญิง ทุกคนเองก็อยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน ทั้งชายและหญิงกำลังกอดจูบและลูบไล้กันอย่างไม่ไกล ฉากตรงหน้านั้นบ้างอาจจะมองได้ว่าอุจาดตาเกินจะทานทน

ณ ตอนที่เสียงเพลงกำลังจะถึงจุดไคลแมกซ์ มันกลับหยุดลงเอาดื้อ ๆ !

ทุกคนหันไปมองที่ดีเจโดยที่ไม่ได้นัดหมาย และพลันสังเกตเห็นเด็กหนุ่มผมเหลืองนีออนคนหนึ่งได้ถอดปลั๊กเครื่องเสียงไปเรียบร้อย

“เสียงดังหนวกหูชิบ เอาล่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!”

เฉา ตั้วเฟย ตะโกน ทุกคนในงานพร้อมใจกันก่นด่าเขากลับ บ้างเริ่มพ่นคำหยาบคาบพร้อมกับเดินมาหาเขาอย่างประสงค์ร้าย แต่ระหว่างทางกลับต้องหยุดชะงักลง

คนพวกนี้มาจากไหนกันวะ ดูน่ากลัวชะมัดยาด*!*

ใช่แล้ว เหล่าคนหนุ่มสาวจากแก็งนักแข่งข้างถนนได้มารวมตัวที่นั่นอย่างพร้อมเพรียง เสียงเพลงดังสนั่นนั้นได้กลบเสียงบีบแตรของรถสปอร์ตข้างล่างเสียสนิท และนั่นเป็นเหตุผลที่ เฉา ตั้วเฟย มาถอดปลั๊กเครื่องเสียงด้วยตนเอง

“ใครหน้าไหนมันคือ เซี่ยว หยุน กัน” เด็กหนุ่มก้าวอาด ๆ ไปข้างหน้า พร้อมกับกล่าวเรียกร้องตามหาไอ้คนที่มันกล้าทำร้ายน้องสาวลูกพี่ใหญ่ของตน

“ฉันเองเนี่ยแหละ แกเป็นใครกันวะ” เซี่ยว หยุน โผล่มาจากมุมหนึ่งของห้อง แล้วตะโกนขึ้นมา เด็กหนุ่มเป็นถึงนายน้อยของตระกูลเซี่ยว กับเรื่องแค่นี้นั้น เขาจะกลัวได้อย่างไรกันเล่า

“แกเนี่ยนะ เซี่ยว หยุน เงียบไปถ้าแกไม่ใช่”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหลังเด็กหนุ่มผมเหลืองคนนั้น ทุกคนจึงพลันหันไปเห็นชายหนุ่มที่ยังคงสงบเสงี่ยม เขาดูละเอียดอ่อนอย่างประหลาด ยิ่งเมื่อเห็นเสื้อกั๊กของคนแท็กซี่ที่เขาใส่ด้วยแล้ว ชายหนุ่มยิ่งดูโดดเด่นขึ้นมาจากฝูงชนที่เหลือ

เมื่อเอ่ยเช่นนั้น เขาก้าวเท้าช้า ๆ มาหา เซี่ยว หยุน

“เหอะ คิดว่าฉันจะโกหกเหรอ ฉันไม่มีวันจะซ่อนชื่อ…”

เปรี้ยง*!*

เด็กหนุ่มพูดไม่ทันจบ กลับโดนตีเข้าที่หัวโดยชายหนุ่มตรงหน้าอย่างที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคาดคิด

เขาซวนเซไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ยังไม่ล้มลง ในหัวของเขายังไม่อาจทำความเข้าใจว่าจะมีใครในเมืองตงไห่ที่มันจะโง่พอจะทำร้ายเขาได้

เปรี้ยง*!*

ขวดเหล้ากระแทกเข้าที่ขมับเขาเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวขวดนั้นแตกหักในทันที ส่วน เซี่ยว หยุ่น นั้นหมดสติล้มพับไปแล้ว

“ถ้าแกเป็น เซี่ยว หยุน จริง ๆ ล่ะก็ ถือว่าแกหาเรื่องเองล่ะนะ!”

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง แล้วจับชวดเหล้าอีกขวดกระชับไว้ในกำมือ พร้อมกับฟาดอย่างแรงเข้าที่หน้าของ เซี่ยว หยุ่น ใครคนหนึ่งในฝูงชนร้องขึ้นมา ขวดแก้วนั้นแตกอีกครา พร้อมกับที่เลือดเริ่มไหลออกมาจากศีรษะของ เซี่ยว หยุน

ให้