บทที่ 115**: เทพธิดาเหมยฮวา**
เมื่อรับรู้ถึงสีหน้าของการเยาะเย้ยที่จ้าวสำนักแสดงออก นักบวชฮัวอวิ๋นยิ่งโกรธมากขึ้นและคิดแค้นว่าจ้าวสำนักสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าอ้วนเพื่อหลอกเขา ดังนั้น เขาตะโกนสุดเสียงทันที “สมบัติวิญญาณกับหัวเจ้าน่ะสิ! ข้างในมันไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ! พวกเจ้ารวมหัวกันเพื่อหลอกข้า!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นโบกมือและนำพาเศษเหล็กมากมายออกมาจากที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งทำให้ลานนี้เต็มไปด้วยเศษเหล็กดำ
ในขณะนั้น เหล่าดอกไม้และมัจฉาในลานที่โชคร้ายถูกบดขยี้โดยเศษซากของเหล็กดำ บ่อน้ำที่ใสสะอาดบัดนี้กลายเป็นน้ำเน่าเต็มไปด้วยเศษเหล็ก ซึ่งทุกอย่างเป็นการเลี้ยงดูของจ้าวสำนักทั้งสิ้น ภายในชั่วพริบตาลานแห่งสรวงสวรรค์นี้ได้กลายเป็นลานที่เต็มไปด้วยเหล็กดำอย่างสมบูรณ์แบบ จ้าวสำนักและภรรยาของเขากำลังเพลิดเพลินกับชายามบ่ายก็ไม่อาจคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะการรับมืออย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาจะถูกฝังอยู่ในเหล็กดำ
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้จ้าวสำนักแทบนั่งไม่ติดและต้องการคำขอโทษ เขาเห็นเพียงชาสุดที่รักของเขาถูกเหล็กสีดำบดขยี้จนเป็นผุยผง เพียงแค่นั้นความโกรธก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ฮัวอวิ๋น นี่เจ้ากำลังหาเรื่องใช่หรือไม่!?” จ้าวสำนักดึงดาบมังกรเทวะอัคคีออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปทำให้ดาบเปล่งแสงสีแดงออกมาฉาบไปทั่วบริเวณลาน
ขอบคุณสวรรค์ที่ภรรยาของเขาใจเย็นและรีบหยุดมือของสามีไว้อย่างทันท่วงที นางขอให้เขาลดดาบลง พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างผิดหวัง “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ถ้าหากท่านมีสิ่งใดจะพูด ท่านสามารถพูดได้เลย แต่ท่านใช้เหตุผลอะไรมาทำลายลานของเรางั้นหรือ?!”
นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการเพียงนำเหล็กสีดำออกมาเพื่อพิสูจน์ความจริงของเขา แต่ด้วยพายุแห่งความโกรธครอบงำ เขาจึงกระทำมันลงไปอย่างเกรี้ยวกราด จึงส่งผลเช่นนี้ออกมา ทุกสิ่งภายในลานนี้มีมูลค่ามากมายและถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมกลับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
นักบวชฮัวอวิ๋นที่โดยแท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการให้ผลลัพธ์มันเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะทำผิด เขาก็ยังกล่าวออกมาอย่างไร้ยางอาย “ลานนี้มีมูลค่าเท่าไหร่กัน? ทำไมพวกเจ้าจึงไม่กล่าวออกมาว่าพวกเจ้าทั้งหมดรวมหัวกันหลอกข้าเพื่อแย่งชิงดาบวิญญาณห้าธาตุ?”
“ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ท่านพูดออกมาได้อย่างไร!” ภรรยาจ้าวสำนักขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวว่า “พวกเราไปสมรู้ร่วมคิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
“เจ้ากล้าพูดงั้นหรือว่าเจ้าไม่ได้ทำ?” นักบวชฮัวอวิ๋นคำรามออกมา
“แน่นอน พวกเราไม่ได้ทำ!” ภรรยาจ้าวสำนักยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ยังคงจำได้ดีว่าเมื่อสองสามวันก่อนเราคุยเรื่องระฆังใบนั้นว่าอย่างไร? ขณะนั้นเด็กคนนั้นกำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในลานของเขาและเราส่งคนไปเฝ้าเขาที่หน้าประตู เมื่อเขาออกมา เขารีบมาพบเราทันที! ในขั้นตอนทั้งหมดนี้ คิดว่าข้าทั้งสองจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาก่อนหรือไม่?”
“เรื่องนั้น…” นักบวชฮัวอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความจริงหลังจากที่เขาได้รับข่าวสาร เขาส่งผู้เชี่ยวชาญระดับจินตันไปหาเจ้าอ้วนทันที จึงทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถติดต่อกับเขาได้ก่อนจะมาพบเจอเขา
อย่างไรก็ตาม นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงเถียงออกมาอย่างไร้เหตุผล “พวกเจ้าอาจจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นก็ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดโง่เขลาเช่นนั้น ภรรยาจ้าวสำนักเอ่ยปากออกมาอย่างเหลืออด“ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ท่านมองเราสองคนสูงเกินไป! เราทั้งสองไม่ได้ร่ำเรียนเคล็ดวิชาจากเทพธิดาพยากรจากศิษย์พี่หญิงมาและไม่มีความสามารถที่จะทำนายอนาคตได้!”
“แต่เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าไม่รู้ว่าไม่มีอะไรอยู่ในระฆังใบนี้?” นักบวชฮัวอวิ๋นสอบสวนอย่างไม่ลดละ
“$%@!$!” ในขณะที่จ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมาดังลั่น “ไม่เพียงแต่เราไม่รู้จักมันมาก่อน เราก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันมีหรือไม่มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน!”
“แน่นอนว่ามันไม่มี! เจ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าหั่นมันเป็นชิ้น ๆ แล้ว? แต่ข้ากลับไม่พบสมบัติบ้าอะไรในนี้เลย!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างแค้นเคือง
“เหอะเหอะ สำหรับคนเก่งอย่างศิษย์น้องฮัวอวิ๋น กลับมาบอกว่าไม่พบอะไรเลยแม้ว่าเจ้าจะพบบางอย่างก็ตาม!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม “ดังนั้น เจ้าจึงมาที่นี่เพื่อร้องเรียนและจะขอยกเลิกการแลกเปลี่ยน ถูกต้องหรือไม่?”
“อะไรกัน!?” นักบวชฮัวอวิ๋นรีบตะโกนออกมา “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ากำลังใส่ร้ายเจ้างั้นหรือ?!”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้ทำ?” จ้าวสำนักกล่าวอย่างเยือกเย็น “เขาไม่เต็มใจที่จะขายมัน แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะซื้อมันให้ได้ หลังจากนั้นไม่กี่วัน เจ้ารู้สึกว่าเจ้าถูกเอาเปรียบและวิ่งป่าวประกาศไปทั่วว่าพวกเราหลอกลวงเจ้า! ศิษย์น้อง เจ้าช่วยมีขีดจำกัดความไร้ยางอายของเจ้าหน่อยได้หรือไม่!”
“บัดซบ ข้าเป็นคนน่ารังเกียจอย่างนั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการคำอธิบาย
“ถ้าหากในอดีต ข้ายังถือว่าเจ้าคืออาวุโสที่เปี่ยมไปด้วยชื่อเสียง แต่ว่านับตั้งแต่ที่เจ้าข่มเหงเด็กและข่มขู่ขอซื้อระฆังเหล็กดำจากอ้วนน้อย… เหอะเหอะ!” จ้าวสำนักหัวเราะเยือกเย็นพร้อมกล่าวเสริม “ศิษย์น้องฮัวอวิ๋น ข้ารังเกียจเจ้าจริง ๆ!”
“อา!!” นักบวชฮัวอวิ๋นโกรธจัดอย่างสมบูรณ์แบบเขาตะโกนออกมาเสียงดังไปทั่วท้องฟ้าและเตรียมพร้อมจะดำเนินการบางอย่าง
ภรรยาจ้าวสำนักรีบหยุดเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะบานปลายพร้อมกล่าวออกมาว่า “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น นี่เป็นการตัดสินใจของท่านเอง ไม่มีใครบังคับให้ท่านกระทำเช่นนั้น ในฐานะของอาวุโส ข้าไม่คิดว่าท่านจะสร้างความลำบากให้กับศิษย์ผู้น้อยด้วยเรื่องนี้ โปรดคิดด้วยว่านี่เป็นการกระทำของท่านเองทั้งนั้น!”
“ข้าใช้ดาบวิญญาณห้าธาตุเพื่อแลกกับเศษเหล็กกองโตพวกนี้และเจ้ากลับพูดออกมาว่าให้ข้าคิดถึงการกระทำของตนเอง?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกรออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ระฆังใบนั้นถูกทำลายลงจนเหลือเพียงเท่านั้นหรือมันไม่ได้เป็นสมบัติวิญญาณจริง ๆ พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่พวกเราสามารถรับรองได้คือเราไม่ได้ร่วมมือกับเด็กเพื่อหลอกลวงท่าน!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวต่ออีกว่า “ในกรณีเช่นนี้ เรื่องนี้สิ้นสุดลงที่นี่ ไม่ว่าท่านจะโชคร้ายหรือโชคดี มันคือการแลกเปลี่ยนของท่านทั้งหมด หวังว่าท่านคงจะไม่สร้างความลำบากให้กับเด็กน้อยผู้นั้น!”
“เหอะเหอะ ข้าได้วางแผนหนทางที่ยากลำบากไว้สำหรับมันจนหมดสิ้นแล้ว พวกเจ้าจะสามารถทำสิ่งใดได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ
เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขารีบตะโกนออกมา “ลองดูถ้าเจ้ากล้าพอ!”
ภรรยาจ้าวสำนักรีบหยุดจ้าวสำนักที่เกรี้ยวกราดทันทีพร้อมกับหันไปหานักบวชฮัวอวิ๋นและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ศิษย์พี่ ท่านและสามีของข้านั้นไม่เคยลงรอยกันและไม่เคยเป็นแบบอย่างที่ดี ตำแหน่งของข้าในตอนนี้ค่อนข้างลำบากและข้าช่วยหยุดพวกท่านไม่ให้ลงมือกันเรื่อยมา แต่ในขณะนี้ถ้าหากท่านต้องการจะสร้างความลำบากให้กับเด็ก ข้าจะร่วมมือกับสามีของข้าเพื่อต่อต้านกับท่านจนถึงวาระสุดท้าย!”
เมื่อฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาใจเย็นลงทันที ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือ ทั้งเขาและจ้าวสำนักมีความสามารถเท่ากัน ความแตกต่างมีไม่มากนัก พวกเขามีสิทธิ์ที่จะชนะทัดเทียมกัน เช่นนั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวต่อจ้าวสำนักแต่อย่างใด แต่ถ้าหากจ้าวสำนักและภรรยาของเขาร่วมมือกัน ความพ่ายแพ้จะตกเป็นของเขาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
แม้ว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะโกรธจนหัวร้อน แต่เขาก็ไม่โง่เขลาที่จะยื่นมือเข้าไปสู้กับทั้งสองคน ดังนั้น เขากระทืบเท้าของตนพร้อมกล่าวออกมาอย่างแค้นเคืองว่า “ดี ดีมาก ดียิ่งนัก! ถ้าไม่อาจข่มเหงเจ้าทั้งสองคนได้ ข้าจะไปหาศิษย์น้องของข้าเพื่อขอความยุติธรรม!” เมื่อเขากล่าวจบ ร่างกายของเขาหายไปทันทีพร้อมกับเหลือเพียงแสงจาง ๆ ทิ้งไว้ในลาน
ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังทะเลาะกับจ้าวสำนักและภรรยาของเขา มีหญิงสาวสวมชุดขาวนั่งวาดภาพบนกระดาษสีขาวด้วยพู่กันแบบสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
กระดาษนั้นเป็นเพียงกระดาษธรรมดา พู่กันก็เป็นเพียงพู่กันธรรมดา แต่ทว่ารูปภาพที่กำลังวาดนั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
นางมีพรสวรรค์และเสน่ห์อันน่าหลงใหล ใบหน้าที่งดงามและอ่อนโยน แม้ว่านางจะดูคล้ายกับหญิงสาววัยกลางคน แต่นางกลับมีกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่เล็ดลอดออกมาจากตัวเสมอ
ในขณะที่นางกำลังตวัดมือขาวราวหิมะ ภาพของเทวะจันทราวารีเสร็จสมบูรณ์ มันส่งกลิ่นอายของความลึกลับออกมาทำให้ดูเป็นมากกว่าภาพวาด
เพียงแต่ในขณะนั้น มีหญิงสาวเดินออกมาจากในป่า นางเพิ่งออกมาจากการศึกษากฏแห่งสวรรค์ในการเก็บตัวฝึกฝน ผู้นั้นคือแม่นางฉุ่ยจิ้ง
นางถือถาด พร้อมกับหม้อชาและถ้วยสองใบ เดินอย่างงดงามไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ นางวาดถาดลงพร้อมกับกล่าวทักทาย “ท่านอาจารย์ ศิษย์ของท่านต้มชาหอมมาไว้สำหรับท่าน!”
“โอ้!” หญิงสาวผู้งดงามจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทพธิดาเหมยฮวา นางโยนพู่กันออกไปอย่างลวก ๆ และเริ่มมองฉุ่ยจิ้งอย่างรอบคอบ จากนั้นนางพลันร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “ข้าไม่เคยคาดหวังให้เจ้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้เลย! ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เจ้าเข้าใจเคล็ดวิชาจันทราวารีลึกลับแล้วงั้นหรือ อีกทั้งยังสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระ ตอนแรกข้าคิดว่าต้องใช้ระยะสักห้าปีเจ้าจึงจะเข้าใจมันเสียด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้เจ้าทำได้แล้ว ความสามารถของเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก!”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการสอนที่เป็นเลิศของท่านอาจารย์!” แม่นางฉุ่ยจิ้งตอบกลับพร้อมความเอียงอาย
“ผิดแล้ว ความคืบหน้าทั้งหมดนี้เป็นของเจ้าไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะบุรุษผู้นั้นที่ฝึกฝนคู่กับเจ้า!” เทพธิดาเหมยฮวาแกล้งทำหน้าเศร้าหมอง “ข้าละอายยิ่งนัก อาจารย์ของเจ้าไม่อาจเทียบชั้นกับบุรุษผู้นั้นได้!”
เมื่อแม่นางฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะเป็นลมในทันที หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาจะสามารถจัดการกับสิ่งที่อาจารย์ของนางกำลังล้อเล่นได้อย่างไร? มีเพียงความเงียบงันที่นางทำได้ในตอนนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่า!” ขณะที่ฉุ่ยจิ้งกำลังขุ่นเคืองกับคำพูดของเหมยฮวา แต่นางกลับหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ศิษย์ของข้า เพียงแค่วลีเดียวสามารถทำให้จิตใจของเจ้าสับสนวุ่นวายแล้วงั้นหรือ เรื่องเช่นนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้! เจ้าจะต้องพัฒนาอีกมาก!”
สุดท้ายแล้วแม่นางฉุ่ยจิ้งก็เข้าใจว่านางถูกอาจารย์ทดสอบอยู่ แต่ยังก็ยังคงไม่พอใจ “ท่านอาจารย์ ศิษย์รู้ว่าศิษย์ไม่สามารถ แต่ท่านกล่าวกับข้าเกินไป!”
“มันไม่เหมาะสมงั้นหรือ? ข้าได้แสดงความเมตตาแล้ว หรือเจ้าต้องรอจนกว่าจะได้พบพานกับบุคคลที่เป็นปีศาจก่อน จึงจะเรียกว่าเหมาะสม!?” เทพธิดาเหมยฮวาเม้มปากแน่นพร้อมกล่าวเสริมว่า “การแข่งขันสำหรับแย่งชิงผลไม้วิญญาณจะเริ่มขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า นั่นคือสนามที่จะไม่มีผู้ใดแสดงความเมตตาต่อกัน คำพูดของผู้คนเหล่านั้นโหดร้ายเกินกว่าจะคาดเดาได้ พวกเขาสามารถทำได้มากกว่าการล่อลวงเพื่อผลประโยชน์ หากเจ้าไม่สามารถปรับตัวได้ สภาพจิตใจของเจ้าจะพังพินาศด้วยคำพูดเพียงคำเดียว นั่นไม่อาจทำให้เจ้าใช้เคล็ดวิชาพยากรได้อย่างใจเย็น เพียงแค่คาถาวารีธรรมดาของเจ้า มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ถ้าหากเจ้าไม่ระมัดระวัง เจ้าจะไม่สามารถรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้!”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” เมื่อแม่นางฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรู้แจ้งในทันที ดวงตาของนางกลับคืนสู่ความสงบและสถานะภายในใจกลับสู่ความเงียบเหงาเช่นเดิม
เมื่อเห็นเช่นนั้น เทพธิดาเหมยฮวาพยักหน้าด้วยความพอใจพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ดีมากที่เจ้าเข้าใจ วิชาจันทราวารีลึกลับเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของวิชาเทวะจันทราวารี ดังนั้นเจ้าสามารถลบล้างคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าได้ แต่การฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง วิชาจันทราวารีลึกลับก็เช่นกัน ความอ่อนแอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความต้องการของจิตใจ ถ้าหากเจ้าได้รับผลกระทบใดจนกลายเป็นอารมณ์ในเชิงลบ พลังของเจ้าจะถูกหักล้างและเปราะบางมาก มีโอกาสที่เจ้าจะพ่ายแพ้ ดังนั้นจงเน้นการฝึกฝนจิตใจให้มาก และเจ้าจะรู้แจ้งถึงความสงบของวารีและจะไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย”